ดาวอังคารคือบ้านหลังที่สอง หรือบ้านหลังสุดท้ายของอารยธรรมมนุษย์ ?
ในยามค่ำคืนที่มืดมิด หากคุณแหงนมองท้องฟ้ากว้าง คุณอาจเห็นดาวเคราะห์สีแดงหม่นที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางดวงดาวนับล้าน ดวงดาวแห่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่จุดแสงที่อยู่ห่างไกล แต่เป็นเป้าหมายและความหวังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดาวอังคารดาวเคราะห์ที่เราใฝ่ฝันจะไปตั้งรกราก หากโลกใบนี้ถึงจุดสิ้นสุด
แต่ก่อนที่คุณจะจินตนาการถึงโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาส คุณเคยสงสัยไหมว่าดาวอังคารอาจไม่ใช่บ้านหลังที่สอง หากแต่เป็น “กับดักแห่งความสิ้นหวัง” หรือแม้แต่ “สุสานแห่งสุดท้าย” ที่รอคอยการมาถึงของเรา?
ความหวังอันบิดเบี้ยวของมนุษยชาติ
นับตั้งแต่มนุษย์ค้นพบว่าโลกใบนี้มีทรัพยากรจำกัด เราเริ่มมองหาดาวเคราะห์ดวงใหม่เพื่อหนีจากการล่มสลายของอารยธรรม ดาวอังคารเป็นเป้าหมายที่ใกล้ที่สุดและเหมาะสมที่สุดในทางทฤษฎี มีทั้งน้ำแข็งใต้พื้นผิวและชั้นบรรยากาศบางเบาที่อาจปรับเปลี่ยนให้เอื้อต่อการดำรงชีวิตได้
แต่สิ่งที่หลายคนไม่พูดถึงคือ ธรรมชาติของดาวอังคารที่โหดร้ายอย่างไร้ความเมตตา อากาศที่เบาบางจนแทบไม่มีออกซิเจน อุณหภูมิที่หนาวเย็นเกินจินตนาการ และรังสีคอสมิกที่ไร้ซึ่งเกราะป้องกัน นี่คือโลกที่ทุกลมหายใจคือความท้าทาย และทุกการกระทำต้องแลกมาด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
มนุษย์อาจสร้างโดมป้องกัน กำแพงที่แยกเราจากสภาพแวดล้อมภายนอก แต่นั่นก็เหมือนกับการกักขังตัวเองใน “กรงทองคำ” ที่ภายนอกเต็มไปด้วยความเวิ้งว้างและความตายที่รอคอย
คำสาปแห่งความว่างเปล่า
เรื่องเล่าที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับดาวอังคารไม่ได้มาจากธรรมชาติที่รุนแรงเท่านั้น หากแต่จาก “เสียงกระซิบ” ที่นักบินอวกาศบางคนอ้างว่าได้ยินในระหว่างปฏิบัติภารกิจสำรวจ ความเงียบของอวกาศที่ดูเหมือนจะเรียกหาพวกเขา ให้เดินออกไปสู่อวกาศว่างเปล่าโดยไร้เหตุผล
ในปี 2033 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ไปตั้งถิ่นฐานชั่วคราวบนดาวอังคาร ได้รายงานถึงความผิดปกติที่ไม่มีใครอธิบายได้ พวกเขาอ้างว่ามีเงาเคลื่อนไหวอยู่ภายนอกสถานี ทั้งที่ดาวอังคารไม่ควรมีสิ่งมีชีวิตใด ๆ เงานั้นไม่ได้เป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งในทีมงานกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ เหลือไว้เพียงชุดอวกาศที่ขาดรุ่งริ่ง และรอยเท้าที่เดินหายไปในพายุทราย
ดาวเคราะห์ที่เคยมีชีวิต หรือฝันร้ายของเผ่าพันธุ์อื่น?
มีข้อสันนิษฐานว่าดาวอังคารอาจเคยมีสิ่งมีชีวิตมาก่อนอารยธรรมที่รุ่งเรืองจนถึงขีดสุด แต่ถูกลบหายไปจากการล่มสลายที่น่าสะพรึงกลัว บางทฤษฎีกล่าวว่าผิวสีแดงของดาวนั้นเป็น “คราบเลือด” ของสิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่
ถ้าหากมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่เคยตั้งรกรากที่นั่นก่อนหน้าเรา มันอาจไม่ได้จากไปโดยสมบูรณ์ มันอาจซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของหุบเหว หรือใต้พื้นผิวที่มนุษย์ยังไม่ได้สำรวจอย่างลึกซึ้ง เสียงกระซิบในความเงียบที่นักบินอวกาศได้ยิน อาจเป็นเสียงจากพวกมันที่พยายามเตือนเรา…หรือหลอกล่อเราให้ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับมัน
บ้านหลังที่สอง หรือดินแดนที่หลอกลวง?
การอพยพไปยังดาวอังคารอาจไม่ใช่จุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ หากแต่เป็นจุดจบของมนุษยชาติ เราอาจนำเอาความหวังไปสู่ดวงดาวแห่งนี้ เพียงเพื่อพบกับความจริงที่ว่าเราไม่สามารถหนีพ้นชะตากรรมของตัวเองได้
เมื่อมนุษย์ตั้งรกรากที่นั่น โลกที่เราทิ้งไว้เบื้องหลังจะกลายเป็นตำนาน และดาวอังคารจะกลายเป็นสถานที่ที่เราค่อย ๆ เลือนหายไป ท่ามกลางทะเลทรายสีแดงที่ไร้ชีวิต ชะตากรรมของเราจะกลายเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้าเรา
ดาวอังคารอาจเป็นบ้านหลังที่สองของมนุษย์ แต่บางทีมันอาจเป็นบ้านหลังสุดท้าย ดินแดนที่ดูเหมือนจะมอบโอกาส แต่แท้จริงแล้วกลับพรากทุกสิ่งไปจนหมดสิ้น
และในท้ายที่สุด เมื่อมนุษย์คนสุดท้ายยืนอยู่บนดาวสีแดงนี้ และมองกลับมาสู่โลกใบเก่าที่ลุกไหม้และว่างเปล่า เขาอาจจะรู้สึกได้ถึงสิ่งหนึ่งที่อยู่รอบตัวเสียงกระซิบของดาวอังคาร ที่เตือนเขาว่า…เราไม่เคยเป็นเจ้าของที่นี่เลย ตั้งแต่แรก…














