ถ้าจะให้โลกกลายเป็นหลุมดำ เราต้องบีบมันให้เล็กขนาดไหน?
เรียบเรียงโดย: Boss Panuwat
ในทฤษฎีของฟิสิกส์ หลุมดำ (Black Hole) เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ดึงดูดความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นวัตถุที่มีความลึกลับและมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนสิ่งอื่นใดในจักรวาล หลุมดำเป็นพื้นที่ในอวกาศที่มีความหนาแน่นสูงมากจนแรงโน้มถ่วงของมันสามารถดึงดูดแม้แต่แสง ซึ่งหมายความว่าแสงไม่สามารถหลุดออกจากหลุมดำได้
หลายคนอาจสงสัยว่า หากจะทำให้โลกกลายเป็นหลุมดำ เราต้องบีบมันให้เล็กขนาดไหน? หากคำถามนี้น่าสนใจสำหรับคุณ มาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหลุมดำและสูตรที่สามารถใช้คำนวณขนาดของมันกันเถอะ
Schwarzschild Radius: จุดเริ่มต้นของการคำนวณหลุมดำ
เรื่องราวของการคำนวณขนาดของหลุมดำเริ่มต้นจากนักฟิสิกส์ที่ชื่อว่า คาร์ล ชวาร์ซชิลด์ (Karl Schwarzschild) เขาเป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ที่มีผลงานสำคัญในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมวลและแรงโน้มถ่วง เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้เข้าร่วมกองทัพและถูกส่งไปยังแนวรบทางด้านรัสเซีย
แม้ว่าสถานการณ์จะไม่ดีและทุกคนจะเข้าใจถ้าหากเขาต้องการให้ความสนใจไปที่การเอาชีวิตรอด แต่เขากลับมีการอ่านวัสดุทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Relativity) ของไอน์สไตน์ ที่อธิบายว่า วัตถุที่มีมวลมากจะบิดเบือนเวลาและอวกาศ ซึ่งเราเห็นเป็นแรงโน้มถ่วง
ในช่วงเวลานั้น ชวาร์ซชิลด์ได้พิจารณาทฤษฎีนี้และเกิดความคิดว่า หากวัตถุที่มีมวลมากพอถูกบีบอัดให้เล็กลง มันจะสามารถบิดเบือนเวลาและอวกาศมากพอจนกระทั่งแม้แต่แสงก็ไม่สามารถหลุดออกจากมันได้
สูตรที่ใช้คำนวณรัศมีของหลุมดำ
จากแนวคิดดังกล่าว ชวาร์ซชิลด์ได้เสนอสูตรในการคำนวณรัศมีที่วัตถุจะกลายเป็นหลุมดำ ซึ่งสูตรนี้เรียกว่า Schwarzschild Radius โดยมีการคำนวณดังนี้:
R = (2GM) / (c^2)ในที่นี้:
- R คือ รัศมีของหลุมดำ
- G คือ ค่าคงที่ทางแรงโน้มถ่วง (Gravitational Constant)
- M คือ มวลของวัตถุที่เราจะพิจารณา
- c คือ ความเร็วของแสง (Speed of Light)
สูตรนี้แสดงให้เห็นว่า ความมืดที่เกิดจากหลุมดำเกิดจากการบีบอัดวัตถุให้เล็กลงไปจนถึงจุดที่ไม่สามารถหลบหนีจากแรงโน้มถ่วงได้ แม้แต่แสงเองก็ตาม
จากทฤษฎีสู่การทดลอง: โลกจะกลายเป็นหลุมดำได้อย่างไร?
การคำนวณที่เกิดจากทฤษฎีของชวาร์ซชิลด์นี้บอกเราว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถกลายเป็นหลุมดำได้หากมันถูกบีบอัดให้เล็กลงถึงขนาดที่สูตรนี้คำนวณไว้ แต่นั่นไม่หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นได้ในทางปฏิบัติ
ยกตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์ของเราจะต้องถูกบีบอัดให้มีรัศมีเพียงประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อกลายเป็นหลุมดำ นั่นหมายความว่า หากดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กกว่านี้ เราจะไม่สามารถเห็นแสงจากมันได้เลย!
ในขณะที่โลกของเราจะต้องถูกบีบอัดให้มีรัศมีเพียง 8.7 มิลลิเมตร ซึ่งค่อนข้างจะเล็กมากและไม่น่าจะดูน่าสนใจสำหรับการทดลองหรือการศึกษา แต่นี่คือแนวคิดที่นักฟิสิกส์ใช้ในการคำนวณว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากโลกถูกบีบอัดจนกลายเป็นหลุมดำ
การศึกษาหลุมดำในยุคปัจจุบัน
ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังคงศึกษาหลุมดำอย่างต่อเนื่อง และมีการค้นพบที่น่าสนใจเกี่ยวกับหลุมดำจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือการสังเกตการสร้างหลุมดำจากการยุบตัวของดาวฤกษ์ที่มีมวลมหาศาล เมื่อดาวฤกษ์เหล่านั้นยุบตัวลง มันจะกลายเป็นหลุมดำ ซึ่งบางครั้งนักวิทยาศาสตร์จะพบว่าแม้แต่ดาวฤกษ์ที่มีมวลถึง 40 เท่าของดวงอาทิตย์ก็ยังไม่สามารถสร้างหลุมดำได้หากมันไม่ได้รับการบีบอัดตามหลักทฤษฎี
แนวคิดของหลุมดำเป็นสิ่งที่ยังคงท้าทายการรับรู้ของมนุษย์ และนับเป็นหนึ่งในหัวข้อที่สำคัญในการศึกษาความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล