สวนในเงา
สวนในเงา
อักษราลัย
ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งหนึ่ง มีห้องจัดแสดงที่ผู้คนต่างล่ำลือกันว่าลึกลับที่สุด ห้องนั้นมีชื่อเรียกง่าย ๆ ว่า “สวนกระจก” ภายในมีเพียงต้นไม้แห้งตายต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยกระจกเงาสูงจรดเพดานทั้งสี่ด้าน สะท้อนภาพต้นไม้ไร้ชีวิตนั้นไปไม่สิ้นสุด ผู้เข้าชมต่างพากันสงสัยในชื่อของห้องนี้ สวนอันใดกัน ที่มีแต่ความว่างเปล่าและความตาย
วันหนึ่ง เด็กชายตาบอดคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง มือข้างหนึ่งจับแขนครูผู้พาเขามาเยือน เท้าที่ก้าวอย่างระมัดระวังหยุดทันทีที่เข้ามาในห้อง ใบหน้าน้อย ๆ เงยขึ้นราวกับกำลังตั้งใจฟังบางสิ่ง
“ครูครับ” เสียงใสของเด็กชายทำลายความเงียบ “ผมได้ยินเสียงใบไม้เยอะจัง ต้องเป็นสวนที่กว้างใหญ่มากแน่ ๆ เลย”
ครูหนุ่มมองเด็กชายด้วยความเวทนา “เธอคงเข้าใจผิดแล้วละ ที่นี่มีต้นไม้อยู่แค่ต้นเดียว และมันก็เป็นต้นไม้ที่ตายซากเสียด้วย”
“แต่ผมได้ยินชัดเลยนะครับ” เด็กชายยืนยันเสียงหนักแน่น “เสียงใบไม้ไหวเบา ๆ รอบ ๆ ตัวผม”
ขณะนั้น ชายผู้เป็นภัณฑารักษ์ประจำห้องนี้มานานนับสิบปี ก้าวเข้ามาอย่างเงียบ ๆ รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย
“เด็กน้อยพูดถูกแล้ว” เสียงแหบแห้งแต่อบอุ่นเอ่ยขึ้น “เขาได้ยินเสียงสะท้อนของความว่างเปล่า”
“เสียงสะท้อนของความว่างเปล่า?” ครูหนุ่มทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
ภัณฑารักษ์ยิ้มกว้างขึ้น “ใช่แล้ว เสียงที่เด็กชายได้ยินคือเสียงของต้นไม้ที่หายไป สะท้อนกังวานอยู่ระหว่างกระจก เหมือนดั่งความทรงจำที่สะท้อนอยู่ในห้วงลึกของหัวใจ บางครั้ง สิ่งที่จากไปแล้วกลับมีตัวตนชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า”
“แล้วทำไมถึงต้องวางต้นไม้ที่ตายแล้วไว้ตรงนี้?” ครูหนุ่มถามต่อ
ภัณฑารักษ์หลับตาลงช้า ๆ “เพราะบางครั้ง เราต้องเผชิญหน้ากับความตายเพื่อเข้าใจคุณค่าของชีวิต ต้องสัมผัสความว่างเปล่าเพื่อเข้าใจความสมบูรณ์” เขาเปิดตาขึ้นช้า ๆ มองไปที่เด็กชาย “และบางที การมองเห็นก็อาจทำให้เราตาบอดต่อความจริงบางอย่าง ดังเช่นคนตาดีในห้องนี้ที่เห็นเพียงซากไม้แห้ง แต่เด็กน้อยผู้ไม่เห็นด้วยตากลับได้ยินเสียงของสวนทั้งผืน”
รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กชาย “ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วละครับ ว่าทำไมที่นี่ถึงชื่อว่าสวนกระจก มันไม่ได้สะท้อนแค่ภาพ แต่สะท้อนให้เราเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจของเราเอง”
นับแต่วันนั้น ผู้คนที่เข้ามาเยือนสวนกระจกเริ่มเข้าใจความหมายที่แท้จริง ว่าบางครั้งความว่างเปล่าก็มีเสียงกังวาน ความสูญเสียก็มีตัวตน และในกระจกบานเดียวกัน แต่ละคนอาจเห็นภาพสะท้อนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากำลังมองด้วยตา หรือกำลังมองด้วยหัวใจ