'เรกูลัส แบล็ก' ทำไมเขาถึงยอมสละชีวิตตัวเองแทนครีเชอร์
เกริ่นนำ ซิเรียส แบล็กเคยเล่าให้พวกแฮร์รี่ฟังว่า น้องชายของเขา – เรกูลัส แบล็ก - เป็นลูกรักของแม่ เพราะเขาเดินตามรอยเส้นทางของตระกูลแบล็กอันสูงส่งต่างจากเขาที่เลือกจะแหกคอกและหนีไปจากครอบครัว
ซิเรียสเข้าใจว่าน้องชายถูกฆ่าตายตามคำสั่งของโวลเดอมอร์ในช่วงสงครามครั้งแรก เพราะพยายามจะหนีออกมาจากกลุ่มในภายหลัง และทำให้แม่ของเขาต้องตรอมใจตายในอีกไม่กี่ปีต่อมา
จนกระทั่งครีเชอร์ได้เผยเรื่องราวทั้งหมดให้พวกแฮร์รี่ฟัง พวกเขาจึงได้รู้ความจริงว่าเรกูลัสได้ทำอะไรลงไป
ถ้าลองอ่านบทที่ 10 (เรื่องเล่าของครีเชอร์) ในเล่มเครื่องรางยมทูต ผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า เรกูลัสน่าจะปฏิบัติกับครีเชอร์ราวกับว่าเขาเป็นคนในครอบครัว หรืออาจมองเห็นเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่คอยเลี้ยงและโตมากับเขาตั้งแต่วัยเด็ก – ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างแปลกและหายากมาก
ตลอดทั้ง 7 เล่ม เราได้เห็นกันแล้วว่าพ่อมดมีมุมมองและปฏิบัติกับพวกเอลฟ์ประจำบ้านอย่างไร แม้แต่พวกบ้านวีสลีย์ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลเลือดบริสุทธิ์ที่ดี ก็ยังมีมุมมองต่อเอลฟ์ประจำบ้านว่าเป็นทาสหรือคนรับใช้เท่านั้น
ฉะนั้นพอกลับมาอ่านบทนี้อีกครั้ง ผมจึงมีความรู้สึกว่ามันอะไรที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ในบทนี้เหมือนกัน
ตอนแรกเรกูลัสตื่นเต้นที่จะได้ทำงานให้กับโวลเดอมอร์ เขาเป็นแฟนตัวยงและติดตามเจ้าแห่งศาสตร์มืดมาตลอด ดังนั้นเมื่อโวลเดอมอร์เอ่ยปากกับเขาว่า “ต้องการเอลฟ์สักตัวหนึ่ง” เรกูลัสจึงไม่รอช้า รีบส่งครีเชอร์ เอลฟ์ประจำบ้านที่เขารักไปให้จอมมารทันที
ก่อนจะพบว่านั่นคือความผิดพลาดมหันต์ เมื่อครีเชอร์กลับมาบ้านในสภาพที่เสียสติราวกับถูกทรมาน แล้วเรกูลัสก็ได้รู้ว่าครีเชอร์ถูกจอมมารบังคับให้กินน้ำยาเสียสตินั้นเข้าไปเพื่อจะซ่อนฮอร์ครักซ์ของตนเองในอ่างหิน
และนั่นน่าจะเป็นหนึ่งในหลายๆ ครั้งที่โวลเดอมอร์ทำพลาดโดยไม่รู้ตัว – นั่นคือ “ประเมินค่าความรักต่ำเกินไป”
เรกูลัสเริ่มรู้สึกกังวล บางทีเขาอาจตาสว่างในตอนนั้นว่าโวลเดอมอร์ไม่ได้เป็นไอดอลหรือวีรบุรุษอย่างที่เขาเคยคาดคิด เขาให้จอมมารยืมเอลฟ์ประจำบ้านที่เขารักไป เพราะคิดว่าจะใช้เอลฟ์ในทางที่ถูกที่ควร แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาคือเอลฟ์ที่เสียสติเพราะถูกบังคับให้กินน้ำยาศาสตร์มืด
บางทีอาจจะเหมือนเซเวอร์รัส สเนป นั่นล่ะ กว่าจะรู้ว่าโวลเดอมอร์นั้นเหี้ยมโหดและไร้หัวใจเพียงใด ก็ต่อเมื่อคนใกล้ตัวหรือคนที่ตนรักได้ถูกจอมมารคุกคาม
จากเรื่องเล่าของครีเชอร์ ทำให้เราพออนุมานได้ว่าเรกูลัสทำอะไรหลังจากนั้น (แม้จะไม่ได้เขียนไว้ในหนังสือ) – เขาขอให้ครีเชอร์เล่าให้ฟังว่าจอมมารพาไปทำอะไร จากนั้นเขาจึงค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ลองค้นคว้าข้อมูลดู จนพบว่าของล็อกเก็ตนั้นน่าจะเป็นฮอร์ครักซ์แน่นอน
แล้วเขาก็เตรียมตัว ทำล็อกเก็ตปลอม เขียนโน้ตทิ้งไว้ในนั้น และบอกให้ครีเชอร์พาเขากลับไปที่ถ้ำ เรกูลัสดื่มน้ำยานั้นเข้าไป เอาล็อกเก็ตของจริงออกมาส่งให้ครีเชอร์ กำชับและสั่งให้ครีเชอร์กลับไปบ้าน แล้วหาวิธีทำลายฮอร์ครักซ์นั้นให้ได้
ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองถูกอินเฟอไรลากลงไปในทะเลสาบอันดำมืดแห่งนั้น
ทำไมเขาต้องสละตัวเองขนาดนั้นด้วย หรือ อย่างน้อยให้ครีเชอร์พาตัวเองกลับมาบ้านก็ได้ไม่ใช่หรือ?
ที่เขายอมสละตัวเอง มันอาจสะท้อนให้เห็นว่าเขารักและผูกพันกับเอลฟ์ตัวนี้มากเพียงใด พวกเราต่างเห็นว่าพวกพ่อมดมีมุมมองและการปฏิบัติที่ไม่ดีกับพวกเอลฟ์มาโดยตลอด ตั้งแต่พวกมัลฟอย นายเคร้าช์ ซิเรียส หรือแม้แต่รอนกับแฮกริดเองก็มีมุมมองว่าพวกเอลฟ์ชอบเป็นทาส
พวกเราอาจจะอ่านและซึมซับไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องธรรมดา แม้เฮอร์ไมโอนี่จะพยายามบอกทุกคนว่า พ่อมดต้องปฏิบัติกับเอลฟ์ด้วยความเคารพมากกว่านี้
สุดท้ายกว่าสิ่งที่เธอเตือนจะเห็นเป็นรูปธรรม ก็ตอนที่แฮร์รี่และรอนได้ยินเรื่องเล่าของครีเชอร์นี่เอง เฮอร์ไมโอนี่จึงบอกว่า "พ่อมดต้องชดใช้กับสิ่งที่ได้ทำกับเอลฟ์"
หรือบางทีเรกูลัสอาจกำลังบอกพวกเราว่า แบล็กที่นอกคอกนั้น ไม่ได้มีแค่ซิเรียสคนเดียว
ส่วนเหตุผลที่ว่าครีเชอร์ไม่พาเขากลับมาด้วยนั้น ในมุมของผม ผมคิดว่าเรกูลัสน่าจะเตรียมใจมาเพื่อ #สละชีวิตตัวเอง แต่แรกอยู่แล้ว เพราะ เขาดันไปพบความลับสุดยอดของจอมมาร (การสร้างฮอร์ครักซ์) เขาจึงตระหนักว่าเรื่องนี้จะทำให้ครอบครัวต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอนและเขาเองก็คงไม่สามารถต้านทานพลังการอ่านใจของจอมมารได้
อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าลึกๆ เรกูลัสคงอยากเอาคืนโวลเดอมอร์ ที่เอาเอลฟ์ที่เขารักไปทรมานและเกือบฆ่ามันตายเพียงเพื่อจะซ่อนฮอร์ครักซ์ของตนเอง
บางคนอาจถามว่าแล้วทำไมครีเชอร์ไม่ช่วยเรกูลัส - อย่าลืมสิครับว่าเอลฟ์ประจำบ้านมีกฏที่ใหญ่ที่สุดคือ “คำสั่งของเจ้านายถือเป็นเด็ดขาด”
ในเมื่อเรกูลัสสั่งให้ครีเชอร์ทิ้งเขาไว้และกลับไปที่บ้าน มันก็ต้องทำตามคำสั่งนั้นอย่างเคร่งครัด แม้จะดูเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีคนหนึ่งก็ตาม
อ้างอิงจาก: พอตเตอร์ไดอารี่