เงาในกระจก
เงาในกระจก
โดย #อักษราลัย
มัสยาจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง แสงจากโคมไฟที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งทำให้เกิดเงาวูบไหวไปทั่วห้อง เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สักเก่าแก่ที่เคยเป็นของย่า กำลังแปรงผมยาวดำขลับของตัวเองอย่างเนิบนาบสบายอารมณ์
บ้านไม้สองชั้นหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากย่าที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสองเดือนก่อน เป็นบ้านที่ย่าอยู่มาตั้งแต่แต่งงานกับตา นานกว่าห้าสิบปี ตอนแรกมัสยาไม่อยากย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่พ่อกับแม่ยืนยันว่าเธอควรมาดูแลบ้านแทนย่า เพราะตัวเองก็ทำงานอยู่ใกล้ ๆ อยู่แล้ว
“ย่าฝากบ้านไว้ให้หนูดูแลนะ” แม่บอกก่อนจะกลับกรุงเทพฯ “อย่าลืมจุดธูปไหว้ย่าทุกวันพระด้วย ย่ารักหนูมากนะ ถึงหนูจะไม่ค่อยได้มาหาท่านก็เถอะ”
ประโยคสุดท้ายของแม่ทำให้มัสยารู้สึกผิดเล็ก ๆ จริงอยู่ที่เธอไม่ค่อยได้มาเยี่ยมย่า แต่มันก็มีเหตุผล... เธอจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยมาเยี่ยมย่าที่บ้านหลังนี้บ่อย ๆ แต่ไม่เคยได้พักค้างคืน เพราะทุกครั้งที่พ่อแม่จะชวนนอนค้าง เธอจะร้องไห้งอแงจนต้องพากลับบ้านทุกที
“บ้านย่ามันน่ากลัว” เธอบอกพ่อแม่แบบนั้น “หนูรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ตลอดเวลา”
แต่ตอนนี้เธอโตแล้ว วัย 25 ปี ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทซอฟต์แวร์ในตัวเมือง ความกลัวผีสางเรื่องไร้สาระในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยเหตุผลและตรรกะ อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เธอพยายามบอกตัวเอง
เธออยู่ที่นี่มาได้สามวันแล้ว เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ถ้วยกาแฟที่เธอวางไว้บนโต๊ะในคืนก่อน กลับเปลี่ยนที่ไปอยู่ในอ่างล้างจาน กระดาษโน้ตที่เธอเขียนไว้หายไป แล้วโผล่มาอยู่ในลิ้นชักห้องนอน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาบนชั้นสองตอนดึก ๆ ทั้งที่เธออยู่คนเดียว
มัสยาพยายามหาเหตุผลมาอธิบายทุกอย่าง อาจเป็นเพราะเธอเหนื่อยจากการทำงาน หรือบางทีอาจเป็นเพราะความเครียดที่ต้องย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ แต่เมื่อถามแม่ทางโทรศัพท์เกี่ยวกับเรื่องของบ้าน แม่ก็เล่าเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
“ย่าเหงามากนะหลังจากตาจากไป” แม่เล่า “ตาเสียชีวิตกะทันหันมาก หัวใจวายตอนกำลังนอนอยู่ในห้องนอน ย่าเป็นคนเจอศพตาตอนเช้า นับจากวันนั้น ย่าก็เปลี่ยนไป ชอบพูดคนเดียว บางครั้งแม่ได้ยินท่านคุยกับตาเหมือนท่านยังอยู่”
“แล้วทำไมแม่ถึงอยากให้หนูมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?” มัสยาถาม
“ก็... ย่าสั่งไว้น่ะ ก่อนท่านจะเสีย ท่านบอกว่าอยากให้หนูมาอยู่ที่นี่ ท่านบอกว่า... หนูเป็นคนเดียวที่เห็น”
“เห็นอะไรคะ?”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ย่าพูดแค่นั้น แต่ท่าทางท่านจริงจังมาก”
เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดดังขึ้นจากด้านนอกห้อง มัสยาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขำตัวเอง บ้านไม้เก่า ๆ แบบนี้มันก็ต้องมีเสียงประหลาดบ้างเป็นธรรมดา แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานก็มีเสียงแบบนี้เหมือนกัน และมันดังขึ้นในเวลาเดียวกันพอดี
เธอหันกลับมามองกระจกอีกครั้ง แล้วก็ต้องชะงัก... เงาในกระจกดูแปลกไป มันไม่ได้เคลื่อนไหวตามการเคลื่อนไหวของเธอ มัสยากะพริบตาถี่ ๆ พยายามมองให้ชัด
เงานั้น... มันกำลังยิ้ม...ไม่สิ...มันกำลังแสยะยิ้ม
หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น มือที่ถือแปรงสั่นเทา เธอลุกพรวดจากเก้าอี้ แต่เงาในกระจกยังนั่งอยู่ที่เดิม ริมฝีปากบางเฉียบของมันคลี่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนเห็นฟันขาวซี่เล็ก ๆ เรียงแถว
“ไม่... ไม่จริง” มัสยาถอยหลังจนชนผนัง
เงานั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แต่ไม่ใช่ในท่าทางเดียวกับที่เธอลุกเมื่อครู่ มันเคลื่อนไหวอย่างผิดธรรมชาติ เหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกชักใย ศีรษะเอียงไปด้านข้าง ในมุมที่ไม่น่าเป็นไปได้
“หลานสาวที่รัก” เสียงแหบแห้งดังออกมาจากกระจก “ย่าคิดถึงหนูมากเลยนะ หนูเป็นคนเดียวที่เห็นย่าได้ตั้งแต่เด็ก ย่ารอวันนี้มานาน... นานมาก”
มัสยากรีดร้องออกมาสุดเสียง วิ่งออกจากห้องนอนลงบันไดไปชั้นล่างอย่างไม่คิดชีวิต เธอได้ยินเสียงหัวเราะแหบแห้งไล่หลังมา พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินลงบันไดตามมาทีละขั้น ๆ เสียงฝีเท้านั้นแปลกประหลาด ราวกับมีคนเดินลงมาสองคนพร้อมกัน
“จะรีบไปไหนล่ะหลานรัก” เสียงนั้นดังขึ้นอีก “ย่าอุตส่าห์รอหนูมาตั้งนาน ตั้งแต่วันแรกที่หนูมาเยี่ยมย่าตอนอายุห้าขวบ ย่ารู้ว่าหนูพิเศษ... หนูเห็นย่าได้... เห็นพวกเราได้”
มัสยาวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน พยายามเปิดมันออก แต่ลูกบิดกลับหมุนไม่ได้ เธอหันไปทางหน้าต่าง แต่ทุกบานถูกปิดสนิท บานเกล็ดไม้เก่า ๆ ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย
“หนูทิ้งย่าไปนานเกินไปแล้ว” เสียงนั้นใกล้เข้ามา “ย่าเหงามากเลยนะ ต้องอยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้... แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก... ตาก็อยู่กับย่าตลอด แต่ท่านไม่ยอมคุยกับย่าเลย... นั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้น... ตรงที่ท่านจากไป...”
มัสยาหันกลับไปมอง ร่างของย่ายืนอยู่ที่เชิงบันได แต่มันไม่ใช่ย่าที่เธอจำได้ ร่างนั้นผอมแห้งเหมือนมัมมี่ ผิวหนังเหี่ยวย่นเป็นสีเทาซีด ผมสีขาวยาวรุงรังปรกหน้า แต่เธอเห็นดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองผ่านเส้นผมนั้นมาได้ชัดเจน และข้าง ๆ ร่างของย่า มีเงาดำทะมึนอีกร่างหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างคล้ายชายชรา แต่ไร้ใบหน้า
“มา... อยู่กับย่านะ” ร่างของย่ายื่นมือที่มีเล็บยาวแหลมออกมา “เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป... ทั้งหนู... ย่า... และตา”
มัสยาส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอถอยหลังจนชิดประตู ไม่มีทางหนีแล้ว
“ย่าขอโทษนะที่ต้องทำแบบนี้” เสียงนั้นพูดต่อ น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย แฝงความเศร้า “แต่ย่าทนอยู่คนเดียวไม่ไหวแล้วจริง ๆ ตั้งแต่ตาของหนูจากย่าไป... ท่านก็เปลี่ยนไป... ไม่พูด ไม่จากไปไหน... แค่นั่งจ้องย่าวันแล้ววันเล่า...”
เงาดำข้าง ๆ ย่าขยับเล็กน้อย ราวกับหันมามองย่า แต่ก็ยังคงเงียบ
“ย่าพยายามคุยด้วยทุกวัน... แต่ตาไม่เคยตอบ... ย่า ย่าเลยต้องหาเพื่อนคนอื่น... แต่ก็ไม่มีใครมาเยี่ยมย่า วันแล้ววันเล่า... ไม่มีใครเห็นอีกส่วนของย่า... นอกจากหนู”
ร่างของย่าเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ มัสยารู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างนั้น กลิ่นอับชื้นของความตายโชยมาปะทะจมูก พร้อม ๆ กับกลิ่นธูปที่เธอไม่เคยจุดมาก่อน
“แต่ตอนนี้หนูมาอยู่กับย่าแล้ว” ร่างนั้นอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว “เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป... ตลอดไป... เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์... หนูจะได้เห็นว่าตาเป็นยังไง... ท่านนั่งตรงไหน... ท่านมองย่ายังไง...”
มัสยาหลับตาแน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกถึงมือเย็นเฉียบที่แตะตรงหน้าผาก
“ไม่ต้องกลัวนะหลานรัก” เสียงแหบแห้งกระซิบข้างหู “ย่าจะไม่ทำให้เจ็บหรอก... แค่จะพาหนูไปอยู่กับพวกเรา... ในที่ที่ไม่มีใครทิ้งใครไปไหน... ที่ที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป...”
แล้วความมืดก็กลืนกินทุกอย่าง
---
เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนร่วมงานของมัสยาโทรหาเธอหลายครั้งเพราะเธอไม่มาทำงาน แต่ไม่มีใครรับสาย พวกเขาจึงตัดสินใจมาที่บ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ระหว่างทางมาที่บ้าน พวกเขาได้คุยกับเพื่อนบ้านแถวนั้น และได้ยินเรื่องเล่าประหลาดเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ เรื่องของหญิงชราที่อาศัยอยู่คนเดียวหลังจากสามีเสียชีวิต ที่ชอบคุยกับความว่างเปล่า นั่งร้องไห้คนเดียวยามดึก และบางครั้งก็หัวเราะเสียงดังโดยไม่มีเหตุผล
เมื่อมาถึง พวกเขาพบว่าประตูบ้านไม่ได้ล็อก เปิดออกได้ง่าย ๆ ภายในบ้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดอ้าทิ้งไว้ และกลิ่นธูปจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ
พวกเขาเดินขึ้นไปชั้นบน พบมัสยานั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน กำลังแปรงผมอย่างเนิบนาบ ข้าง ๆ เธอมีธูปที่จุดทิ้งไว้จนมอดดำ
“มัสยา ทำไมไม่ไปทำงานล่ะ? โทรหาก็ไม่รับ”
มัสยาหันมามองพวกเขาช้า ๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ๆ
“ขอโทษนะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แต่มัสยาไม่อยู่แล้ว... มีแต่ย่าคนเดียวที่อยู่ที่นี่... กับตา... และหลานสาวคนใหม่ของเรา”
เงาในกระจกสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่น ผมสีขาว และดวงตาสีแดงก่ำที่จ้องมองมา พร้อมกับเงาดำทะมึนที่ยืนอยู่ข้างหลัง และร่างของหญิงสาวผมยาวที่นั่งแน่นิ่งบนเก้าอี้ ดวงตาเธอว่างเปล่า ริมฝีปากซีดเซียว
ก่อนที่ใครจะทันได้วิ่งหนี ประตูและหน้าต่างทุกบานก็ปิดลงพร้อมกันด้วยตัวเอง
เสียงหัวเราะแหบแห้งดังก้องไปทั่วบ้าน
“มาอยู่เป็นเพื่อนย่ากันเถอะ...” เสียงนั้นกระซิบ “ย่าจะได้ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป... และครอบครัวของเราจะได้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ...”
.
สูตรคำนวณงวด 2/1/69
เลขเด็ด "หวยไทยรัฐ" งวดวันที่ 2 มกราคม 69..รีบส่องด่วน ก่อนเกลี้ยงแผง!!
รีวิวหนังดัง SURROGATES คนอึดฝ่านรกโคลนนิ่ง
เจาะลึกลำดับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมซาวน่าญี่ปุ่น เมื่อพื้นที่ส่วนตัวกลายเป็นกับดักมรณะ
อาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จักรวาลร่วมฉลองส่งท้ายปี! NASA อวดโฉม "ต้นคริสต์มาสยักษ์" แห่งห้วงอวกาศลึก 2,500 ปีแสง
ศุลกากรจับมือ 5 แพลตฟอร์มยักษ์ ดีเดย์ 1 ม.ค. 69 เก็บภาษีสินค้านำเข้าออนไลน์ตั้งแต่บาทแรก
ลุกขึ้นไได้...ก็ชนะ
"สาละ" ดอกไม้ในตำนานเกี่ยวกับพุทธประวัติของพระมหาศาสดาของศาสนาพุทธ (สาละในหลวงพระบาง)
ได้ใจคนไทยเต็มๆ สีหศักดิ์เผยประชุม รมว.กต.อาเซียน "ไทยไม่ตกลงหยุดยิง"
ย้อนชะตากรรม "ขันทีหัวใจพระโพธิสัตว์" ยอมแก้ราชโองการเพียงหนึ่งคำ เพื่อรักษาชีวิตคนนับพัน
ท่องตลาดราตรี วันอังคารและวันพฤหัสบดี สีสันยามเย็นของอาหารและแฟชั่นจากไทย (พนมเปญ)
อย่าเป็น "วัวลืมตีน" !! "ณวัฒน์" รับ เตีอน "ชาล็อต" เพราะระอาพฤติกรรมลืมตัว
โฆษก "ฮุนเซน" โม้หนัก!! เคยผ่านการรบมาแล้วนับ 100 ครั้ง!!
ลุกขึ้นไได้...ก็ชนะ
"สาละ" ดอกไม้ในตำนานเกี่ยวกับพุทธประวัติของพระมหาศาสดาของศาสนาพุทธ (สาละในหลวงพระบาง)
ทำไมคนค้าขายสินค้าที่ผิดศีลธรรมจึงร่ำรวย?



