เข็มทิ่มวิญญาณ
เข็มทิ่มวิญญาณ
โดย #อักษราลัย
เสียงกรีดร้องแหลมเสียดแก้วหูดังสนั่นทะลุผนังห้อง อลิชาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เหงื่อเย็นไหลซึมชุ่มเสื้อนอน หัวใจ เต้นรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอก เธอกวาดตามองไปรอบห้องนอนที่มืดสนิท แสงสลัวจากนอกหน้าต่างทำให้เห็นเพียงเงาตะคุ่มของเฟอร์นิเจอร์ที่ดูบิดเบี้ยวผิดรูปร่างไปในความมืด
“ฝันร้ายอีกแล้วสินะ” เธอพึมพำกับตัวเอง พลางลูบแขนที่ขนลุกชัน ทั้ง ๆ ที่อากาศในห้องร้อนอบอ้าว
อลิชาลุกขึ้นนั่งบนเตียง สายตากวาดมองรอบห้องอย่างหวาดระแวง ความรู้สึกแปลก ๆ ว่ามีใครหรืออะไรบางอย่างกำลังจ้องมองเธออยู่ไม่ยอมคลายไป เธอสูดหายใจลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ฝันร้าย” เธอบอกกับตัวเอง แต่เสียงกระซิบในหัวกลับตอบกลับมาว่า 'จริงเหรอ?'
เธอลุกจากเตียง จรดปลายเท้าเบา ๆ ไปที่หน้าต่าง ม่านหนาถูกรูดปิดสนิท อลิชาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะแง้มม่านออกเล็กน้อย มองลอดออกไปยังถนนเส้นเล็ก ๆ ด้านหน้าบ้าน
สายตาของเธอเหลือบไปเห็นร่างสีดำยืนนิ่งอยู่ใต้เสาไฟฟ้า หัวใจของอลิชาเต้นรัว เธอกะพริบตาถี่ ๆ แล้วมองอีกครั้ง ร่างนั้นหายไปแล้ว มีเพียงเงาของต้นไม้ที่เคลื่อนไหวตามแรงลม
อลิชาปล่อยม่านกลับที่เดิม หันหลังพิงผนัง หลับตาลงแล้วสูดหายใจลึก ๆ อีกครั้ง
“โอเค อลิชา สงบสติอารมณ์หน่อย” เธอพูดกับตัวเอง “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างปกติดี”
แต่ทันใดนั้น เสียงแก้วแตกดังมาจากชั้นล่าง อลิชาสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นรัวเร็วจนแทบหยุดเต้น
“ใครน่ะ?” เธอเอ่ยถามเสียงสั่น ไม่มีคำตอบ มีเพียงความเงียบงันที่หนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก
อลิชาค่อย ๆ ย่องไปที่ประตูห้องนอน มือสั่นเทาขณะเอื้อมไปจับลูกบิด เธอเปิดประตูช้า ๆ แง้มออกมาเล็กน้อย มองลอดช่องแคบ ๆ ไปยังโถงทางเดิน
ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว แต่ความมืดมิดนั้นช่างน่า ขนลุก ราวกับมีอะไรบางอย่างซ่อนตัวอยู่ในเงามืด รอคอยจังหวะที่เธอเผลอ อลิชาสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้า ก่อนจะเปิดประตูออกกว้างและก้าวออกไปยังโถงทางเดิน เธอเดินอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้เกิดเสียงดัง มือลูบผนังไปด้วยเพื่อหาสวิตช์ไฟ
ในที่สุดก็พบสวิตช์ อลิชากดเปิดไฟ แสงสว่างจ้าพุ่งออกมาจากโคมไฟบนเพดาน ทำให้เธอต้องหรี่ตาชั่วขณะ
เมื่อสายตาปรับได้แล้ว เธอมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ไม่พบสิ่งผิดปกติใด แต่ความรู้สึกไม่สบายใจยังคงอยู่
อลิชาตัดสินใจเดินลงบันไดไปชั้นล่าง เธอย่องไปที่ห้องครัวซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเสียงแก้วแตก ประตูห้องครัวเปิดแง้มอยู่ อลิชาค่อย ๆ ผลักประตูให้เปิดกว้างขึ้น แล้วก็ต้องกลั้นหายใจด้วยความตกใจ
บนพื้นห้องครัว เศษแก้วแตกกระจายเต็มไปหมด น้ำหกเป็นทางยาว ราวกับมีใครตั้งใจทำแก้วตกแล้วลากมันไปบนพื้น แต่สิ่งที่ทำให้อลิชาตกใจที่สุดคือรอยเท้าสีแดงคล้ำที่ประทับอยู่บนพื้น นำไปสู่ประตูหลังบ้าน
“นี่มันอะไรกัน?” อลิชาพึมพำ ก้มลงสำรวจรอยเท้า อย่างใกล้ชิด กลิ่นคาวเลือดโชยมาเบา ๆ ทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้
ทันใดนั้น เธอก็สังเกตเห็นบางอย่าง ท่ามกลาง เศษแก้วมีวัตถุชิ้นเล็ก ๆ สีดำ อลิชาหยิบมันขึ้นมาดู
มันคือเข็มหมุดสีดำ ปลายแหลมคม
ความหวาดกลัวแล่นปราดเข้าสู่หัวใจ อลิชาโยน เข็มหมุดทิ้งราวกับมันเป็นถ่านร้อน เธอถอยหลังอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่... ไม่... มันเป็นไปไม่ได้” เธอพูดเสียงสั่น
แต่ก่อนที่อลิชาจะทันได้คิดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอสะดุ้งโหยง มือกุมอกด้วยความตกใจ
เสียงเรียกเข้าดังก้องไปทั่วบ้าน อลิชาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจรับสาย
“ฮะ... ฮัลโหล?” เธอพูดเสียงสั่น
ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงหายใจหนัก ๆ ดังมาตามสาย
“ใครน่ะ?” อลิชาถามอีกครั้ง
ยังคงไม่มีคำตอบ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้น
“อลิชา...” เสียงนั้นเรียกชื่อเธอ “เธอคิดว่าจะหนีพ้นเหรอ?”
อลิชาชะงัก เธอจำเสียงนั้นได้ มันคือเสียงของ...
“พนธกร?” เธอถามเสียงสั่น “นายยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”
เสียงหัวเราะแหบแห้งดังมาตามสาย “ชีวิต? ไม่หรอก อลิชา ฉันตายไปแล้ว และมันก็เป็นความผิดของเธอ”
อลิชารู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มือสั่นเทาจนแทบถือโทรศัพท์ไม่อยู่
“ไม่... ไม่ใช่ความผิดฉัน” เธอพูดเสียงสั่น “มันเป็นอุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุ?” เสียงในโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น “เธอทิ้งฉันไว้ให้ตาย อลิชา และตอนนี้ ฉันจะทำให้เธอรู้ว่ามันเป็นยังไง”
สายตัดไป เหลือเพียงเสียงสัญญาณว่างดังติ๊ด ติ๊ด
อลิชานั่งนิ่งอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทา น้ำตาไหลอาบแก้ม ความทรงจำเก่า ๆ ที่เธอพยายามลืมไหลบ่าเข้ามาในหัว
ภาพของพนธกรที่นอนจมกองเลือด ดวงตาเหม่อลอยไร้ชีวิต มือของเธอเปื้อนเลือด เสียงกรีดร้องของตัวเองดังก้องในหู
“ไม่... ไม่...” อลิชาพึมพำ พยายามสลัดภาพเหล่านั้น ออกไป
แต่แล้วจู่ ๆ ไฟในบ้านก็ดับวูบ ความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว อลิชากรีดร้องด้วยความตกใจ เธอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว มองไปรอบ ๆ อย่างหวาดกลัว
และแล้ว ในความมืด เธอก็เห็น...
ร่างของชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูห้องครัว ร่างกายผอมแห้งราวกับศพ ดวงตาเรืองแสงในความมืด จ้องมองมาที่เธอ ผิวหนังของเขาซีดเผือดและมีรอยแผลเหวอะหวะ ทั่วร่าง เลือดสีดำคล้ำไหลซึมออกมาจากบาดแผลเหล่านั้น
“สวัสดี อลิชา” เสียงของพนธกรดังขึ้น แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความอาฆาต “เธอคิดถึงฉันไหม?”
อลิชาถอยหลังอย่างตกใจ สายตาจับจ้องไปที่ร่างของพนธกรซึ่งยืนอยู่ที่ประตูห้องครัว เธอรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะหลุดออกมาจากอก
“ไม่... ไม่จริง” เธอพึมพำ “นายตายไปแล้ว”
พนธกรยิ้มอย่างน่าขนลุก เผยให้เห็นฟันที่ผุกร่อนและเหงือกสีดำคล้ำ เขาก้าวเข้ามาในห้องครัวช้า ๆ แสงจันทร์ ที่ลอดผ่านหน้าต่างเผยให้เห็นใบหน้าที่เน่าเปื่อย มีหนอนไต่ออกมาจากรูตาข้างหนึ่งของเขา
“ใช่ ฉันตายแล้ว” เขาพูดเสียงแหบแห้ง “แต่ฉันกลับมาเพื่อจัดการกับเธอ อลิชา”
อลิชาพยายามควบคุมสติ เธอมองหาทางหนี แต่พนธกรยืนขวางประตูอยู่ เธอถอยหลังจนชนกับเคาน์เตอร์ครัว
“ฉัน... ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เธอพูดเสียงสั่น “มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันบอกแล้วว่าฉันเสียใจ”
พนธกรหัวเราะเสียงแหบ “เสียใจ? เธอคิดว่ามันเพียงพอหรือ?”
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบบางอย่างออกมา อลิชาตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นว่ามันคือตุ๊กตาผ้าตัวเล็ก ๆ
ตุ๊กตานั้นมีลักษณะคล้ายกับอลิชาอย่างน่าขนลุก ทั้งสีผม เสื้อผ้า แม้กระทั่งรอยแผลเป็นที่แขนซ้ายก็เหมือนกันไม่มีผิด
“รู้จักสิ่งนี้ไหม?” พนธกรถาม พลางชูตุ๊กตาขึ้น “มันคือตุ๊กตาวูดู และฉันจะใช้มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดเหมือนที่ฉันเคยรู้สึก”
อลิชาส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว “ไม่... อย่านะ ฉัน ขอโทษ ได้โปรด...”
แต่พนธกรไม่สนใจคำวิงวอนของเธอ เขาหยิบเข็มหมุดออกมาจากกระเป๋าอีกข้างหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
“เธอพร้อมจะรู้สึกเจ็บปวดหรือยัง อลิชา?”
ด้วยความกลัวสุดขีด อลิชาคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์แล้วขว้างใส่พนธกรสุดแรง แก้วแตกกระจายเมื่อกระทบกับร่างของเขา แต่พนธกรกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง
“เธอคิดว่าแค่นี้จะหยุดฉันได้?” เขาหัวเราะเยาะ “ฉันไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว อลิชา”
อลิชารู้สึกหมดหนทาง เธอมองไปรอบ ๆ อย่างร้อนรน พยายามหาอะไรสักอย่างที่จะช่วยได้ สายตาเหลือบไปเห็นมีดทำครัวที่วางอยู่ไม่ไกล
ในขณะที่พนธกรกำลังเตรียมจะปักเข็มลงบนตุ๊กตา อลิชาพุ่งตัวไปคว้ามีด เธอหันกลับมาชูมีดขึ้นป้องกันตัว
“อย่าเข้ามานะ!” เธอตะโกน น้ำตาไหลอาบแก้ม “ฉันไม่อยากทำร้ายนายอีก”
พนธกรหยุดชะงัก เขามองมีดในมือของอลิชาแล้วยิ้มอย่างเย็นชา
“เธอคิดว่ามีดธรรมดาจะทำอะไรฉันได้?” เขาถาม “ฉันตายไปแล้ว จำได้ไหม?”
แต่ทันใดนั้น สีหน้าของพนธกรก็เปลี่ยนไป เขามองไปที่มีดในมืออลิชาอย่างตื่นตระหนก
“นั่น... นั่นมันมีดอะไร?” เขาถามเสียงสั่น
อลิชามองมีดในมือตัวเองอย่างงุนงง มันเป็นเพียงมีดทำครัวธรรมดา แต่เธอสังเกตเห็นว่าด้ามมีดมีลวดลายแปลก ๆ สลักอยู่
“ฉัน... ฉันไม่รู้” เธอตอบอย่างสับสน “มันแค่มีดในครัว...”
พนธกรถอยหลังอย่างหวาดกลัว “ไม่... ไม่ใช่มีดธรรมดา นั่นมัน...”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงกรีดร้องก็ดังมาจาก ชั้นบนของบ้าน อลิชาและพนธกรต่างสะดุ้ง หันไปมองทางบันได
“เสียงอะไร?” อลิชาถามอย่างตื่นตระหนก
พนธกรส่ายหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัว “ไม่... ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่รู้...”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าย่ำหนัก ๆ บนชั้นบน
อลิชารู้สึกเหมือนเลือดในกายเย็นเฉียบ เธอจ้องมองไปที่บันไดอย่างหวาดกลัว มือกำมีดแน่น
“มีอะไรอยู่ข้างบนนั่น?” เธอถามเสียงสั่น
พนธกรส่ายหน้าอีกครั้ง เขาดูตื่นตระหนกไม่แพ้ อลิชา “ฉัน... ฉันไม่รู้ มันไม่ควรจะมีอะไรอยู่ที่นั่น”
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ อลิชาและพนธกรต่างเบียดตัวชิดผนัง จ้องมองไปที่บันไดอย่างหวาดกลัว
และแล้ว พวกเขาก็เห็นมัน...
ร่างใหญ่โตกำลังเคลื่อนตัวลงมาตามบันได มันสูงเกือบถึงเพดาน ผิวหนังสีเทาซีด ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองมาที่พวกเขา ปากเผยให้เห็นฟันแหลมคมนับสิบซี่
อลิชากรีดร้องด้วยความหวาดกลัว แม้แต่พนธกรก็ยังถอยหลังด้วยความตกใจ
“นั่น... นั่นมันอะไร?” อลิชาถามเสียงสั่น
พนธกรส่ายหน้าอย่างงุนงง “ฉัน... ฉันไม่รู้ มันไม่ควรจะอยู่ที่นี่”
สิ่งนั้นก้าวลงมาถึงชั้นล่าง มันหยุดยืนที่เชิงบันได จ้องมองมาที่อลิชาและพนธกรด้วยดวงตาวาวโรจน์
“พวกเจ้า...” เสียงทุ้มต่ำดังออกมาจากปากของมัน “พวกเจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่”
อลิชาและพนธกรต่างตัวสั่นด้วยความกลัว พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร และทำไมมันถึงปรากฏตัวขึ้น
“เ... เราเป็นใคร?” อลิชาถามเสียงสั่น “ทำไมเราถึงไม่ควรอยู่ที่นี่?”
สิ่งนั้นก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น แสงจันทร์สาดส่องให้เห็นรูปร่างของมันชัดเจนขึ้น มันมีลักษณะคล้ายมนุษย์ แต่ผิดรูปผิดร่างจนน่าขนลุก ผิวหนังของมันเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แปลก ๆ ที่เรืองแสงเป็นจังหวะเดียวกับการเต้นของหัวใจ
“พวกเจ้าเป็นเพียงเงา” มันพูด “เงาของความทรงจำ ที่ถูกสาปแช่ง พวกเจ้าไม่มีตัวตนอยู่จริง”
อลิชาและพนธกรต่างสบตากันอย่างสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้กำลังพูดถึงอะไร
“แล้ว... แล้วท่านเป็นใคร?” พนธกรถาม เสียงของเขาสั่นเครือ
สิ่งนั้นหยุดยืนห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่ก้าว มันจ้องมองด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
“ข้าคือผู้พิทักษ์” มันตอบ “ผู้พิทักษ์แห่งความทรงจำและการลงทัณฑ์”
อลิชารู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนคว้าง เธอไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ทุกอย่างถึงได้วิปลาสไปหมด
“แล้ว... แล้วเราต้องทำยังไง?” เธอถาม น้ำตาไหลอาบแก้ม
ผู้พิทักษ์ยกมือขึ้น นิ้วที่ยาวผิดปกติชี้ไปที่ตุ๊กตาวูดูในมือของพนธกร
“ตุ๊กตานั่น” เสียงทุ้มต่ำของมันดังก้อง “มันคือกุญแจสู่การหลุดพ้น”
พนธกรมองตุ๊กตาในมือตัวเองด้วยความสับสน “ตุ๊กตานี้เหรอ? แต่มัน...”
“มันไม่ใช่แค่ตุ๊กตาธรรมดา” ผู้พิทักษ์พูดแทรก “มันคือที่เก็บวิญญาณของพวกเจ้า เป็นสิ่งที่ผูกมัดพวกเจ้าไว้กับโลกนี้”
อลิชาและพนธกรต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ พวกเขาเริ่มตระหนักว่าความจริงอาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าที่คิด
“แล้วเราต้องทำยังไง?” อลิชาถาม เสียงสั่นเครือ
ผู้พิทักษ์ชี้ไปที่มีดในมือของอลิชา “มีดนั่นคือกุญแจอีกดอก มันถูกสร้างขึ้นเพื่อตัดความผูกพันระหว่างวิญญาณกับโลกมนุษย์”
อลิชามองมีดในมือตัวเองอย่างพินิจ ตอนนี้เธอสังเกตเห็นว่าลวดลายบนด้ามมีดเริ่มเรืองแสงเป็นสีแดง อ่อน ๆ
“แล้วเราต้องทำอะไร?” พนธกรถาม เขาดูลังเลที่จะปล่อยตุ๊กตาในมือ
ผู้พิทักษ์ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ร่างใหญ่โตของมัน ทำให้อลิชาและพนธกรรู้สึกตัวเล็กลงไปถนัด
“พวกเจ้าต้องตัดสินใจ” มันพูด “จะปล่อยวางความ แค้นและความเจ็บปวดในอดีต หรือจะยึดติดกับมันต่อไป”
ทันใดนั้น ภาพความทรงจำก็พุ่งเข้าใส่อลิชาและพนธกรอย่างรุนแรง พวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ในอดีต ฉายชัดราวกับกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
อลิชาเห็นตัวเองขับรถอย่างประมาท พนธกรนั่ง ข้าง ๆ พวกเขากำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เธอหันไปตะโกนใส่เขา ไม่ทันระวังรถบรรทุกที่วิ่งสวนมา
เสียงเบรกดังสนั่น เสียงกระจกแตก โลหะบิดเบี้ยว และเสียงกรีดร้องของพนธกร
ภาพต่อมา อลิชาลืมตาขึ้นท่ามกลางซากรถ เธอ หันไปมองพนธกรที่นั่งข้าง ๆ เลือดไหลนองจากศีรษะของเขา ดวงตาเหม่อลอยไร้ชีวิต
อลิชาพยายามปลดเข็มขัดนิรภัย แต่มันติด เธอได้ยินเสียงน้ำมันรั่วและกลิ่นควันไฟ ด้วยความกลัวตาย เธอตัดสินใจทิ้งพนธกรไว้ ฝืนดึงตัวเองออกจากรถทั้ง ๆ ที่บาดเจ็บ
เธอวิ่งหนีออกมาได้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น หันกลับไปมองก็เห็นรถถูกไฟเผาวอดทั้งคัน พร้อมกับร่างของพนธกรที่ยังติดอยู่ข้างใน
ภาพความทรงจำจางหายไป อลิชาและพนธกรต่างร้องไห้โฮ น้ำตาไหลอาบแก้ม
“ฉัน... ฉันขอโทษ” อลิชาสะอื้น “ฉันไม่ควรทิ้งนายไว้”
พนธกรมองอลิชาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ทำไม... ทำไมเธอถึงทิ้งฉันไว้?”
ผู้พิทักษ์ยืนมองดูทั้งคู่ด้วยสายตาที่เย็นชา “นี่แหละคือความจริงที่พวกเจ้าต้องเผชิญ จะเลือกปล่อยวางหรือ ยึดติดกับความแค้น?”
อลิชาสูดหายใจลึก เธอมองมีดในมือตัวเอง แล้วมองไปที่ตุ๊กตาในมือพนธกร
“ถ้าเรา... ถ้าเราตัดสินใจที่จะปล่อยวาง จะเกิดอะไรขึ้น?” เธอถาม
ผู้พิทักษ์ยืดตัวขึ้น ดวงตาสีแดงก่ำของมันเรืองแสงในความมืด
“พวกเจ้าจะได้พบกับความสงบ” มันตอบ “วิญญาณ ของพวกเจ้าจะได้รับการปลดปล่อย ไม่ต้องวนเวียนอยู่ใน วังวนแห่งความเจ็บปวดอีกต่อไป”
พนธกรมองอลิชาด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง “เธอ... เธอพร้อมไหม?”
อลิชาพยักหน้าช้า ๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม “ฉัน... ฉันคิดว่าฉันพร้อมแล้ว”
ทั้งคู่หันไปมองผู้พิทักษ์ ซึ่งพยักหน้ารับรู้
“ถ้าพวกเจ้าพร้อมแล้ว” ผู้พิทักษ์พูด “จงใช้มีดตัดตุ๊กตา มันจะเป็นสัญลักษณ์แห่งการตัดขาดจากอดีตและการปล่อยวางความแค้น”
อลิชาและพนธกรมองหน้ากันอีกครั้ง ทั้งคู่พยักหน้าพร้อมกัน พนธกรยื่นตุ๊กตาให้อลิชา
“ฉันขอโทษ สำหรับทุกอย่าง” อลิชาพูดเสียงสั่น
“ฉันก็เหมือนกัน” พนธกรตอบ “เราปล่อยวางกันเถอะ”
อลิชายกมีดขึ้น มือสั่นเทาขณะวางใบมีดลงบนตุ๊กตา เธอหลับตา สูดหายใจลึก แล้วกดมีดลงไป
ทันทีที่ใบมีดตัดผ่านตุ๊กตา แสงสว่างจ้าก็พุ่งออกมาจากรอยตัด อลิชาและพนธกรต่างรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แล่นผ่านร่างกาย
ผู้พิทักษ์ยกมือขึ้น เสียงกระซิบแผ่วเบาดังก้องไปทั่วห้อง ภาษาโบราณที่ไม่มีใครเข้าใจ แสงสว่างเจิดจ้าขึ้น เรื่อย ๆ จนในที่สุดก็กลืนกินทุกอย่างไป อลิชาและพนธกรรู้สึกเหมือนร่างกายของพวกเขากำลังละลาย กลายเป็นส่วนหนึ่งของแสงนั้น
และแล้ว ทุกอย่างก็จางหายไป...
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนของอลิชา เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ มองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง พยายามนึกทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ความทรงจำกลับเลือนราง ราวกับเป็นเพียงความฝัน
อลิชาลุกจากเตียง เดินไปที่กระจก มองดูตัวเองอย่างพินิจ เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่บอก ไม่ถูกว่าคืออะไร
เธอหันไปมองรอบห้อง สายตาเหลือบไปเห็นรูปถ่ายเก่า ๆ บนโต๊ะข้างเตียง มันเป็นรูปของเธอกับพนธกร ยิ้มอย่างมีความสุข
อลิชาหยิบรูปขึ้นมาดู รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้า เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างในใจ ไม่ใช่ความเศร้าหรือความเจ็บปวดอีกต่อไป
เธอวางรูปลง แล้วเดินไปที่หน้าต่าง เปิดม่านออกกว้าง ปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามาเต็มที่
อลิชาสูดหายใจลึก รู้สึกถึงพลังชีวิตที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกาย เธอพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยหัวใจที่เบาสบายและจิตใจที่สงบ
ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกจากห้อง สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่มุมห้อง
มันคือตุ๊กตาผ้าตัวเล็ก ๆ นอนอยู่บนพื้น มีรอยตัดยาวพาดผ่านกลางลำตัว อลิชาชะงัก มองตุ๊กตานั้นอย่างพินิจ ความทรงจำบางอย่างวูบผ่านเข้ามาในหัว แต่แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มบาง ๆ ก้มลงหยิบตุ๊กตาขึ้นมา แล้ววางมันไว้บนชั้นหนังสือ
“ขอบคุณนะ” เธอพูดเบา ๆ โดยไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดเช่นนั้น
แล้วอลิชาก็เดินออกจากห้อง พร้อมที่จะเผชิญกับโลกภายนอก ด้วยหัวใจที่เบาสบายและจิตใจที่ปลอดโปร่ง เธอรู้สึกว่าชีวิตใหม่กำลังรอเธออยู่ และเธอพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง
ขณะที่ประตูปิดลง ลมอ่อน ๆ พัดผ่านห้อง ม่านหน้าต่างพลิ้วไหว และที่ชั้นหนังสือ ตุ๊กตาผ้าตัวน้อยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตากระดุมของมันสะท้อนแสงแดดยามเช้า ราวกับกำลังมองดูทุกอย่างอย่างเงียบ ๆ
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าผ้าของมัน แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว...
สองสัปดาห์ผ่านไป...
อลิชานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอนของเธอ กำลังเขียนบันทึกประจำวัน แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้ห้องดูอบอุ่นและสดใส เธอวางปากกาลง มองดูสิ่งที่เพิ่งเขียนเสร็จด้วยรอยยิ้ม:
วันนี้เป็นอีกวันที่ดี ฉันรู้สึกมีพลังและมีความสุขมากขึ้นทุกวัน เหมือนกับว่าความทุกข์และความเจ็บปวดในอดีตได้จางหายไป ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสที่ได้เริ่มต้นใหม่
อลิชาเงยหน้าขึ้น สายตาเหลือบไปเห็นตุ๊กตาผ้าตัวเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ รอยตัดที่พาดผ่านกลางลำตัวของมันยังคงอยู่ เธอมองมันอย่างครุ่นคิด
“แปลกจัง” เธอพูดกับตัวเอง “ทำไมฉันถึงเก็บเธอไว้นะ?”
เธอลุกขึ้น เดินไปหยิบตุ๊กตามาดูใกล้ ๆ นิ้วมือลูบไปตามรอยตัด ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างแล่นผ่านร่างกายของเธอ ทันใดนั้น ภาพความทรงจำก็แวบเข้ามาในหัว... ห้องมืด... เสียงกรีดร้อง... ร่างของชายคนหนึ่ง... และสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่น่ากลัว...
อลิชาสะดุ้ง วางตุ๊กตาลงอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรง เธอสูดหายใจลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์
“นั่นมัน... อะไรกัน?” เธอพึมพำ ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก
แต่แล้ว ความรู้สึกนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความสงบและความรู้สึกโล่งอก
อลิชายิ้มบาง ๆ หยิบตุ๊กตาขึ้นมาอีกครั้ง “คงเป็นแค่จินตนาการของฉันเองมั้ง” เธอพูดพลางวางตุ๊กตากลับไปที่เดิม
เธอหันกลับมาที่โต๊ะทำงาน หยิบปากกาขึ้นมา พร้อมที่จะเขียนบันทึกต่อ แต่แล้วเธอก็ชะงัก มองออกไปนอกหน้าต่าง ที่สวนหลังบ้าน ใต้ต้นไม้ใหญ่ เธอเห็นร่างของชายคนหนึ่งยืนอยู่ เขากำลังมองมาที่หน้าต่างห้องของเธอ ยิ้มอย่างอบอุ่น
อลิชาขมวดคิ้ว “นั่นใคร...?”
เธอขยี้ตา แล้วมองออกไปอีกครั้ง แต่ร่างนั้นหายไปแล้ว มีเพียงเงาของต้นไม้ที่พลิ้วไหวตามแรงลม
อลิชาส่ายหน้า ยิ้มให้กับตัวเอง “ฉันคงจะทำงานหนักเกินไปแล้วล่ะ”
เธอหันกลับมาที่สมุดบันทึก เขียนต่อ
บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนมีใครบางคนคอยดูแลฉันอยู่ อาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่มันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่ ๆ
อลิชาวางปากกาลง ปิดสมุดบันทึก เธอลุกขึ้นยืน ยืดตัว แล้วเดินออกจากห้อง พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งใหม่ ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า ขณะที่ประตูปิดลง ลมอ่อน ๆ พัดผ่านห้อง ม่านหน้าต่างพลิ้วไหว
และที่ชั้นหนังสือ ตุ๊กตาผ้าตัวน้อยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตากระดุมของมันสะท้อนแสงแดดยามบ่าย ราวกับกำลังมองดูทุกอย่างอย่างเงียบ ๆ
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าผ้าของมัน แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว...
คืนนั้น อลิชานอนหลับสนิท ไม่มีฝันร้ายรบกวนเหมือนเช่นเคย แต่ในความมืดของห้อง มีบางอย่างเคลื่อนไหว
ตุ๊กตาบนชั้นหนังสือค่อย ๆ ขยับ มันลุกขึ้นยืน ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบไปที่เตียงของอลิชา ดวงตากระดุมของมันเรืองแสงสีแดงอ่อน ๆ ในความมืด
มันปีนขึ้นไปบนเตียง ยืนมองอลิชาที่กำลังหลับสนิท รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าผ้าของมันอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย็นชาและอันตราย
ตุ๊กตาค่อย ๆ ยกมือขึ้น ในมือของมันมีเข็มหมุดสีดำเล่มเล็ก ๆ ปลายแหลมคมวาววับในแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
มันเงื้อมือขึ้น พร้อมที่จะปักเข็มลงบนร่างของอลิชา แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงกระซิบดังขึ้นในความมืด
“หยุด”
ตุ๊กตาชะงัก หันไปมองทางต้นเสียง ที่มุมห้องมีเงาดำทะมึนปรากฏขึ้น ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างของชายคนหนึ่ง... พนธกร
“นายไม่มีสิทธิ์” พนธกรพูด เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยพลัง “เราได้ปล่อยวางแล้ว”
ตุ๊กตาส่ายหน้า มันพยายามจะปักเข็มลงบนร่าง ของอลิชาอีกครั้ง แต่พนธกรก้าวเข้ามาใกล้ เงาของเขาทอดยาวครอบคลุมร่างของอลิชาเอาไว้
“ฉันบอกให้หยุด” พนธกรพูด คราวนี้เสียงของเขาดังกังวานและเต็มไปด้วยอำนาจ
ตุ๊กตาสั่นสะท้าน มันค่อย ๆ ลดมือลง ก่อนจะกระโดดลงจากเตียงและวิ่งกลับไปที่ชั้นหนังสือ มันปีนขึ้นไปนั่งที่เดิม กลายเป็นตุ๊กตาธรรมดาอีกครั้ง
พนธกรยืนมองอลิชาที่ยังคงหลับสนิท เขายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปในความมืด
อลิชาขยับตัวเล็กน้อย ริมฝีปากของเธอขยับพึมพำ คำว่า “ขอบคุณ” ในความฝัน ก่อนจะจมลึกลงไปในห้วงนิทราอีกครั้ง
ที่ชั้นหนังสือ ตุ๊กตาผ้านั่งนิ่ง ดวงตากระดุมของมันจ้องมองไปที่เตียงของอลิชา ไม่มีใครรู้ว่าอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตาคู่นั้น
และในความเงียบของราตรี เสียงกระซิบแผ่วเบาก็ดังขึ้น ราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล
“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น อลิชา... เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น...”
....... จบ .........
นี่คือหนึ่งในแปดเรื่องจากหนังสือเรื่อง แปดมิติแห่งความหลอน สามารถอ่านเรื่องอื่นได้่ใน
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTUzMDQxMyI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMyNzQ1MDt9