ยังเยาว์นักหนอ
เจ่าผู่ ผักอีตูเตี้ย ต้นต่ำใบดก
กกบ่ทันฝั่งแน่น สังมาจีจูมดอก
ฮากบ่ทันหยั่งพื้น สังมาปี้นป่งใบ แท้นอ
ผญาโบราณ
ใบแมงลักต้นน้อย เพิงเกิดไม่นานทำไมถึงมีใบหนาดอกดกแท้ คนโบราณน่าจะเปรียบกับเด็กสาวที่พร้อมมีสามี พร้อมมีลูกมีเต้า น้ำเเสียงคนพูดแสดงความห่วงใย ไม่ใคร่สบายใจนัก
ผะหยา/ผญาข้างต้นตรงกับคำถามสำคัญของใครหลายคน
“ทำไมทุกวันนี้คนเราแต่งงานกันเร็วนัก หรือ มีเซ็กส์กันเมื่ออายุยังน้อยนัก”
เดินตามห้างสรรพสินค้า ตามสามแยกสี่แยก บนถนน ก็จะเห็นวัยรุ่นทั้งหัวขาว หัวแดง หัวเขียว วัยรุ่นหญิงใส่สายเดี่ยว สายคู่ เปิดอกบ้าง เอวลอยบ้าง เกาะแขน ควงกัน ซบหน้าพิงไหล่ กอดเอว และ…..
บางทีก็นึกอิจฉา ที่สังคมสมัยนี้เอื้อต่อการคิด การกระทำต่าง ๆ ที่ตามใจอยากได้มากขึ้น
บางทีก็ให้นึกย้อน หันกลับไปทบทวนอดีตว่า ที่ผ่านมาวัยรุ่นมีอะไร ๆ กันตั้งแต่อายุน้อยไหม
คำตอบที่ได้ สมัยก่อนคนในชนบทก็แต่งงานแต่อายุยังน้อยเหมือนกัน แต่แต่งงานแล้วก็ต้องหักร้างถางพง ทำมาหากิน กันไป มีหน้าที่รับผิดชอบ ก็ทำหน้าที่กันไป
แต่ปัจจุบันเด็ก เยาวชน หรือเรียกกันว่า “วัยรุ่น” หรือ หนุ่มสาว ได้เรียนหนังสือกันมากขึ้น อยู่ห่างตาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มากขึ้น ความอยากรู้อยากลองเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สังคมเคยห้ามปรามก็เลยถูกละเมิดมากขึ้น เพราะมีสถานการณ์ให้ทำได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกัน เป้าหมายชีวิตจากการทำมาหากินตามวิถีธรรมชาติ ทุ่งนา ป่าไม้ สายน้ำ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข ก็เปลี่ยนไปเป็นการศึกษาหางาน หาเงิน เดินห้าง สร้างหนี้ มีความสุขกับแผ่นซีดี
แต่ก่อนคนเราเอากันแล้วมีครอบครัว ก็เพื่อมีลูกมาช่วยทำงาน ช่วยปลูกข้าวหาปลาเลี้ยงวัวควาย มีวัดเป็นศูนย์รวมน้ำใจ มีพระเป็นครู เป็นผู้พิพากษา และให้ธรรมะเป็นยาชูกำลัง ชีวิตเรียบง่าย ความสุขใจกายหาได้ทุกฝีก้าว ธรรมชาติป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์ นั่นคือดินแดนแห่งความสงบสุขยิ่งแล้ว
แต่มาปัจจุบันหาเป็นเช่นนั้นไม่ ป่าไม้ ธรรมชาติถูกคนทำลายมาเป็นต้นทุนสร้างเสริมความเจริญทางวัตถุ โครงสร้างทางสังคมซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การร่วมเพศเป็นสิ่งที่ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็น ไม่เป็นเรื่องการทำมาหากินแล้ว เป็นเรื่องความสนุกสนาน เป็นเรื่องความท้าทายใหม่ ๆ
เห็นได้จากข่าวคราวที่นักศึกษาบางคนทำสถิติการนอนกับเพศตรงข้ามแข่งกันกับเพื่อน การทดลองอยู่กันแบบผัวเมียตามหอพักของนักเรียนนักศึกษา
ปรากฏการณ์ที่บอกว่าน่าตกใจ ในข่าวหน้า ๑ หน้า ๒ เช่น เด็กมีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น และมีเพศสัมพันธ์กันโดยเฉลี่ยมีอายุน้อยลง-พ่อข่มขื่นลูก หรือ เอาลูกเป็นเมีย ครูมีอะไรกันกับศิษย์ ศิษย์ทำอะไรกับครู หรือแม้แต่ ผู้ใหญ่ในวงราชการการเมืองไปมีอะไรกับเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปี ข่าวเหล่านี้หากมองโดยอาศัยพัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีแล้ว อาจทำใจให้ยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมดาได้ไม่ยาก วัตถุเจริญ คนหลงใหลวัตถุมากขึ้น เพราะวัตถุมีอำนาจสั่งการ มือถือก็จำเป็น อินเตอร์เน็ตก็ต้องใช้ แต่จะใช้เพื่อการพัฒนาความรู้ หรือเพื่อเซ็กส์อันนี้ ก็แล้วแต่คนแต่ละคน เป็นเรื่องปัจเจก
ก็เมื่อเพศสัมพันธ์เป็นความอยากทางใจ-กายชนิดหนึ่ง ที่อาศัยปัจจัยเอื้อทางสังคมเป็นตัวกระตุ้น ไม่ว่าสมัยใด ก็ต้องมีเรื่องแบบนี้ เพียงแต่ว่ายุคสมัยนี้ ปัจจัยเอื้อต่อเรื่อง “เอากัน” มีมากมาย มากเหลือเกิน ก็เลยเร่งให้เรื่องที่เป็นข่าวเหล่านั้น มีง่ายมากขึ้น ง่ายเพราะคนรุ่นใหม่พอใจมันด้วย อันนี้อาจจะใช่หรือไม่เล่า?
การห้ามปรามของพ่อแม่ก็ดี ของครู ของญาติมิตรก็ตาม ไม่ได้ผลหรอก หากใจของคน ๆ นั้นฝักใฝ่ อยากลอง ใคร่ลิ้มรสกามารมณ์ ซึ่งเมื่อลองแล้วอาจมีปัญหาตามมาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ที่เป็นภูมิป้องกัน ป้องกันท้องก่อนเวลาที่ต้องการ ป้องกันโรคที่เกิดจากการร่วมประเวณี
ผู้ปกครองบางคนเข้าใจปัญหานี้ดี ถึงกับซื้อถุงยางอนามัยให้ลูกชาย ผู้ปกครองบางคนอาจบอกให้ลูกสาวเลือกคนที่สะอาดหรือมีสติในการนอนกับผู้ชาย กินยาคุมให้เป็น ใช้ยาเหน็บให้ดี
ความสดความสาว “พรหมจรรย์” คงไม่ใช่สิ่งที่ต้องหวงแหนกันอีกต่อไปสำหรับวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน แม้เวลาให้สัมภาษณ์ของตัวแทนเยาวชนตามสื่อต่าง ๆ จะแสดงความคิดว่า “พรหมจรรย์” ยังเป็นสิ่งที่ทั้งเขาและเธอหวงแหนไว้เพื่อพ่อหรือแม่ของลูกเธอและเขาในอนาคตก็ตาม
ความเป็นไปเรื่องสัมพันธ์สวาท เป็นเรื่องเปลี่ยนไปตามยุคสมัยดังที่ผมเล่าหรือเปล่า อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลประสบการณ์ส่วนตัว และการวิเคราะห์วินิจฉัยของท่านผู้อ่านเอง
สำหรับผมการเห็นนักศึกษานั่งคุยกันเป็นคู่ ๆ ในมุมต่าง ๆของมหาวิทยาลัยทุก ๆแห่ง เป็นภาพความจริงที่งดงาม เป็นภาพแห่งความหวัง ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจอีกต่อไป
แต่วันใดก็ตาม ชายกับชาย หรือ หญิงกับหญิง นั่งเป็นคู่ ๆ (อันนี้ มิได้มีเจตนา-ความตั้งใจจะให้กระทบจิตใจบุคคลใด ๆ ผู้มีเพศสภาพแห่งความหลากหลาย แต่อย่างใด นะครับ) หรือควงแขนจู๋จี๋กันเต็มบ้านเต็มเมืองละก็ วันนั้นผมคงต้องหลบมุมไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่จะได้เห็นภาพงาม ๆ ของชีวิตของหนุ่มสาวแบบที่คิดว่า ควรจะเป็นอย่างที่ธรรมชาติเสกปั้นเรามาให้มีชายมีหญิงตามเพศกำเนิด อีกสักครั้ง ก่อนตาย.