ห้องสุดท้าย
ห้องสุดท้าย
โดย - อักษราลัย
... กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง ...
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งให้คล้ายเสียงโทรศัพท์ตามบ้านแบบสมัยก่อน ดังขึ้นท่ามกลางความมืดภายในห้องนอนขนาดกระทัดรัด วินลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก สะบัดคอไปมาเบา ๆ เพื่อกระตุ้นตัวเอง ศีรษะยังคงมึนงงตุบ ๆ จากฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปมากมายเมื่อคืน เขาคว้าโทรศัพท์มาแนบหู
"วินพูด" เสียงแหบแห้งดังออกมา
"คุณวินใช่ไหมครับ? ผมชื่อสมชาย ผมต้องการว่าจ้างคุณ" เสียงชายวัยกลางคนดังมาตามสาย
วินลุกขึ้นนั่ง พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดที่ถูกม่านบังแสงยามเช้าไม่ให้สาดลอดเข้ามา
"ครับ จะให้ผมทำอะไร?"
"ผมอยากให้คุณช่วยสืบเรื่องการหายตัวไปของผู้เช่าในอะพาร์ตเมนต์ของผม"
ปลายสายตอบ
"มันเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และตำรวจก็ยังหาสาเหตุไม่ได้"
วินขมวดคิ้ว สมองเริ่มทำงาน
"แปลกดีนะ ทำไมคุณถึงไม่ให้ตำรวจจัดการต่อล่ะครับ?"
"ผม... ผมคิดว่าอาจจะมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น" สมชายตอบอย่างลังเล
"ผมอยากให้คนนอกมาช่วยดู บางทีคุณอาจจะเห็นอะไรที่ตำรวจมองข้ามไป"
วินนิ่งคิดสักครู่ ก่อนตอบตกลง "ได้ครับ ผมจะรับสืบเรื่องนี้ ขอที่อยู่อะพาร์ตเมนต์ของคุณหน่อย ผมจะไปที่นั่นวันนี้เลย"
วินเป็นนักสืบเอกชนที่ผันตัวมาจากตำรวจ เขามีเแผลใจจากคดียิงคนร้าย แม้จะเป็นคนร้ายคดียาเสพติดที่กำลังคลุ้มคลั่งจับคนบริสุทธิ์ไว้โดยมีมีดจ่อคอ และกำลังจะลงมือปาดคอ แต่คนร้ายที่มีอายุน้อย ทำให้เขาคิดถึงลูกชายที่เขาได้แต่ตามดูอยู่ห่าง ๆ อันเป็นผลจากการหย่าร้าง
หลังวางสาย วินอาบน้ำแต่งตัว ดื่มกาแฟดำเข้มสองแก้วเพื่อขับไล่อาการเมาค้าง ก่อนขับรถมุ่งหน้าไปยังอะพาร์ตเมนต์ของสมชาย
..........
อะพาร์ตเมนต์นั้นตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยว เป็นตึกเก่าสูง 5 ชั้น ผนังสีเทาหม่นคล้ำ วินจอดรถและเดินเข้าไปในล็อบบี้ที่เงียบสงัด เขาพบสมชายที่นั่น
"ยินดีที่ได้พบครับคุณวิน" สมชายยื่นมือมาทักทาย "ผมจะพาคุณไปดูรอบ ๆ นะครับ"
ขณะที่เดินสำรวจ สมชายเล่าถึงเหตุการณ์การหายตัวไป "มันเริ่มจากผู้เช่าคนแรกหายไปเมื่อ 6 เดือนก่อน จากนั้นก็มีคนหายไปอีก 3 คน คนสุดท้ายหายไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว"
วินพยักหน้า จดบันทึกลงในสมุด "แล้วพวกเขามีอะไรเหมือนกันบ้างไหมครับ?"
สมชายส่ายหน้า "ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยครับ คนละอาชีพ คนละวัย ไม่มีความเชื่อมโยงกันเท่าที่ผมเห็น"
วินเดินสำรวจแต่ละชั้น สังเกตเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างหดหู่ ผู้เช่าส่วนใหญ่มีท่าทีหวาดระแวง ไม่ค่อยสบตา เมื่อเดินมาถึงชั้น 5 วินสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ
"นี่มันชั้นบนสุดใช่ไหมครับ?" วินถาม
"ใช่ครับ" สมชายตอบ
"แล้วทำไมเลขห้องถึงข้ามจาก 12 ไปเป็น 14 ล่ะครับ? ห้อง 13 อยู่ไหน?"
สมชายทำหน้างุนงง "อ้าว จริงด้วย ผมไม่เคยสังเกตเลย" ตึกนี้ผมซื้อต่อมาอีกที มันเก่าแต่ก็กว้างขวางและราคาถูก
วินพยายามเปิดประตูห้อง 12 และ 14 แต่ทั้งสองห้องล็อกอยู่ เขาเคาะประตูแรง ๆ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
"ใครอยู่ในห้องพวกนี้ครับ?" วินถาม
"เอ! ผมจำไม่ได้ครับ" สมชายตอบพลางขมวดคิ้ว "แปลกจริง ปกติผมจำได้หมดนะ ว่าใครพักอยู่ห้องไหน"
วินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาขอดูทะเบียนผู้เช่าจากสมชาย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่าไม่มีข้อมูลของห้อง 13 อยู่เลย
คืนนั้น วินตัดสินใจพักในอะพาร์ตเมนต์เพื่อสังเกตการณ์ เขาเลือกห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้อง 12 และ 14 ระหว่างนอนอยู่บนเตียง เขาได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากทางเดิน เสียงเหมือนคนเดินลากเท้า และเสียงกระซิบที่ฟังไม่ได้ศัพท์
วินลุกขึ้นแง้มประตูมอง แต่ทางเดินว่างเปล่า เขารู้สึกเหมือนมีลมเย็น ๆ พัดผ่าน พร้อมกับกลิ่นอับชื้นแปลก ๆ
วันรุ่งขึ้น วินเริ่มสอบถามผู้เช่าคนอื่น ๆ แต่ไม่มีใครให้ข้อมูลอะไรมากนัก ทุกคนดูหวาดกลัวและไม่อยากพูดถึงเรื่องการหายตัวไปของผู้เช่า
ขณะที่วินกำลังสืบสวน เขาเริ่มมีอาการประหลาด บางครั้งเขาเห็นเงาดำวูบผ่านหางตา เมื่อหันไปมองกลับไม่มีอะไร บางครั้งเขารู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ แต่เมื่อหันไปรอบ ๆ ก็ไม่เจอใคร
คืนที่สาม... วินฝันร้าย เขาฝันว่าตัวเองกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างในทางเดินอะพาร์ตเมนต์ที่ทอดยาวไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เสียงกรีดร้องดังก้องอยู่รอบตัว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว
วินเริ่มสงสัยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่ เขาพยายามหักห้ามใจไม่ดื่มเหล้า แต่อาการประหลาดก็ยังไม่หายไป
วันที่ห้าของการสืบสวน วินบังเอิญพบบันทึกเก่าของผู้เช่าคนหนึ่งที่หายตัวไป ซุกอยู่ในช่องว่างใต้บันได บันทึกนั้นเผยให้เห็นข้อมูลบางอย่างที่น่าตกใจ
"ผมค้นพบความจริงแล้ว อะพาร์ตเมนต์นี้ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยธรรมดา มันเคยเป็นสถานที่ทดลองทางจิตวิทยาลับในอดีต พวกเขาทดลองกับจิตใจของคน ใช้เทคนิคควบคุมจิตใจและสะกดจิต ห้อง 13 คือห้องที่พวกเขา..."
ข้อความขาดหายไปตรงนั้น วินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาพยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติของอะพาร์ตเมนต์ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะถูกลบเลือนไปหมด ไม่มีแม้แต่ในอินเทอร์เน็ต
เหตุการณ์เริ่มน่ากลัวมากขึ้น ผู้เช่าบางคนเริ่มแสดงพฤติกรรมผิดปกติ บางคนมีอาการก้าวร้าวรุนแรง บางคนเหม่อลอยเหมือนคนถูกสะกดจิต วินเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
คืนหนึ่ง ขณะที่วินกำลังพยายามเข้าไปในห้อง 14 อีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไล่ล่าเขา เสียงฝีเท้าดังมาจากทุกทิศทาง เงาดำพุ่งเข้าใส่ วินวิ่งหนีสุดชีวิต พยายามหาทางออกจากอะพาร์ตเมนต์ แต่ทุกประตูล้วนปิดตาย
ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น วินนึกถึงคำพูดของอดีตหัวหน้าที่เคยบอกเขาว่า
"บางครั้งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความกลัวในใจเราเอง"
เขาหยุดวิ่ง หันกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไล่ล่าเขา
ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าก็เลือนหายไป วินพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องทดลองสีขาวโพลน มีสายระโยงระยางเต็มตัว เขาได้ยินเสียงนักวิทยาศาสตร์พูดคุยกัน
"เขาทำได้แล้ว! เขาเอาชนะการทดลองได้!"
วินกระชากสายต่าง ๆ ออก ลุกขึ้นยืนอย่างงุนงง เขาเห็นผู้เข้าร่วมการทดลองคนอื่น ๆ นอนอยู่บนเตียงเช่นกัน บางคนยังคงหลับใหล บางคนเริ่มตื่นและมองไปรอบ ๆ อย่างสับสน
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น?" วินถามเสียงดัง
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเดินเข้ามา
"คุณวิน คุณเป็นคนแรกที่สามารถเอาชนะการทดลองได้ นี่คือการทดสอบเทคโนโลยีจำลองประสาทสัมผัสรุ่นใหม่ เราจำลองสถานการณ์อะพาร์ตเมนต์ลึกลับเพื่อดูว่าผู้เข้าร่วมจะสามารถแยกแยะความจริงออกจากภาพลวงได้หรือไม่"
วินรู้สึกโกรธและสับสน "พวกคุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้! นี่มันผิดจริยธรรม!"
"เราเข้าใจความรู้สึกของคุณ" นักวิทยาศาสตร์อีกคนพูด "แต่การทดลองนี้จำเป็นสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยรักษาผู้ป่วยทางจิต"
วินมองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ กำลังตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง บางคนร้องไห้ บางคนโกรธเกรี้ยว เขานึกถึงความหวาดกลัวและความสับสนที่ทุกคนต้องเผชิญในโลกจำลองนั้น
"แล้วคนที่ยังไม่ตื่นล่ะ?" วินถาม พลางชี้ไปที่ผู้เข้าร่วมบางคนที่ยังคงหลับใหล
"พวกเขายังติดอยู่ในการจำลอง" นักวิทยาศาสตร์ตอบ "เราต้องการความช่วยเหลือจากคุณเพื่อช่วยพวกเขาออกมา"
วินลังเลเล็กน้อย แต่แล้วก็ตัดสินใจ "ผมจะช่วย แต่มีข้อแม้ว่าหลังจากนี้ การทดลองแบบนี้ต้องยุติลงทันที"
นักวิทยาศาสตร์พยักหน้าตกลง
วินเข้าไปหาผู้เข้าร่วมที่ยังหลับอยู่ เขาจับมือพวกเขาและพูดว่า "ตื่นขึ้นมาเถอะ ทุกอย่างที่คุณเห็นไม่ใช่ความจริง มันเป็นแค่การทดลอง คุณปลอดภัยแล้ว"
เขาทำแบบนั้นทีละคน ผู้เข้าร่วมเริ่มตื่นขึ้นมา บางคนสับสนและตกใจ แต่วินคอยปลอบโยนและอธิบายสถานการณ์
หลังจากทุกคนตื่นขึ้นมาแล้ว วินรวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน "ผมรู้ว่าพวกเราทุกคนผ่านประสบการณ์ที่น่ากลัวมา แต่เราต้องเข้มแข็ง เราจะผ่านมันไปด้วยกัน"
ในช่วงสัปดาห์ต่อมา วินช่วยจัดตั้งกลุ่มบำบัดสำหรับผู้เข้าร่วมการทดลอง พวกเขาแบ่งปันประสบการณ์และช่วยกันเยียวยาบาดแผลทางใจ
วินยังคงติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิด เขาทำงานร่วมกับทนายเพื่อดำเนินคดีกับบริษัทที่อยู่เบื้องหลังการทดลอง และผลักดันให้มีการออกกฎหมายควบคุมการทดลองทางจิตวิทยาที่เข้มงวดขึ้น
หนึ่งปีต่อมา วินได้รับเชิญให้ไปพูดในการประชุมด้านจริยธรรมการวิจัย เขายืนอยู่บนเวที มองไปยังผู้ฟังมากมาย และเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า
"ประสบการณ์ของผมสอนให้รู้ว่า บางครั้งห้องที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ห้องที่อยู่ในอาคาร แต่เป็นห้องที่อยู่ในใจของเราเอง การเผชิญหน้ากับความกลัวและเอาชนะมันได้ คือกุญแจสำคัญในการค้นพบความจริงและความแข็งแกร่งในตัวเรา"
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้อง วินยิ้มอย่างอบอุ่น รู้สึกภูมิใจที่ประสบการณ์อันเลวร้ายของเขาได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าบาดแผลในใจอาจไม่มีวันหายสนิท แต่เขาได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและใช้มันเป็นแรงผลักดันในการทำสิ่งที่ถูกต้อง
ในขณะที่วินก้าวลงจากเวที เขารู้สึกว่าตัวเองได้ก้าวผ่าน "ห้องสุดท้าย" ในใจตัวเองแล้ว และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ๆ ในอนาคต...•