พฤติกรรมการกินผิดปกติ Eating Disorder
Eating disorder คือ พฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติ มีความสัมพันธ์กับสภาวะจิตใจ อาจเป็นผลจากนิสัยเชื่อมั่นในตัวเองต่ำ โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือเกิดจากปัจจัยอื่น อย่างเช่น พันธุกรรม ประวัติครอบครัว การอดอาหารแบบผิด ๆ และค่านิยมเกี่ยวกับรูปร่างที่ผอมบาง ผู้ป่วยจะมีความกังวลกับอาหารที่กิน กังวลต่อน้ำหนักตัว กังวลต่อรูปร่าง ส่งผลให้มีน้ำหนักตัวที่มาก หรือน้อยกว่าปกติ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา อย่างเช่น โรคขาดสารอาหาร โรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคที่เกี่ยวข้องกับออร์โมน โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น หากมีความรุนแรงมาก และไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เสียชีวิตได้
ประเภทของ Eating Disorder
1.อะนอเร็กเซีย (Anorexia Nervosa)
โรคกลัวอ้วน หรือโรคคลั่งผอม ผู้ป่วยมีความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับรูปร่างที่ผิดปกติ จะจำกัดการกินอาหาร จำกัดพลังงาน เลือกชนิดอาหารอย่างเข้มงวด ปฏิเสธว่าไม่หิว ทั้ง ๆ ที่รู้สึกหิว โดยคิดว่าต้องรักษารูปร่างให้ผอมบางอยู่เสมอ กลัวน้ำหนักขึ้นทั้ง ๆ ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ
อะนอเร็กเซีย มี 2 ประเภท คือ กลุ่มที่พยายามจำกัดปริมาณการกินอาหาร หรือ ออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และ กลุ่มที่กินอาหารมากผิดปกติเป็นช่วงสั้น ๆ แล้วล้วงคอให้อาเจียน หรือใช้ยาระบายเพื่อลดน้ำหนัก และรักษารูปร่าง ผู้ที่เป็นอะนอเร็กเซียมักมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่อายุเท่ากันและส่วนสูงใกล้เคียงกัน
อาการที่พบบ่อย คือ ร่างกายผอมแห้ง ทนความหนาวไม่ได้ อ่อนเพลีย ประจำเดือนมาไม่ปกติ เวียนศีรษะ และเป็นลมจากการขาดน้ำ ท้องอืด และท้องผูกอย่างรุนแรง เมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้กระดูกบาง ผมบางและร่วง เล็บเปราะง่าย หากอาการรุนแรงอาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง หัวใจ อวัยวะภายในล้มเหลว และเสียชีวิต
2.บูลิเมีย (Bulimia Nervosa)
ผู้ป่วยมีอาการ “อยากกินแต่ไม่อยากอ้วน” กินอาหารในปริมาณที่มากกว่าปกติ จึงพยายามกำจัดอาหารที่กินเข้าไปด้วยการล้วงคอให้อาเจียน ใช้ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ หรือสวนทวาร และออกกำลังอย่างหนักเพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
ผู้ป่วยบูลิเมียมักหมกมุ่นอยู่กับน้ำหนักและรูปร่างของตนเอง กลัวน้ำหนักขึ้น มีพฤติกรรมเข้าห้องน้ำไปอาเจียนหลังกินอาหารบ่อย ๆ เวียนหัวและเป็นลมจากการขาดน้ำ
การอาเจียนและใช้ยาระบายบ่อยอาจทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรัง กรดไหลย้อน ฟันผุจากกรดในกระเพาะอาหารที่ทำลายผิวเคลือบฟัน ท้องเสียโดยไม่ทราบสาเหตุ และฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน หากอาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
3.โรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder)
คนที่เป็นโรคกินไม่หยุดสามารถกินอาหารได้มากผิดปกติในเวลาไม่นานแม้จะไม่รู้สึกหิว และไม่สามารถควบคุมตัวเองให้หยุดกินได้จนกว่าจะรู้สึกแน่นท้อง หรือไม่สบายตัว
ผู้ป่วยจะไม่จำกัดปริมาณการกิน นับแคลอรี่ของอาหาร หรือมีพฤติกรรมล้วงคอ หรือใช้ยาระบาย เพื่อกำจัดอาหารที่กินเข้าไปเหมือนผู้ป่วยอะนอเร็กเซีย และบูลิเมีย แต่เมื่อกินเสร็จแล้วจะรู้สึกรังเกียจ หรือโกรธที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และรู้สึกอายที่กินอาหารในปริมาณมาก จึงมักแอบเลี่ยงไปกินอาหารคนเดียว
โรคกินไม่หยุดอาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง อย่างเช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง
4.โรคเลือกกินอาหาร (Avoidant restrictive food intake disorder: ARFID)
ผู้ป่วยจะขาดความสนใจในการกินอาหาร หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีลักษณะจำเพาะบางอย่าง อย่างเช่น สี เนื้อสัมผัส กลิ่น และรสที่ไม่ชอบ หรือหลีกเลี่ยงการกิน เพราะกลัวการสำลัก อาเจียน ท้องเสีย และแพ้อาหาร
การเลี่ยงการกินอาหารไม่ได้เกิดจากเหตุผลทางศาสนา หรือความกลัวน้ำหนักขึ้นเหมือน Eating Disorder ประเภทอื่น หากความผิดปกตินี้เกิดในเด็ก อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโต น้ำหนักตัวไม่เป็นไปตามวัย พัฒนาการผิดปกติ ในผู้ใหญ่อาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงมากและขาดสารอาหาร ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสุขภาพตามมา
5.ภาวะการเคี้ยวกลืนอาหารแล้วขย้อนออก (Rumination Disorder)
ผู้ป่วยสำรอกอาหารที่เคยเคี้ยวและกลืนไปก่อนหน้านี้ออกมา จากนั้นจะเคี้ยวซ้ำแล้วกลืนเข้าไปใหม่หรือบ้วนทิ้ง ซึ่งการสำรอกอาหารไม่ได้เกิดจากอาการจุกเสียดท้อง หรือคลื่นไส้ และไม่ได้เกิดจากโรคประจำตัวหรือ Eating Disorder ประเภทอื่น และจะเกิดอาการในลักษณะซ้ำ ๆ อย่างน้อย 1 เดือน
Rumination Disorder พบได้ทั้งในทารก เด็ก และผู้ใหญ่ ซึ่งอาจเริ่มมีอาการในทารกอายุระหว่าง 3–12 เดือน และอาการจะหายไปได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น และอาจพบในเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
การสำรอกอาหารบ่อย ๆ อาจทำให้ทารกขาดสารอาหารอย่างรุนแรง และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ในผู้ใหญ่อาจทำให้กินอาหารน้อยลง และหลีกเลี่ยงการกินอาหารต่อหน้าคนอื่น ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ได้
6.ภาวะการกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร (Pica)
ผู้ป่วยรู้สึกอยากกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร และไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ อย่างเช่น น้ำแข็ง กระดาษ สบู่ ดิน เส้นผม ฝุ่น ไหมพรม โคลน และกรวด ซึ่งการกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหารอาจเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บ ติดเชื้อ และขาดสารอาหาร
จะพบได้บ่อยในเด็ก คนที่ตั้งครรภ์ และคนที่เป็นโรคออทิสติก (Autism Spectrum Disorder) หรือมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา อย่างไรก็ตาม เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ที่ชอบหยิบสิ่งของชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากถือเป็นพัฒนาการตามวัย และไม่จัดเป็นความผิดปกติ
7.ภาวะคลั่งกินคลีน (Orthorexia)
จะมีความกังวลเกี่ยวกับอาหาร คำนึงถึง และเลือกกินเฉพาะอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีการอ่านฉลากโภชนาการ เช็คส่วนประกอบของอาหารทุกครั้งก่อนเลือกกิน ใช้เวลานานในการนึกถึงอาหารที่ต้องมีประโยชน์ในมื้อถัดไป ผู้ป่วยจะรู้สึกเครียดถ้ามื้อใดไม่ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ บางรายงดการกินอาหารบางอย่างไปเลย เพราะคิดว่าเป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่น น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เนื้อสัตว์
Eating Disorder รักษาอย่างไร
หากสังเกตว่าตัวเอง หรือคนใกล้ชิดมีอาการของ Eating Disorder ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งการรักษาอาจแตกต่างกันไปตามประเภทและความรุนแรงของ Eating Disorder โดยแพทย์อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน เช่น
- โภชนบำบัด (Nutrition Therapy) เป็นการประเมินและวางแผนการกินอาหารของผู้ป่วยตามหลักโภชนาการ นักโภชนาการจะคำนวณพลังงาน และสารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน เพื่อให้มีน้ำหนักตัวปกติตามเกณฑ์
- จิตบำบัด(Psychotherapy) อย่างเช่น การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy) ซึ่งมักใช้รักษาผู้ป่วยอะนอเร็กเซีย บูลิเมีย และโรคกินไม่หยุด และครอบครัวบำบัด (Family Therapy) สำหรับผู้ป่วยเด็ก และวัยรุ่น เพื่อให้คนในครอบครัวช่วยดูแลพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม
- การใช้ยา อย่างเช่นยาต้านเศร้า ยาต้านอาการทางจิต และยาควบคุมอารมณ์ ซึ่งยาเหล่านี้ไม่ได้ช่วยรักษา Eating Disorder โดยตรง แต่อาจช่วยรักษาอาการซึมเศร้า หรือวิตกกังวล ที่อาจเป็นต้นเหตุของความผิดปกติทางการกิน โดยช่วยยับยั้งความอยากอาหารที่ผิดปกติ และจัดการกับความคิดหมกมุ่นในการกินได้
- การรักษาตัวในโรงพยาบาลในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จำเป็นต้องได้รับการรักษาพิเศษภายใต้การดูแลของแพทย์