รีวิวอุลตร้าแมนผงาด : แอบเหมือนฮีโร่ฝั่ง marvel(ตัวหนังไปไม่สุด)
ขออนุญาตวิจารณ์ตรงตรงนะครับตามความรู้สึกส่วนตัวที่ดูจบหนังเรื่องอุลตร้าแมนผงาดที่ฉายทาง netflix (ที่โพสต์วันนี้เพราะว่ายังพูดไม่หมดตอนทำคลิปวีดีโอวิจารณ์มันยังอึดอัดในใจก็เลยอยากจะโพสต์วันนี้เพื่อจะระบายความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง)
เพราะความคาดหวังจากคำวิจารณ์ของสื่อต่างประเทศที่ได้เขียนลงในเว็บไซต์ของรอบปฐมทัศน์ที่อเมริกาว่าเป็นหนังที่ดีและน่าดู ก็เลยคาดหวังความสนุกเร้าใจของตัวหนังเรื่องนี้ว่าต้องมีการต่อสู้กันแบบเมามันมากๆ แต่พอได้มีโอกาสได้ดูหนังจริงๆแบบเต็มเรื่อง รู้สึกผิดคาดกับความสนุกที่ตัวเองคาดหวังไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวหนังไปเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของพระเอก
พ่อที่ต้องการให้ลูกตัวเองมาสานต่อในการต่อสู้กับไคจูที่มาบุกโลก ส่วนของพระเอกก็จะเล่าถึงการเป็นนักเบสบอลที่มีชื่อเสียงในอเมริกาและต้องกลับมาที่ญี่ปุ่นเพื่อสานต่อในสิ่งที่พ่อต้องการแล้วไปเจอใครจูน้อยที่พระเอกได้โดยมาแบบบังเอิญจึงต้องรับหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยงไคจูน้อยไปโดยปริยาย โดยมีหน่วยงานที่ต้องการไคจูน้อยที่ตั้งตนเป็นหน่วยงานกำจัดไคจู
ในตัวหนังเล่าว่าแม่ของพระเอกหายไปเหมือนว่าให้ทุกคนอยากดูต่อว่าแม่ของพระเอกไปไหนแต่สุดท้ายหนังก็ไม่ได้เล่าต่อ หรือจะเป็นฝั่งไคจูน้อยที่ฝั่งตัวร้ายต้องการไคจูน้อยแบบเป็นๆแต่ก็ไม่ได้เล่าต่อว่าทำไมถึงต้องการ(ผมอาจจะไม่ได้ดูในตอนนี้ก็ได้ว่า ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าเพราะมันน่าเบื่อเลยดูไปทำนู่นทำนี่ไปในบางครั้ง)
นางเอกคือนักข่าวที่ให้คำปรึกษากับพระเอกในเรื่องของครอบครัวพระเอกเพราะนางเอกมีลูกพระเอกเลยปรึกษานางเอกในเรื่องนี้(มุมผมคิดว่านางเอกของเรื่องน่าจะมีส่วนร่วมในเรื่องมากกว่านี้มากกว่าแค่คำปรึกษาเอานางเอกไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับไคจูสักนิดก็ยังดี แต่นี่ไม่มีเลย)
ทั้งหมดทั้งมวลมานี้ที่เล่ามากว่าจะพูดถึงความสัมพันธ์ของในครอบครัวพระเอกจบ เลี้ยงดูไคจูฝึกไคจูให้ต่อสู้ต่อด้วยพ่อลูกคุยกันในเรื่องความสัมพันธ์แล้วก็คืนดีกันและหาหนทางให้ไคจูนน้อยรอดและพาไปเกาะไคจูที่มีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ ปาไป 1 ชั่วโมงครึ่งกว่า จะถึงจุดพีคในการต่อสู้บอกตรงๆระหว่างที่ดูความสัมพันธ์ ที่เขาต้องการจะสื่อให้เราดูแม่งโคตรน่าเบื่อเลยครับ ไหนจะฉากที่อุลตร้าแมนไปล้มโดนสะพานตอนต่อสู้ในช่วงท้ายๆ นึกในใจหวังว่าจะไม่มีสะพานหักแล้ว เกิดดราม่าถ้ามีแม่งโคตรวุ่นวายไปอีก จะไม่จบง่ายๆแน่นอนแล้วจะทำให้ผมเบื่อไปอีกกับการเล่าเรื่อง เพราะในใจคิดเสมอเมื่อไหร่ถึงจุดพีคแล้วก็เมื่อไหร่จะจบ
ถ้าเป็นคะแนนการเล่าเรื่องผมบอกในคลิปวิจารณ์ว่าให้ 5 เต็ม 10 ผมขอพิจารณาใหม่ในวันนี้ 5 สำหรับผมเยอะไปครับขอเหลือ 4 เต็ม 10 ก็พอสำหรับการเล่าเรื่อง ส่วนการทำอนิเมชั่นยังให้เหมือนเดิมครับมี 100 คะแนนผมก็ให้ 100 คะแนนทำดีมากจริงๆ
ส่วนที่ผมบอกในภาพว่าคล้ายกับฮีโร่ฝั่ง marvel คือไอรอนแมนกับสไปเดอร์แมนคือการใช้เทคโนโลยีโดยการใช้ AI ในการตอบโต้คุยกับพระเอกหรือคุยกับอุลตร้าแมนคือเหมือนกับฝั่ง iron man กับสไปเดอร์แมนภาคปัจจุบันมากๆถึงมากที่สุดโดยที่ไม่ต้องคิดเลยโดยเฉพาะฉากที่ฝั่งที่ต้องการไคจูน้อยมาบุกบ้านพระเอกที่ริมทะเลแล้วถล่มบ้านพระเอกยับนี้มันใช่ในฉากของภาค 1 ของไอรอนแมนเด๊ะๆแบบเปี๊ยบเลยแล้วเทคโนโลยีในบ้านของพระเอกเวอร์วังอลังการมากแบบคนรวยแบบโคตรๆโคตรจะรวย แต่ในทางกลับกันพ่อของพระเอกที่ไม่ได้เป็นอุลตร้าแมนแล้วให้พระเอกสานต่อบ้านโคตรซอมซ่อมันผิดกับฝั่งของพระเอกอย่างฟ้ากับเหวคือมันต่างกันเกินไปจริงๆจนทำให้ไม่เชื่อว่าเป็นพ่อของพระเอกในตอนแรกแล้วเปิดตัวมาด้วยตอนแรกที่พ่อพระเอกยังหนุ่มอยู่ยังเป็นอุลตร้าแมนตอนพระเอกยังเด็กพ่อของพระเอกหน้าตาจะดูดีกว่านี้มากเพราะแก่ไปไม่เหลือเค้าเดิมเลยทั้งหัวหงอกตัวเล็กขาไม่ดีคือเป็นอาแปะซอมซ่อคนนึงที่ไม่น่าจะเป็นพ่อของพระเอกได้เลยแม้แต่นิดเดียวถ้าพูดตรงๆคือมันคนละวรรณะกันเลย
ความคิดเห็นส่วนตัวคนคิดบทคนสร้างก็อาจจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ครอบครัวความอบอุ่นของตัวละคร ซึ่งในหัวผมความสัมพันธ์ประเภทนี้ทำให้ผมนึกถึง ซูโทเปีย นครสัตว์มหาสนุก ที่ผมได้ดูเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนก็ดู และเชื่อว่าหลายคนก็จะไม่เถียงว่าเรื่องนี้ก็จะพูดถึงในมุมความอบอุ่นระหว่างเพื่อนต่างสายพันธุ์ จิ้งจอกกับกระต่าย ที่สุดท้ายก็เป็นเพื่อนกันได้ สำหรับผมเรื่องนี้คือ the best ของผมมีทั้งมุม ฮา สนุก มัน ลุ้น และทราบซึ้งในความสัมพันธ์ของเพื่อนต่างสายพันธุ์ ที่ตัวนางเอกอยากเป็นตำรวจและไล่ล่าความฝันของตัวเองมันยังติดอยู่ในใจเลยว่าถ้าทุกคนมีความพยายามทุกสิ่งเป็นไปได้ (ขอโทษไว้ก่อนที่ต้องเปรียบเทียบหนังเรื่องอื่นเพราะผมไม่ได้ดูเรื่องอุลตร้าแมนผงาดเรื่องเดียวผมดูหนังมาหลายเรื่องมากผมอาจจะต้องปกป้องตัวเองของพวกคีย์บอร์ดมาด่าต้องขอโทษด้วยจริงๆสำหรับคนที่ไม่ชอบการเปรียบเทียบ)
ขอสรุปอีกครั้งรู้สึกผิดหวังกับหนังเรื่องนี้เพราะอาจจะคาดหวังไว้เยอะที่จริงมันมีเรื่องที่มันสามารถขยี้ได้ดีกว่านี้ในเรื่องแต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ ตามนั้นแหละครับตามที่เขาบอกเลยว่าเขาจะปรับ ultraman เรื่องนี้ให้เป็น worldwide มากยิ่งขึ้นให้เทียบกับระดับโลก ตัวหนังยกระดับตัวเองให้กลายเป็นหนังอเมริกาธรรมดาๆเรื่องนึงได้อันนี้ยอมรับว่าตัดความเอกลักษณ์อุลตร้าแมนของญี่ปุ่นออกไปได้หมดมันดูสากลขึ้นจริงๆแต่มันแค่ไม่สนุก อันนี้คือวิจารณ์จากความรู้สึกของผมจริงๆวิจารณ์ผมได้นะครับแต่ขอให้มีเหตุผลในการวิจารณ์ไม่หยาบไม่คายนะครับขอบคุณมากๆที่เข้ามาอ่าน 🙏🙏🙏