รีวิวหนังสือ ปีศาจตัวนั้นคือฉันเอง (A Guide to Fight the Demons in my heart)
เราทุกคนล้วนมีปีศาจอยู่ในใจ ลองนึกถึงตอนที่เราอยู่ในสถานะถูกเอาเปรียบก็ได้ครับ แต่ยังตอบโต้กลับไม่ได้เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักกว่าเดิม เรื่องแบบนี้ใครๆก็เคยเจอมากับตัว แต่ถ้าหากต้องเจอเรื่องแบบนี้ทุกวัน ถ้าไม่ซึมเศร้าก็คงบ่มเพาะความเป็นปีศาจในจิตใจเบื้องลึกของเรา
ปีศาจในที่นี้คือความรู้สึกด้านลบที่เราดึงขึ้นมาใช้บอกกับตัวเองเพื่อแก้ปัญหาอย่างจำเป็นเร่งด่วนเมื่อเหตุการณ์บีบบังคับ ซึ่งถ้าหากเรื้อรังมากเข้าก็อาจส่งผลเสียต่อตัวเราเองได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการด้อยค่าตัวเองว่าเราทำได้ไม่ดีพอ เลิกเสียเถอะ ปีศาจพวกนี้ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้ไปข้างหน้าได้
ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์
- ได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าจะเสียใจแค่ไหน อย่าลืมบอกกับตัวเองไว้เสมอ เขาหยุดรักเราก็ไม่เป็นไร แต่เราหยุดรักตัวเองไม่ได้เด็ดขาด อย่าลืมว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่เคยย้อนไปข้างหลัง ต่อให้เราไม่อยากเดินไปข้างหน้าแค่ไหน เวลาก็จะผลักส่งเราให้ไปข้างหน้าอยู่ดี
- ได้เรียนรู้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้เจอกัน ดีกว่าไม่เคยเจอกันเลย เราเคยมีความทรงจำดีๆร่วมกัน ดีกว่าไม่มีเลย เราเคยได้รักใครแบบสุดหัวใจ ดีกว่าไม่เคยรักใครเลย ตราบใดที่เรายังรู้สึกเจ็บ แสดงว่ายังมีหัวใจ ยังรักเป็นและเริ่มต้นใหม่ได้อีกเสมอ การเลิกกันไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ได้เจอคนใหม่ๆ ถ้ายังยึดติดอยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกแย่ ก็ไม่มีทางเจอคนดีที่รักเรา
- ได้เรียนรู้ว่าก่อนจะรักใคร ต้องรักตัวเองให้เต็มร้อยก่อน ถ้ารักตัวเองมากพอ เราจะมีความสุขด้วยตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องหวังให้ใครมาเป็นความสุขให้เรา เมื่อวันที่เขาเดินจากไป เขาจะได้ไม่เอาความสุขของเราไปด้วย
- ได้เรียนรู้ว่าถ้าเขาจะเลือกเรา เขาเลือกไปนานแล้ว เราต้องยอมรับความจริง อย่าไปหลอกตัวเองว่าสักวันเขาจะเลือกเรา ถ้าเจอคนที่เราให้เขาเต็ม 100 แต่เขาให้เราแค่ 10 อย่าเอา 100 ของเราไปแลกกับความรู้สึกแค่นั้นของเขาเลย
- ได้เรียนรู้ว่าเรื่องแย่ๆที่เราเจอไม่ได้ลดคุณค่าในตัวเรา แต่เรื่องแย่ๆเหล่านั้นหล่อหลอมให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดี เรามีค่าสำหรับความรักที่เรามอบให้ตัวเองเสมอ
- ได้เรียนรู้ว่าถ้าครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูกอยู่กันครบ แต่ไม่มีเวลาให้ ไม่ใส่ใจความรู้สึกลูก คงไม่อาจเรียกได้ว่าครอบครัวที่อบอุ่น ถ้าครอบครัวมีสมาชิกแค่สองคน แต่ใส่ใจคุยกันทุกเรื่องด้วยความเข้าใจ ยังเรียกว่าครอบครัวแตกแยกหรือเปล่า ? อย่าไปสนใจว่าสมาชิกในครอบครัวมีกี่คน สนแค่ว่าคนในครอบครัวที่มีนั้นรักกันมากแค่ไหนก็พอ
- ได้เรียนรู้ว่าอย่าคิดไปเองว่าเขาเป็นเพื่อน เพราะถ้าเขาไม่จริงใจ เขาก็ไม่ใช่เพื่อนเราตั้งแต่แรกแล้ว ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้คำว่าเพื่อนได้ ทั้งนี้การมีเพื่อนที่ดีจะพาชีวิตเราไปในทางที่ดีขึ้นด้วย แต่ก่อนจะมีเพื่อนที่ดี อย่าลืมทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับคนอื่นๆก่อน แล้วเพื่อนดีๆจะเข้ามาเอง หากเลือกเขามาเป็นเพื่อนของเราแล้ว ต้องยอมรับทั้งข้อดี ข้อเสียของเขา รักพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการให้เป็น
- ได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครรังแกเราได้ถ้าเราไม่ยอม ถ้าเราไม่เก็บมาคิด มองให้มันไม่มีความหมาย คำพูดและการกระทำเหล่านั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้
- ได้เรียนรู้ว่าความดูดีไม่ได้ทำให้เราดูฉลาด แต่ความฉลาดต่างหากที่ทำให้เราดูดี
- ได้เรียนรู้ว่าอย่าตอบโต้คนไม่ดี ด้วยความร้ายกาจ มิฉะนั้นเราจะกลายเป็นคนไม่ดีเสียเอง
- ได้เรียนรู้ว่าการที่เราให้เวลากับตัวเองได้พักผ่อนไม่ได้แปลว่าเราเลิกสนใจงานของเรา แต่กำลังพยายามทำให้งานออกมาดีขึ้นต่างหาก อย่ามองการพักผ่อนเป็นการเสียเวลา เพราะการพักผ่อนไม่ใช่อุปสรรคที่พาเราไปถึงความสำเร็จได้ช้าลง แต่เป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้เราก้าวต่อได้ไกลและดีกว่าเดิม
- ได้เรียนรู้ว่าอย่างไรก็ต้องมีคนประสบความสำเร็จมากกว่าเรา ถ้าเราเอาความสำเร็จของตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ต่อให้เราประสบความสำเร็จมากแค่ไหนมันก็ดูเล็กกว่าคนอื่นอยู่ดี ทั้งนี้อย่าเป็นอุปสรรคของตัวเองด้วยการรู้จักลงมือทำเดี๋ยวนี้โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
- ได้เรียนรู้ว่าการคิดบวกไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่เป็นการเพิ่มเกราะให้หัวใจ เมื่อความเครียดทำอะไรเราไม่ได้ ความสุขจะเข้ามาแทน
- ได้เรียนรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะต้องการให้คนอื่นพอใจ เราก็จะต้องคอยเปลี่ยนแปลงตัวเองไปชั่วชีวิต เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน แต่ถ้าขาดความมั่นใจ เราก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพออยู่ดี
- ได้เรียนรู้ว่าอย่าใช้ชีวิตเพื่อตามใจคนอื่นจนลืมใช้ชีวิตของตัวเอง เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำตามความคาดหวังของใคร
การเรียนรู้แนวคิดภายในเล่ม ครีเอเตอร์รู้สึกว่าเหมือนกับเราได้ส่องกระจกมองตัวเองว่าเรามีภาวะความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในระดับที่รุนแรงแค่ไหน โดยที่เรายอมรับมันตามความจริง ถ้าเราปฏิเสธมัน ก็จะยิ่งส่งผลลบ เพราะเป็นการซุกซ่อนระเบิดเวลาเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์แบบ
เราอาจไม่จำเป็นต้องกำจัดคนที่คิดร้าย คนที่ทอดทิ้งเรา คนที่เจตนาไม่ดีกับเรา เพียงแต่เราเลือกที่จะปรับตัว ปรับอารมณ์ของเราให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลอีกครั้ง เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะเคยเจอเรื่องแย่ๆมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอเรื่องที่ดีไม่ได้อีกเลย