กลรักสาวมีนกร ตอนที่ 1
เสียงโต้เถียงในห้องทำงานของเพ็ญจันทร์ภายในคฤหาสน์หรูดังขึ้นดุจเสียงฟ้าคำรามในวันที่พายุโหมกระหน่ำ ประมุขของบ้านไม่พอใจที่หลานคนเล็กไม่ยอมทำตามคำสั่งของตนเอง เด็กน้อยที่เคยบังคับให้ทำตามคำสั่งในวันนี้เติบใหญ่กล้าพอที่จะขัดคำสั่งของคนเป็นป้าประกาศตัวเป็นศัตรู
มัจฉายืนสงบนิ่งไม่มีทีท่าแสดงความกลัวให้เพ็ญจันทร์ได้เห็น การแสดงออกของหญิงสาวยิ่งทำให้เพ็ญจันทร์ไม่พอใจโกรธจนหน้าแดงกำมือแน่นให้ใจเย็นลง มัจฉาก็เช่นกันต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันนับวันความขัดแย้งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสงครามของทั้งสองคน บ้านหลังนี้ต้องลุกเป็นไฟเมื่อมัจฉากับเพ็ญจันทร์จันหน้ากัน สงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ร่วมกันบ้านหลังนี้
เพ็ญจันทร์หญิงสาววัยกลางคนต้องรับภาระเลี้ยงดูพุทธชาดกับมัจฉาหลังจากที่จันทราน้องสาวของตัวเองประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกับมานพน้องเขยตั้งแต่มัจฉาเพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่วันนั้น เพ็ญจันทร์ต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองคน พุทธชาดเป็นหลานคนโปรดของเพ็ญจันทร์ถูกเลี้ยงมาดุจไข่ในหินเป็นคุณหนูของบ้านส่วนมัจฉาถูกเลี้ยงมาเหมือนกับลูกรับใช้ตั้งแต่เล็กจนโตมัจฉาทำหน้าที่ดูแลพุทธชาดทำทุกอย่างที่พุทธชาดต้องการ การดำเนินชีวิตของทั้งสองคนแตกต่างกันราวนรกกับสวรรค์อีกคนสุขสบาย อีกคนทุกข์ยาก เพ็ญจันทร์ไม่เข้าใจความยากลำบากในการใช้ชีวิตของมัจฉาเลยเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้นตัวฉันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโลกใบนี้เป็นของฉันแด่เพียงผู้เดียว
“ คุณนาย มัจจะสมัครเรียนวิทยาลัยประมง ” มัจฉารู้คำตอบตั้งแต่วันแรกที่ไปซื้อสมัคร ด้วยความจำยอมต้องมาบอกให้เพ็ญจันทร์ได้รู้ทั้ง ๆ ไม่ต้องการให้เพ็ญจันทร์รู้เรื่องนี้ เธอวางคู่มือสมัครลงบนโต๊ะ เพ็ญจันทร์กวาดสายตามอง
“ ป้าไม่ให้เรียน ” คำพูดสั้น ๆ น้ำเสียงดุดันตอบกลับอย่าอย่างไม่พอใจทำให้ผู้ฟังรับรู้เข้าใจคำตอบของผู้พูดได้เป็นอย่างดี
“ คุณนายจะมาบังคับให้มัจทำตามใจที่คุณนายต้องการไม่ได้หรอกนะมัจเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะตั้งโปรแกรมตามใจให้ทำตามใจคุณนายทุกเรื่อง ไอ้คนเผด็จการ คุณนายไม่ใช่คนแต่เป็นผีดิบ ครึ่งผีครึ่งคนเป็นคนไร้หัว ชีวิตของคุณนายมีเพียงพี่พุทธคนเดียวเท่านั้น คุณนายไม่เคยเห็นว่ามัจเป็นหลานเป็นแค่กาฝากของบ้านหลังนี้ ”
“ ไอ้เด็กหัวดื้อ จองหอง ใครสั่งใครสอนให้มีนิสัยแบบนี้เถียงทุกคำพูด ทำไมไม่ดูอย่างพุทธชาดเป็นตัวอย่างตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเถียงป้าแม้แต่คำเดียวและไม่เคยทำให้ป้าต้องผิดหวัง มัจเถียงป้าทุกคำห้ามอะไรไม่เคยฟังนิสัยแบบนี้ไม่น่ารักเลย ” คำพูดของเพ็ญจันทร์เปรียบเหมือนกับเข็มหลายหมื่นเล่มที่คอยทิ่มแทงหัวใจของมัจฉาเรื่อยมาตั้งแต่เล็กจนโตจนหัวใจดวงด้านชาเกินที่จะรับรู้ถึงความรักของเพ็ญจันทร์ที่เคยมีให้ในขณะที่เพ็ญจันทร์ก็ไม่เคยรู้ตัวว่าคำพูดของตัวเองสร้างบาดแผลทางใจให้กับมัจฉากลับคิดว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นคำสอนเตือนสติของมัจฉา
“ ชีวิตของมัจเป็นของคุณนายตั้งแต่เมื่อไหร่ มัจมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง คุณนายไม่ใช่เจ้าชีวิตและไม่ได้มีสถานะของความเป็นแม่ แม่ต่างหากละที่เป็นเจ้าชีวิตของมัจ คุณนายไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้มัจทำตามใจของคุณนาย ” มัจฉาตะโกนใส่หน้าเพ็ญจันทร์ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เพ็ญจันทร์พยายามระงับอารมณ์โกรธของตัวเองปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเพื่อให้มัจฉาอารมณ์เย็นลง
“ มัจต้องเรียนมัธยมปลายนะลูก เรียนทำไมสายอาชีวะไม่มีประโยชน์มีแต่พวกนักศึกษายกพวกตีกัน ป้าไม่อยากให้มัจไปเรียน มัจเรียนมัธยมปลายยังดีกว่าอีกดีกว่าไปเรียนสายอาชีวะ ”
“ คุณนายมีเหตุผลอะไร ทำไมมัจเรียนสาขาวิชาประมงไม่ได้ในเมื่อมัจอยากเรียนสาขาวิชานี้ เมื่อไหร่คุณนายจะเลิกบังคับมัจสักที ดูอย่างพี่พุดคุณนายไม่เคยบังคับมีสิทธิ์ที่จะเลือกทุกอย่างในชีวิตด้วยของตนเองแต่ทำไมมัจไม่มีสิทธิ์เลือกอย่างพี่พุดบ้าง คุณนายลำเอียงรักหลานไม่เท่ากันหรือว่าแท้จริงแล้วมัจไม่ใช่หลานของคุณนายเป็นแค่เด็กที่คุณนายเก็บมาเลี้ยงจากกองขยะ คุณนายถึงทำกับมัจแบบนี้ ” เพ็ญจันทร์เริ่มโมโห
“ ป้าไม่ให้เรียน มัจมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของป้าไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น ป้าสั่งอะไรก็ต้องทำตาม ป้าไม่มีวันยอมให้มัจเรียนที่วิทยาลัยประมงโดยเด็ดขาด นี่ใบสมัครเรียนต่อมัธยมปลายของมัจ กรอกข้อมูลให้เรียบร้อย ” เพ็ญจันทร์หยิบใบสมัครออกจากลิ้นชักวางใบสมัครลงบนโต๊ะ มัจมองใบสมัครตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ
“ มัจต้องการเรียนที่วิทยาลัยประมงเท่านั้นไม่มีวันเปลี่ยนใจไปเรียนมัธยมปลายตามที่คุณนายต้องการ คุณหากคุณนายอยากเรียนก็กลับไปเรียนใหม่เองสิมาบังคับให้มัจเรียนทำไม ” มัจฉาหยิบใบสมัครของเพ็ญจันทร์ฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโยนขึ้นไปบนอากาศ เศษกระดาษหล่นลงบนพื้นเกลื่อนกลาดไปทั่วห้อง การกระทำของมัจฉาทำให้เพ็ญจันทร์โกรธจนตัวสั่นมองมัจฉาด้วยสายตาที่แข็งกร้าว มัจฉาไม่แสดงความกลัวออกมาให้เพ็ญจันทร์ได้เห็นทั้งที่ในใจกลัวเพ็ญจันทร์สุดหัวใจ
“ถ้าคุณนายอยากเรียนก็ไปเรียงเองสิมาบังคับให้มัจเรียนทำไมในเมื่อคุณนายรู้อยู่แล้วว่ามัจไม่อยากเรียน ”
“ อยากเรียนประมงก็ตามใจแต่ต้องหาเงินเรียนเอง เลือกเอาแล้วกันว่าอยากเรียนแบบสบายหรือเหนื่อยที่ต้องลำบากหาเงินเรียนเอง เรื่องแค่นี้คงคิดได้ สมองมีคงคิดได้ไม่ยาก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูนี่ไม่ใช่คำขู่แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ต้องเจอในอีกไม่กี่วันนับตั้งแต่วันนี้ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ” เพ็ญจันทร์แกล้งขู่มัจฉาเพราะคิดว่าวิธีนี้จะทำให้มัจฉาล้มเลิกความตั้งใจยอมกลับมาเรียนมัธยมปลายอย่างที่บอกแต่เพ็ญจันทร์คิดผิด มัจฉายังคงยืนยันคำเดิมที่จะเรียนวิทยาลัยประมงเหมือนเดิมโดยไม่ได้สนใจคำพูดของเพ็ญจันทร์
“ มัจหาเงินเรียนเองได้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินของคุณนาย แม้แต่สลึงเดียว คุณนายเก็บเงินของตัวเองไว้ให้พี่พุดใช้ไปจนตาย หลานชังอย่างมัจไม่มีสิทธิ์ในเงินของคุณนายของอยู่แล้ว มัจเข้าใจในสถานะของตัวเอง ” เพ็ญจันทร์หมดคำพูดในการต่อรองหมดปัญญาที่จะห้าม มัจฉาน้ำตาคลอเบ้าพยายามข่มความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดเอาไว้แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความรู้สึกของตัวเองที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจรีบเช็ดคราบออกน้ำตาออกจากแก้มเดินออกจากห้องของเพ็ญ
จันทร์ทันที สายฝนกำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย เพ็ญจันทร์ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างนึกถึงเรื่องราวในอดีตอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพังคนเดียวในห้องด้วยความเศร้าใจกังวลใจเรื่องของมัจฉาคิดไปต่าง ๆ นานาจนไม่มีสมาธิทำงาน
“ ป้าขอโทษนะลูก ” เสียงเรียกของพิมพ์ภาดังขึ้นทำให้เพ็ญจันทร์รู้สึกตัว สีหน้าของเพ็ญจันทร์ไม่ค่อยสู้ดีนัก พิมพ์พามองดูเพ็ญจันทร์ด้วยความเป็นห่วงแต่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเข้าใจในการกระทำของเพ็ญจันทร์และมัจฉาเหตุผลของทั้งสองคน
“ มีอะไรหรอพิมพ์วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียวหรือว่าเกิดปรากฏการณ์ช้างกินควาย ” เพ็ญจันทร์ทำหน้าตาตื่นเต้นแกล้งเหย้าพิมพ์พา
“ คุณผู้หญิง ” พิมพ์ภาทำเสียงสูง
“ หน้าสิ่วหน้าขวาน คุณนายยังมีอารมณ์มาหยอกพิมพ์เล่นอีกนะคะ ”
“ มีเรื่องอะไรร้ายแรงถึงขนาดทำให้คุณพิมพ์ภาตกใจถึงขนาดนี้ ”
“ คุณหนูมัจวิ่งออกไปจากฝ่าฝนออกจากบ้านไป ตอนนี้ยังไม่กลับบ้านมาเลยค่ะ ”
“ ดึกแล้วยังจะออกไปไหนอีก ไอ้เด็กคนนี้ทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ” เพ็ญจันทร์รีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที พุทธชาดกลับบ้านมาพอดี
“ สวัสดีค่ะ ! ป้าจะไปไหนค่ะ ” พุทธชาดถามด้วยความสงสัยในท่าทีของเพ็ญจันทร์ที่ดูร้อนรนผิดปกติ
“ มัจหายออกไปจากบ้าน ป้าจะออกไปตามน้องกลับบ้านไม่รู้เตลิดไปถึงไหนแล้ว ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาเลย ”
“ คิดว่าเรื่องอะไร ป้ากลับไปนอนเถอะค่ะ น้องนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่กับเข้มและเบิ้มตรงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านเดี๋ยวสักพักคงกลับมา ป้ายังไม่ชินอีกหรอค่ะที่น้องหายออกไปจากบ้านแล้วทุกครั้งที่น้องหายไปสักพักพอน้องอารมณ์เย็นลงก็จะกลับมาบ้าน มีครั้งไหนบ้างที่น้องไม่กลับมา ” พุทธชาเดินจูงมือเพ็ญจันทร์เดินกลับเข้ามาในบ้าน คำปลอบใจของพุทธชาดช่วยให้เพ็ญจันทร์คลายความกังวลใจลงมาเล็กน้อยแต่ในใจยังอดที่จะเป็นห่วงมัจฉา
“ พุดอย่าโทรถามน้องว่าจะกลับบ้านกี่โมง สี่ทุ่มแล้วทำไมยังไม่กลับ ป้าเป็นห่วง ”
“ ได้ค่ะป้า ” เพ็ญจันทร์ถอนหายใจ ร้านก๋วยเตี๋ยวริมทางถูกสร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ ด้วยไม้และสังกะสีอย่างง่าย ๆ โต๊ะและเก้าอี้วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเนืองแน่นไปด้วยลูกค้าที่แวะเข้ามาอุดหนุน ร้านเล็ก ๆ รสชาติอร่อยถูกปากแถมราคาไม่แพงขวัญใจคนใช้แรงงาน มัจฉา เข้มและเบิ้มกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว เสียงโทรศัพท์ของมัจฉาดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้งทำให้เข้มกับเบิ้มหันมามองหน้ากันบอกให้มัจฉารีบรับสายของพุทธชาด มัจฉาส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ
“ พี่พุดโทรมาหลายรอบแล้วนะ แกรับสายพี่พุดได้แล้วบางทีพี่พุดอาจมีธุรเร่งด่วนเป็นได้ ” เข้มเตือนสติมัจฉา เบิ้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายยื่นให้กับมัจฉา
“ สวัสดีครับคุณหนูมีอะไรให้มัจรับใช้ค่ะ ”
“ ทำไมยังไม่กลับมัวทำอะไรอยู่ มัจกลับบ้านได้แล้วพี่เป็นห่วง ”
“ มัจนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่กับเข้มและเบิ้มที่ร้านของเจ๊นุช พี่พุดไม่ต้องเป็นห่วงอีกสักพักมัจก็กลับแล้วไม่ต้องเป็นห่วงใกล้แค่นี้เอง ก๋วยเตี๋ยวยังเต็มถ้วยอยู่เลย ”
“ รีบกินรีบกลับ พี่รออยู่ ”
“ ครับคุณหนู ”
“ พี่พุดโทรตามให้แกกลับบ้านไปดูดนมเตรียมตัวเข้านอนแล้วหรอวะ ” เข้มแซวมัจฉาพร้อมกับหยิบขวดน้ำปลาทำท่าเหมือนเด็กกำลังดูดนมออกจากขวด มัจฉายังทำหน้านิ่ง
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยิ้มหน่อยสิครับคุณหนูมัจฉา ” เบิ้มทำท่าเป็นตัวตลก ใบหน้าของมัจฉายังเหมือนเดิมยังไม่มีรอยยิ้มปรากฏ เข้มกับเบิ้มถอนหายใจ
“ ไอ้มัจแกยิ้มหน่อยสิ ฉันไม่ชอบเลยที่แกเป็นแบบนี้ คุณหนูมัจฉาคนเดิมหายไปไหนแล้ว ” เข้มพยายามปลอบมัจฉา
“ ไอ้มัจแกจะทำยังไง ในเมื่อป้าเพ็ญยืนกรานไม่ยอมให้แกเรียนต่อที่วิทยาลัยประมงยังบังคับให้แกเรียนมัธยมปลายเหมือนเดิม แกจะแก้ปัญหานี้อย่างไรในเมื่อเรายังเป็นเด็กยังต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ในการดำรงชีพอยู่เลย ”
“ คุณนายพูดกับฉันว่า ถ้าฉันเลือกเรียนสาขาวิชาชีพทางด้านประมง ฉันต้องหาเงินเรียนด้วยตัวเอง คุณนายจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ๆ ทั้งหมดของระหว่างเรียนอยู่ที่นี้ ฉันต้องทำงานหาเงินส่งเสียตัวเองเรียน ”
“ โอ้โห้ ! ทำไมคุณนายเพ็ญจันทร์ถึงได้โหดร้ายกับคุณหนูมัจฉาอย่างนี้ ฉันไม่เข้าใจในการกระทำของป้าเพ็ญ ”
“ ฉันว่า แกรอให้ป้าเพ็ญใจเย็นลงอีกสักนิดแล้วแกค่อยไปคุยอีกสักครั้งเผื่อป้าเพ็ญใจอ่อนยอมตามใจแกสักครั้ง ”
“ รอให้น้ำท่วมหลังเต่า พระราหูมีลูกกับพระจันทร์เมื่อเวลานั้นมาถึงคุณนายถึงจะยอมทำตามความต้องการของฉัน ”
“ แกค่อย ๆ คิดไปแล้วกัน พวกฉันสองคนเป็นกำลังใจให้ แกมีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน ” เข้มกับเบิ้มจับมือของมัจฉาเอาไว้พร้อมกับบืบมือของมัจฉาเบา ๆ รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏตรงมุมปาก
“ พวกแกสองคนคิดแล้วหรือยังว่าจะเรียนต่อที่ไหน สาขาอะไร หรือว่าจะเรียนต่อมัธยมปลายเหมือนกับไอ้ชล ”
“ เราสองคนตกลงกันแล้วว่าจะเรียนต่อสาขาช่างไฟฟ้า ฉันไม่อยากเรียนต่อมัธยมปลาย อยากเรียนอะไรก็ได้ที่จบออกมาสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ไม่ต้องเป็นภาระของใคร ”
“ เรียนมัธยมปลายอย่างมากก็ทำงานรับจ้างทั่วไป เรียนจบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพสามารถสอบบรรจุรับราชการได้แล้วใช้เวลาในการเรียนเท่ากันแต่ประสบการณ์ต่างกันเยอะเลย เราสองคนเป็นเด็กกำพร้าแถมยังจนอีกต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจะให้ไปเรียนชั้นมัธยมปลายคงไม่ไหว ”
“ เหตุผลที่สำคัญอีกข้อหนึ่งของพวกเราคือไม่อยากเรียนมัธยมปลาย ฉันเบื่อกับการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนสายสามัญ ตื่นเช้ามาต้องรีบไปเข้าแถว แปดโมงเข้าแถวเคารพธงชาติ เข้าเรียน สิ้นเดือนต้องรีบไปตัดผมวนเวียนอยู่กับสิ่งเดิม ๆ ชีวิตการเรียนมีอยู่แค่นี้ ”
“ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้เรียน ใครชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้น ฉันอยากเรียนทางด้านประมง คุณนายต้องการให้ฉันเรียนมัธยมปลายเหมือนกับไอ้ชลที่เลือกเรียนมัธยมปลายสายวิทย์คณิตเพื่อไปสอบหมอแต่ละคนมีเหตุผลที่ต่างกันสิ่งเดียวที่มีเหมือนกันคือความชอบรักในสิ่งที่ทำ ”
“ พวกเราโชคดีที่ได้ทุนเรียนจนจบตามที่ต้องการและทุนที่ได้รับไม่ได้ให้กำหนดเกรดเฉลี่ยในแต่ละเทอม ถ้าไม่อย่างนั้นแย่เลย ”
“ ใครเป็นคนให้ทุนพวกแกเรียน ผอ.เคยบอกไหมว่าเป็นใคร ” มัจฉาถามด้วยความสงสัย
“ ฉันยังไม่รู้เลยว่าท่านเป็นใครแต่ผอ.เรียก ท่านว่าผู้ใหญ่ ฉันถามว่าท่านเป็นใครผอ.บอกกับฉันว่า ท่านไม่ต้องการให้ใครรู้ฐานะที่แท้จริง ผอ.ติดต่อผ่านคนของท่านยังไม่เคยเจอหน้าท่านเลย ”
“ ทำตัวลึกลับน่าสงสัย ”
“ สักวันหนึ่งฉันต้องรู้ให้ได้ว่าท่านผู้ใหญ่เป็นใคร ”
“ ผู้ใหญ่เป็นสามีของคุณนายเพ็ญจันทร์ ” ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทั้งสามคนหัวเราะพร้อมกัน หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วเข้มกับเบิ้มขับรถมาส่งมัจฉาที่บ้านพร้อมกับช่วยกันปลอบใจไม่ให้มัจฉาคิดมาก รอยยิ้มเล็ก ๆ ของมัจฉาทำให้ทั้งสองคนสบายใจขึ้นนิดหน่อย
“ ฉันขออวยพรให้ป้าเพ็ญใจอ่อนยอมให้แกเรียนตามที่ต้องการ ” เข้มอวยพรให้มัจฉา
“ ขอบใจนะ ” เบิ้มกับเบิ้มสวดกอดมัจฉา
“ คุณหนูมัจฉาราตรีสวัสดิ์ครับผม ” มัจฉายิ้มโบกมือลาทั้งสองคน เข้มกับเบิ้มมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนเป็นเด็กกำพร้าพ่อของเข้มเป็นพี่ชายพ่อของเบิ้ม พ่อของเบิ้มแยกทางกันไปใช้ชีวิตกับครอบครัวใหม่ตั้งแต่เข้มอายุได้อายุสามขวบทิ้งเบิ้มไว้ให้ย่าเป็นคนเลี้ยง ส่วนเข้มแม่เสียชีวิตตั้งแต่เข้มเพิ่งคลอดได้เพียงสามวันส่วนพ่อไปมีภรรยาใหม่ทั้งสองคนอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด
มัจฉาเจอกับเข้มและเบิ้มตอนอายุเจ็ดขวบที่ตลาด ในวันนั้นพุทธชาดกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับมัจฉาในร้านอาหาร เข้มกับเบิ้มเดินเข้ามาในร้านแต่ถูกเจ้าของร้านไล่ออกไป พุทธชาดสงสารซื้อข้าวให้เข้มกับเบิ้มกินพร้อมทั้งพาเด็กชายทั้งสองคนกลับบ้าน เพ็ญจันทร์ตกใจมากเมื่อสภาพของเข้มกับเบิ้มพร้อมทั้งให้พิมพ์พาไปสืบว่าเด็กทั้งสองคนเป็นลูกของใคร ประไพเป็นย่าของเข้มและเบิ้มติดการพนันและเหล้าอย่างหนักไม่มีเวลาดูแลทั้งสองคนปล่อยให้ใช้ชีวิตตามมีตามเกิดเป็นที่เวทนาของผู้พบเห็น
เพ็ญจันทร์ไปคุยกับกับประไพเรื่องของเข้มกับเบิ้มแต่เพ็ญจันทร์ไม่มีครอบครัวทำให้ไม่สามารถรับทั้งสอบคนมาอุปการะเป็นลูกบุตรธรรมได้ เพ็ญจันทร์ดูแลทั้งสองตามอัตภาพและให้เงินประไพตามที่ต้องการทำให้เข้มกับเบิ้มมีชีวิตที่ดีขึ้นมีพัฒนาการตามวัยวัยเหมือนกับเด็กทั่วไปที่เติบโตภายในชุมชน นับตั้งแต่วันนั้นเข้มและเบิ้มกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของมัจฉาสามารถเข้ามาบ้านของเพ็ญจันทร์ได้ตลอด มัจฉาหยุดยืนมองคฤหาสน์หลังใหญ่ด้วยความเศร้าใจ ภาพเหตุการณ์มากมากมายผุดขึ้นมาในความทรงจำทำให้นึกถึงวันเก่า ๆ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
“ ที่นี่มันนรกบนดิน ” มัจฉาบ่นพึมพำ พุทธชาดรอมัจฉาอยู่ในห้องด้วยความเป็นห่วง เสียงเปิดประตูทำให้พุทธชาดดีใจลุกขึ้นไปหามัจฉาที่ห้องทันทีพร้อมกับให้กำลังใจมัจฉา
“ พี่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว ” พุทธชาดเดินไปหามัจฉาเอามือลูบหัวมัจฉาเบา ๆ มัจฉาพลิกตัวลุกขึ้นนั่งสวมกอดพุทธชาด
“ พี่รู้ว่ามัจอยากเรียน มัจต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียน พี่จะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้มัจเอง มัจฉาสัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะตั้งใจเรียนไม่เถลไถลออกนอกลู่นอกทางประพฤติตัวเป็นนักเรียนที่ดีเป็นน้องที่น่ารักของพี่ ”
“ พี่พุดไม่ต้องลำบาก ปัญหาแค่นี้มัจจัดการเองได้ ”
“ มัจจะเอาเงินที่ไหนมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนและค่าใช้จ่ายส่วนตัวจิปาถะอีกมากมายหรือว่ามัจจะกลับมาเรียนมัธยมปลายตามคำสั่งของป้า ”
“ นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่มัจคงมีความสุขในการใช้ชีวิตมากกว่านี้ คุณนายรักพี่พุดไม่เคยรักมัจ การกระทำของคุณนายทำให้มัจอดที่จะคิดไม่ได้ว่ามัจเป็นแค่เด็กเก็บมาเลี้ยง ”
“ ป้าคงเสียใจที่ได้ยินมัจพูดแบบนี้ ทำไมป้าจะไม่รักมัจละ ถ้าไม่อย่างนั้นป้าคงไม่เลี้ยงมัจมาจนโต ”
“ พี่พุดไม่ต้องมาปลอบใจมัจเลย หลานรักอย่างพี่ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของมัจได้หรอก ลองพี่มาเป็นมัจแล้วพี่จะเข้าใจ ” พุทธชาดเงียบ
“ ไอ้น้องรัก ดึกมากแล้วอาบน้ำแล้วนอนทำใจให้สบาย ส่วนเรื่องเรียนพี่จะช่วยพูดกับป้าแต่พี่ไม่กล้ารับปากว่าป้าจะยอมใจอ่อนยอมให้มัจเรียนหรือเปล่า พี่ไปนอนก่อนนะพรุ่งนี้มีสอบ ”
“ ครับผม ” มัจฉานอนหลับอยู่บนเตียงนึกถึงเรื่องราวในอดีตยิ่งนึกถึงยิ่งทำให้หัวใจต้องบอบช้ำ การกระทำของเพ็ญจันทร์เหมือนกับมีดที่คอยกรีดแทงหัวใจของมัจฉาให้มีรอยแผลยากที่จะลบเลือนออกจากความทรงจำ หยดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอาบทั้งสองแก้มปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดที่มีอยู่ภายในใจออกมา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกันจนมัจฉารำคาญรีบกดรับสายทันที
“ ไอ้ชล ! ” เสียงสะอื้นของมัจฉาทำให้ชลธีตกใจ
“ ไอ้มัจแกร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรแกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ ” มัจฉาเงียบยิ่งทำให้ชลธีร้อนใจ
“ อย่าเงียบสิ ฉันใจคอไม่ดีเลย ”
“ ไอ้ชล ! ฉันจะทำยังไงดี คุณนายบังคับให้ฉันเรียนมัธยมปลาย ฉันอยากเรียนสาขาวิชาประมง ”
“ ไม่เป็นไรปัญหาแค่นี้เอง แกรอให้ป้าเพ็ญอารมณ์เย็นลงแล้วลองเข้าไปคุยอีกรอบ คุยกันด้วยเหตุผลอย่าใช้อารมณ์ ป้าเพ็ญคงเข้าใจและยอมใจอ่อนยอมทำตามความต้องการของแก ”
“ เชื่อฉันสิ คุณนายไม่มีวันยอมให้ฉันไปเรียนเด็ดขาด คุณนายทำเหมือนกับฉันเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่คนที่สามารถตั้งโปรแกรมสั่งให้ทำโน้นทำนี้ตามใจชอบไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฉันเลย ”
“ ช่วงนี้แกมาอยู่บ้านฉันก่อนไหมสักหนึ่งเดือน พ่อกับแม่ของฉันไม่ว่าหรอก ท่านคงดีใจที่แกมาอยู่ด้วย ”
“ แกจะบ้าหรอ ฉันเป็นผู้หญิง แกเป็นผู้ชาย ฉันจะไปอยู่บ้านของแกในฐานะอะไร ”
“ ในฐานะเพื่อน ”
“ เพื่อนสาว ”
“ พูดเบา ๆ สิเดี๋ยวพ่อกับแม่ของฉันก็ได้ยินหรอก ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้ ฉันยังอยากใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกนาน พ่อของฉันเกลียดมากพวกเพศที่สามท่านคงทำใจยอมรับไม่ได้ถ้าหากรู้ว่าลูกชายคนเดียวเป็นเพศที่สาม ”
“ โทษทีวะฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย ”
“ แกมีอะไรให้ฉันช่วยบอกได้ทุกเรื่องเลยนะ เพื่อนคนนี้ยินดี ”
“ ไอ้ชลฉันรักแกวะ เราเป็นมากกว่ากันเพื่อนได้ไหม ฉันอยากให้แกมาเป็นคนรักของฉัน ”
“ วันนี้แกเป็นอะไรเมาน้ำตาจนเพี๊ยนไปแล้ว หยุดร้องไห้ได้แล้วเด็กน้อย ถ้ามันเหนื่อยมากนักอ้อมกอดของฉันยังว่างยังรอแกมาซบได้ทุกเวลาที่แกต้องการ ฉันพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างในทุก ๆ ช่วงชีวิตของแก ”
“ อ้อมกอดของแกมีไว้สำหรับไอ้ก้องคนเดียวต่างหากละไม่มีที่ว่างสำหรับฉันหรอก ”
“ ฉันมีที่ว่างสำหรับแกเสมอ ฉันรอให้แกมาซบอกของฉันรอวันที่แกพร้อม ”
“ ฉันพร้อมทุกวัน พรุ่งนี้ฉันจะไปซบอกและนอนหนุนตักของแกดีไหม ” ชลธียิ้ม
“ ดีสิ ”
“ พรุ่งนี้เจอกัน ” ตลาดสดในเช้าวันอาทิตย์เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่พากันมาเดินเลือกซื้อของภายในตลาดมัจฉาชวนเข้มกับเบิ้มมาซื้อส้มเขียวหวาน ในระหว่างที่ช่วยกันเลือกส้มเขียวหวานใส่ถุง โตกับเพชรเดินผ่านเข้ามาเห็นพอดี โตหยิบฝรั่งตรงแผงข้าง ๆ ขว้างใส่เบิ้มพร้อมกับทำหน้าเย้ยหยันด้วยความสะใจ เบิ้มขมวดคิ้วไม่พอใจพยามข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้โต้ตอบแต่ด้วยแรงยุของโตกับเพชรทำให้เบิ้มโกรธควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้
“ ไอ้โต ! ไอ้ชาติชั่วมึงเอาฝรั่งมาเขวี้ยงใส่หัวกูทำไมวะ ”
“ ไอ้ลูกขี้ครอก ไอ้ลูกกำพร้า ”
“ ไอ้โต ไอ้เพชร วันนี้วันพระกูไม่อยากทำร้ายสัตว์ พวกมึงสองตัวไสหัวออกไปไกล ๆ ก่อนที่กูจะหมดความอดทน ” มัจฉาพูดขึ้นด้วยความโมโห
“ มึงหุบปากไปเลยนี่มันเรื่องของกูกับไอ้เบิ้ม มึงไม่ต้องมาเสือก ”
“ ไอ้ลูกเมียน้อย ถึงกูจะเป็นเด็กกำพร้าแต่แม่ของกูไม่ได้เป็นเมียน้อยของใคร สถานะของมึงเป็นไปได้แค่ลูกเมียน้อยจะผ่านไปสักสิบชาติ มึงก็เป็นได้แค่ลูกเมียน้อย ไอ้ลูกเมียน้อย ” เบิ้มเน้นเสียง มัจฉาหัวเราะเสียงดัง
“ ไอ้ลูกเมียน้อย ” มัจฉาเดินเข้าไปกระซิบข้างหูตบบ่าของโตเบาๆ พร้อมกับยิ้มเย้ยหยันด้วยความสะใจ โตโกรธมากกำหมัดจะชกมัจฉา เบิ้มเห็นเข้าเสียก่อนกระโดดถีบโตล้มลงกับพื้น เพชรเห็นท่าไม่ดีเข้าไปช่วยโตเข้มไม่รอช้าเดินเข้าไปชกหน้าโตจนเลือดกลบปาก เหตุการณ์บานปลายไปกันใหญ่เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมให้กัน โตยังไม่หยุดคุกคามเบิ้มทางวาจา เบิ้มหมดความอดทนรัวหมัดใส่โตแต่พลาดท่าโดนเพรชจับตัวได้ โตได้โอกาสชกเบิ้มจนล้มลงกับพื้นพร้อมกับใช้เท้ากระทืบเบิ้ม มัจฉารีบเข้าไปช่วยเบิ้มทันทีกระโดดถีบโตรัวหมัดใส่โต เพรชเข้ามาช่วยแต่โดนเข้มขวางเอาไว้ แม่ค้าพยายามเข้ามาห้ามทั้งสองฝ่ายแต่ไม่เป็นผลทั้งหมดยังคงทะเลาะกันเหมือนเดิมไม่มีใครสนใจเสียงเรียกของแม่ค้า
“ อีทอมมึงกล้าดียังไงมาถีบกู วันนี้กูจะจับทอมอย่างมึงมาทำเมียให้ได้ ” โตโกรธมากเดินเข้าไปจับตัวแขนของมัจฉาเอาไว้ มัจฉาสะบัดมือของโตพร้อมกับเตะขาโตจนล้มพร้อมกับใช้เท้าเตะคางของโตเต็มแรงทำให้โตนอนแผ่หมดสภาพแผ่ราบกับพื้น
“ ไอ้ลูกหมา มึงมันเป็นได้แค่หมาขี้เรื้อนเน่า ๆ ตัวหนึ่ง ไอ้ลูกเมียน้อย ชีวิตของมึงไม่เคยมีค่าสำหรับใครแม้กระทั่งพ่อของมึง คนอย่างมึงไม่มีวันทำอะไรคนอย่างกูได้หรอก ” เพชรเข้าไปพยุงโต
“ ไอ้เพชรจัดการพวกมันให้สิ้นซาก อย่าให้พวกมันมีแรงเดินกลับบ้าน ”
“ ไอ้เข้ม ! ไอ้เบิ้ม ! แกสองคนรอเก็บศพไอ้พวกนี้สองตัวได้เลย วันนี้ฉันจะกระทืบไอ้สองตัวนี้ให้จมดินเอาเลือดมาล้างตีนไอ้เบิ้มให้หายแค้น ” มัจฉาไม่รอช้าวิ่งเข้าไปกระโดดถีบเพรชกระและโตกระเด็นไปคนละทางทั้งสองคนยืนขึ้นจะเข้ามาทำร้ายมัจฉาแต่ไม่สามารถทำให้มัจฉาได้รับบาดเจ็บมีเพียงแค่รอยฟกช้ำ
ทักษะการต่อสู้ของมัจฉาเหนือกว่าทั้งสองคน โตกับเพชรทั้งอายและแค้นใจที่ไม่สามารจัดการมัจฉาได้ตามที่พูด
“ อีนางทอม กูจะไปบอกครูเพ็ญจันทร์ให้จัดการมึง กูจะบอกว่ามึงกระทืบกู ดูสิว่าระหว่างมึงกับกูครูเพ็ญจันทร์จะเชื่อใคร ”
“ ขี้แพ้ชวนตี เชิญมึงเดินสี่ขาไปฟ้องเลย กูไม่กลัวหรอก บ้านกูอยู่ใกล้แค่นี้เอง แบร่ แบร่ แบร่ ” มัจฉาแลบลิ้นใส่โตกับเพชร การกระทำของมัจฉายิ่งทำให้ทั้งสองคนอายเป็นอย่างมากรีบวิ่งออกไปทันที อีกฝั่งของตลาดเป็นพื้นที่ขายของสดโดยเฉพาะ บริเวณนี้มีเฉพาะอาหารทะเลและพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เพ็ญจันทร์กับพุทธชาดกำลังช่วยกันเลือกช่อนสำหรับทำอาหารเย็นโตกับเพชรวิ่งมาทางนี้พอดีทำให้เจอกับเพ็ญจันทร์กับพุทธชาด โตยิ้มร้ายเดินเข้าไปเข้าใกล้ ๆ เพ็ญจันทร์แสร้งทำทีไปเลือกซื้อปลา
“ มึงเสร็จกูแน่ รอยแผลบนตัวของกูเป็นหลักฐานชั้นดีที่ใช้จัดการมึง ”
“ ป้าครับผมเอาปลาทับทิมสองตัวครับ ” แม่ค้าพยักหน้า
“ ไอ้โต ! ไอ้เพชร ! เอ็งสองคนไปกัดกับหมาที่ไหนมา สภาพดูไม่ได้เลย ”
“ ฉันสองคนโดนไอ้กระทืบมาสิป้า ”
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า วันนี้ทะเลาะเรื่องอะไรกันอีกละ ” เพ็ญจันทร์ได้ยินโตคุยกับแม่ค้าถึงกับหยุดชะงักพร้อมกับถอนหายใจรีบเดินไปหาโตกับเพชรทันที
“ ป้าขอตัวไปหาโตกับเพชรก่อนนะลูก ” พุทธชาดพยักหน้า โตกับเพชรเหลือบไปเห็นเพ็ญจันทร์กำลังเดินมาหาตนเองแกล้งทำทีกำลังเดินออกไปแต่เพ็ญจันทร์เรียกทั้งสองคนเอาไว้
“ โตกับเพชรอยู่คุยกับครูสิ ครูมีเรื่องจะคุยด้วย ” โตกับเพชรมองหน้ากันพร้อมกับยิ้มให้กันพร้อมกับหันหน้าไปคุยกับเพ็ญจันทร์
“ สวัสดีครับครู ” เพ็ญจันทร์พยักหน้า
“ เมื่อกี้ครูได้ยินเธอสองคนคุยกับแม่ค้าว่าถูกมัจทำร้ายใช่ไหม ”
“ แค่เรื่องเข้าใจผิดกันครับครู ” โตกับเพชรแสดงละครฟ้องเพ็ญจันทร์พร้อมกับเปิดบาดแผลให้เพ็ญจันทร์ดู
“ ครูพาไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดูว่าบาดเจ็บอะไรตรงไหนบ้าง แผลเต็มตัวเลย ครูต้องขอโทษแทนมัจด้วยนะลูก ”
“ ไม่เป็นไรครับครู พวกผมสองคนไม่ได้เป็นอะไรมากครับ มีแค่รอยฟกช้ำนิดหน่อยครับไปซื้อยามาทาก็หายแล้วครับ ”
“ แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ไปหาหมอดีไหมลูก ”
“ ขอบคุณมากครับครู ผมไปซื้อยามาทาจะสะดวกกว่าครับ ” เพ็ญจันทร์หยิบเงินยื่นให้โตกับเพชรทั้งสองคนแสร้งทำทีปฏิเสธไม่รับเงิน
“ ไม่เป็นไรครับครู ”
“ รับไว้เถอะ ครูต้องขอโทษเธอสองคนอีกครั้ง ขาดเหลือยังไงบอกครูด้วยละ ”
“ ขอบคุณมากครับครู ” คำบอกเล่าของโตกับเพชรทำให้เพ็ญจันทร์เข้าใจผิด พุทธชาดพยายามพูดให้เพ็ญจันทร์อารมณ์เย็นลงแต่ไม่สำเร็จ เพ็ญจันทร์โกรธและโมโหมัจฉามาก
“ กลับบ้านมาเมื่อไหร่มีเรื่องต้องคุยกันยาว ”
“ พุดคิดว่ามัจคงไม่ได้ตั้งใจทำร้ายโตกับเพชรคงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ปกติมัจไม่ชอบหาเรื่องใครโดยเฉพาะโตกับเพชรสองคนนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับมัจมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปรองดองกัน ”
“ พุดเลิกให้ท้ายน้องสักที ป้าเข้าใจว่าพุดรักน้องมากแต่ลูกก็ต้องสอนให้น้องเป็นคนดีไม่ใช่ทำตัวเป็นอันตพาลใช้กำลังตัดสินปัญหา คนประเภทนี้จัดอยู่ในจำพวกขยะสังคมสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนรังเกียจ ” ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊จุ่มเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่มัจฉา เข้มและเบิ้มชวนกันมากินเป็นประจำจนทั้งสามคนสนิทกับเจ๊จุ่ม
ร้านของเจ๊จุ่มมีทั้งก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ลาบ และเนื้อย่าง มัจฉา เข้มและเบิ้มนั่งรอนั่งรอชลธีอยู่ภายในร้าน ในระหว่างรอชลธี มัจฉาเดินเข้าไปยืนดูเจ๊จุ่มปรุงก๋วยเตี๋ยว ในขณะที่เข้มกับเบิ้มกำลังนั่งจดเมนูทั้งสองคนเป็นกังวลใจแทนมัจฉาสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพ็ญจันทร์คงโกรธมากถ้ารู้ว่ามัจฉามีเรื่องทะเลาะกับโตและเพชร
“ สูตรก๋วยเตี๋ยวของเจ๊เป็นสูตรดั้งเดิมที่ทำมากันหลายชั่วอายุคน น้ำชุปมีรสชาติอร่อยกลมกล่อมไปด้วยเครื่องเทศและความหวานจากกระดูก ก๋วยเตี๋ยวจะอร่อยหรือไม่อร่อยอยู่ที่น้ำชุป มัจสนใจไหมละเดี๋ยวเจ๊จดสูตรให้ไปลองทำ วันไหนว่างมาดูวิธีการทำร้าน เจ๊ไม่หวงสูตรให้มัจคนเดียวแต่คนอื่นเจ๊ไม่ให้ สูตรอันนี้เป็นความลับรู้กันเฉพาะคนในตระกูลเท่านั้น ”
“ ใส่ใบกัญชาสิเจ๊ขายดีทุกวันผสมน้ำกระท่อมอีกนิดหน่อยเทลงไปในหม้อน้ำชุปทีเดียวเลย ”
“ ทำแบบนี้ไม่ดี กัญชา กระท่อมกินเป็นสารเสพติด เจ๊ไม่ชอบ ”
“ เจ๊ไม่กลัวว่ามัจจะเอาสูตรลับของเจ๊ไปบอกคนอื่น ” เจ๊จุ่มยิ้ม
“ เจ๊เชื่อใจมัจ วันนี้มัจไปมีเรื่องกับไอ้โต ไอ้เพชรอีกแล้วหรอ คุณนายรู้เข้าเรื่องใหญ่เลยนะ ”
“ สองคนนั่นคงไปฟ้องคุณนายเรียบร้อยถนัดนะกับการใส่ร้ายคนอื่น คุณนายก็เชื่อสองคนนี่ตลอด มัจชินแล้ว ”
“ มาสามคนทำไมสั่งสี่ถ้วย ”
“ อีกถ้วยหนึ่งของไอ้ชล ”
“ เจ๊นึกออกแล้ว ไอ้หนุ่มคนนั้น หน้าตาน่ารักดีนะ ” มัจฉายิ้ม
“ น่ารัก นิสัยดีด้วยเสียดายนิสัยจุกจิกเหมือนกับผู้หญิง ” เจ๊จุ่มค่อย ๆ วางถ้วยก๋วยเตี๋ยวลงในถาด มัจฉายกถาดเดินไปที่โต๊ะ เข้มกับเบิ้มช่วยกันยกถ้วยเตี๋ยวออกจากถาด ชลธีเดินเข้ามาพร้อมทั้งหอบเอกสารและหนังสืออีกหลายเล่ม ทุกคนภายในร้านหันมามองด้วยความสงสัยพร้อมกับตั้งคำถามในใจผู้ชายคนนี้เป็นใคร เขามาที่นี้ทำไม หนังสือและเอกสารที่ถือมา เขาเอามาให้ใคร สภาพของชลธีในตอนนี้เหมือนกับคนเก็บของเก่า
“ แกเอาหนังสือไปชั่งกิโลขายหรอ ทำไมมันเยอะแยะแบบนี้ ”
“ ฉันเอามาให้แกอ่านเตรียมสอบ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะถึงวันสอบ ฉันสรุปเนื้อย่อไว้ให้แกหมดแล้ว ส่วนเนื้อหาในหนังสือ ฉันทำความหมายไว้ให้หมดแล้ว แกจะได้อ่านได้ง่าย ๆ ”
“ ฉันขอบใจแกมากนะแต่ฉันไม่ได้เรียนต่อมัธยมปลาย ฉันไปสมัครเรียนที่วิทยาลัยประมงเรียบร้อยแล้ว ”
“ แกหมายความว่ายังไง ในเมื่อป้าเพ็ญให้แกเรียนมัธยมปลายแล้วทำไมยังกล้าขัดคำสั่งไปสมัครเรียนปวช.สาขาประมงได้ละ ป้าเพ็ญรู้เรื่องนี้แล้วยัง ” มัจฉาส่ายหน้า
“ คนอย่างคุณหนูมัจฉานั้นหรอจะไปเรียนมัยธยมปลายไม่มีวันเสียหรอก พรุ่งนี้คุณหนูมัจไปรายงานที่วิทยาลัยประมง ” เข้มบอกกับชลธี ชลธีเงียบไปชั่วครู่ผิดหวังเล็กน้อยที่เขาไม่ได้เรียนที่เดียวกับมัจฉา
“ ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม ” มัจฉาพยักหน้า ชลธีทำหน้าตกใจ ”
“ แกคิดดีแล้วหรอที่ทำแบบนี้ เรียนมัธยมปลายแล้วค่อยไปสอบเข้าคณะประมงก็ได้นิไม่จำเป็นต้องเรียนตอนนี้ก็ได้ ”
“ ฉันอยากเรียนต่อระดับปวช.สาขาวิชาประมง ฉันไม่อยากเรียนต่อชั้นมัธยมปลาย ” ชลธีเงียบจนมุมในเหตุผลของมัจฉาแต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้พยายามโน้มนาวให้มัจฉาเปลี่ยนใจกลับมาเรียนต่อชั้นมัธยมปลายตามความต้องการของเพ็ญจันทร์