10 พฤติกรรมที่คนมักเข้าใจผิดว่าดีต่อสุขภาพ
หลายคนดูแลตนเองเป็นอย่างดี ตื่นนอนตรงเวลาทุกวัน รับประทานอาหารเช้าแสนอร่อย ไปยิมเป็นประจำเพื่อออกกำลังกายและออกกำลังกายหนักๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อทำให้เหงื่อออก พฤติกรรมเหล่านี้เป็นนิสัยที่เชื่อว่าเป็นการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ แต่จริงๆแล้วสิ่งที่เหล่านี้อาจกำลังทำลายสุขภาพของเขาอยู่ มาดูกันว่า10 พฤติกรรมที่คนมักเข้าใจผิดว่าดีต่อสุขภาพ มีอะไรบ้าง
- รับประทานอาหารเช้าแบบราชา
หลายๆ คนเชื่อว่าอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน และต้องทานอาหารมื้อใหญ่เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอ
เป็นความเข้าใจผิด เพราะเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ระบบย่อยอาหารของร่างกายมนุษย์ยังฟื้นฟูพลังชีวิตได้ไม่เต็มที่หากกินเยอะเกินไปและกินอาหารที่ไขมันมากเกินไปก็จะเพิ่มภาระให้กับระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องผูก และปัญหาอื่นๆ นอกจากนี้การรับประทานอาหารเช้ามากเกินไปยังส่งผลต่อความอยากอาหารและการรับประทานอาหารมื้อกลางวันและมื้อเย็น ทำให้เกิดความไม่สมดุลทางโภชนาการ ดังนั้นการรับประทานอาหารเช้าจึงควรทานในปริมาณที่พอเหมาะและถูกเวลา
แนวทางที่ถูกต้อง พลังงานที่ได้รับจากอาหารเช้าควรคิดเป็นประมาณ 20% ถึง 30% ของพลังงานทั้งหมดตลอดทั้งวัน เวลาที่เหมาะสมในการรับประทานอาหารเช้าคือภายในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากตื่นนอน เพื่อหลีกเลี่ยงการอดอาหารนานเกินไปหรือการรับประทานอาหารล่าช้าเกินไป เพราะบางคนอาจจะทานมื้อเที่ยงเป็นมื้อแรก อาหารที่ควรรับประทานในมื้อเช้าควรเลือกอาหารที่ย่อยง่าย มีโภชนาการที่สมดุล และมีรสชาติอ่อนๆเช่น ธัญพืช ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ไข่ นม ผลไม้ เป็นต้น
- ออกกำลังกายในตอนเช้า
บางคนคิดว่าตอนเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายเพราะอากาศในตอนเช้าสดชื่น ร่างกายเต็มไปด้วยพลังงาน เป็นผลดีต่อการออกกำลังกาย
เป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากมีออกซิเจนในอากาศน้อยในตอนเช้าโดยเฉพาะในป่าหรือในสภาพอากาศที่มีหมอกหนา การออกกำลังกายที่หนักมากอาจทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนและหายใจลำบากได้ นอกจากนี้อุณหภูมิยังต่ำในตอนเช้าและหลอดเลือดของมนุษย์อยู่ในภาวะหดตัว หากออกกำลังกายหนักกะทันหันจะไปกระตุ้นหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมอง และในตอนเช้าความหนืดของเลือดจะสูงจึงทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นได้ง่าย หากไม่มีการวอร์มอัพก่อนก็จะทำให้เกิดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้ง่าย
แนวทางที่ถูกต้อง เวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายคือภายในหนึ่งถึงสองชั่วโมงหลังอาหารเช้า หรือระหว่างสี่โมงถึงหกโมงในช่วงบ่ายเพราะในเวลานี้ การทำงานทางสรีรวิทยาของร่างกายมนุษย์อยู่ในระดับดีที่สุด และผลการออกกำลังกายก็ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ควรเลือกวิธีออกกำลังกายตามอายุ รูปร่าง สุขภาพ และเป้าหมายของแต่ละบุคคล เช่น ผู้สูงอายุควรเลือกออกกำลังกายเบาๆ
- ออกกำลังกายอย่างหนักสัปดาห์ละครั้ง
บางคนเชื่อว่าถ้าออกกำลังกายหนักๆ สัปดาห์ละครั้ง ก็สามารถบรรลุเป้าหมายของการออกกำลังกายได้
เป็นความเข้าใจผิด เพราะการออกกำลังกายหนักๆ สัปดาห์ละครั้ง ไม่สามารถทดแทนผลการออกกำลังกายของการออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ได้ ในทางกลับกัน จะทำให้ร่างกายรับภาระและแรงกดดันอย่างมาก ส่งผลให้การทำงานของหัวใจและปอดลดลง ภูมิคุ้มกันลดลง ปวดกล้ามเนื้อ และปัญหาอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นหากคนที่ไม่คุ้นเคยกับการออกกำลังกาย แล้วจู่ๆ ก็มาทำกิจกรรมทางกายที่มีความหนักหน่วง จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มขึ้น
แนวทางที่ถูกต้องสำหรับคนที่รักการออกกำลังกาย ควรเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไปและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แทนที่จะออกกำลังกายหนักๆ สัปดาห์ละครั้ง
- ไม่รับประทานผลไม้
บางคนคิดว่าผลไม้เป็นเพียงของว่างหรืออาหารที่เสริมวิตามินและไม่จำเป็นต้องรับประทาน
เป็นความเข้าใจผิด เพราะผลไม้ไม่เพียงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุเท่านั้น แต่ยังมีใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากอีกด้วย สารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาการทำงานทางสรีรวิทยาตามปกติของร่างกายมนุษย์ ป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ และชะลอความชรา นอกจากนี้ การทานผลไม้ยังช่วยทำให้อิ่ม ลดการบริโภคอาหารแคลอรี่สูงอื่นๆ และช่วยควบคุมน้ำหนักและน้ำตาลในเลือด
แนวทางที่ถูกต้อง คือ ควรทานผลไม้และทานให้หลากหลาย เพราะผลไม้แต่ละชนิดมีวิตามินและแร่ธาตุแตกต่างกัน
- นมและน้ำผึ้งเป็นของว่างยามดึกที่ดีที่สุด
บางคนเชื่อว่าการดื่มนมหรือน้ำน้ำผึ้งหนึ่งแก้วก่อนเข้านอนสามารถเสริมสารอาหารที่ร่างกายต้องการและช่วยให้หลับได้
เป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากทั้งนมและน้ำผึ้งมีแคลอรี่สูง หากรับประทานก่อนเข้านอนจะเพิ่มภาระต่อระบบทางเดินอาหารและส่งผลต่อการย่อยอาหารและการดูดซึม นอกจากนี้นมและน้ำผึ้งยังไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่งผลต่อนาฬิกาชีวภาพและความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย นมและน้ำผึ้งยังช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียในปาก ซึ่งอาจทำให้เกิดฟันผุและกลิ่นปากได้ง่าย
แนวทางที่ถูกต้อง คือ รับประทานของว่างตอนดึกให้น้อยลงหรือแทบไม่รับประทานเลย พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารภายในสองชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพกาย หากหิวจริงๆ สามารถเลือกอาหารที่เบาและย่อยง่าย เช่น ผลไม้ โยเกิร์ต ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่ควบคุมได้และไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี
6. กินวิตามินเม็ดให้มากขึ้น
บางคนเชื่อว่าวิตามินเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ การทานวิตามินแบบเม็ดมากขึ้นสามารถเสริมวิตามินที่ร่างกายขาดได้และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านทานความเหนื่อยล้า และช่วยในเรื่องความงามอีกด้วย
เป็นความเข้าใจผิด การได้รับวิตามินมากขึ้นก็ไม่ได้ดีเสมอไป การรับประทานวิตามินเม็ดมากเกินไปอาจทำให้เกิดพิษ หรือผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น การได้รับวิตามินเอมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ ผิวแห้ง รวมถึงแนวโน้มเลือดออก การทำงานของตับผิดปกติ เป็นต้น
แนวทางที่ถูกต้องคือ ควรได้รับวิตามินจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ตอบสนองความต้องการของร่างกายด้วยการรับประทานอาหารที่สมดุล เช่น รับประทานผักและผลไม้สด เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ฯลฯ ให้เพียงพอทุกวัน ก็จะได้รับวิตามินโดยไม่ต้องพึ่งวิตามินเม็ด สำหรับคนที่จำเป็นต้องทานวิตามินเม็ด ควรปรับปริมาณและเวลาในการรับประทานวิตามินตามอายุ เพศ สภาพร่างกาย ของแต่ละบุคคล และอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หากไม่มีความจำเป็นพิเศษ ห้ามรับประทานวิตามินเม็ดในขนาดที่สูงหรือทานติดต่อกันระยะยาว
- ดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อล้างพิษ
มีความเชื่อว่าน้ำเป็นตัวชำระล้างที่ดีที่สุดสำหรับร่างกายมนุษย์ การดื่มน้ำมากขึ้นสามารถขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้และยังสามารถนำไปใช้เพื่อประโยชน์ด้านความงามและการลดน้ำหนัก
เป็นความเข้าใจผิด น้ำไม่สามารถกำจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้โดยตรง สารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกเผาผลาญและขับออกโดยอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต และลำไส้ การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดพิษจากน้ำหรืออาการบวมน้ำ ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และหายใจลำบาก นอกจากนี้การดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้อิเล็กโทรไลต์และสารอาหารในเลือดเจือจางลง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานปกติของร่างกายมนุษย์
แนวทางที่ถูกต้องคือ ดื่มน้ำก่อนที่จะรู้สึกกระหายน้ำ และหลีกเลี่ยงการดื่มมากเกินไปหรือน้อยเกินไปในคราวเดียว ปริมาณน้ำในแต่ละวันควรอยู่ระหว่าง 1,500 มล. ถึง 2,000 มล. ควรเลือกแหล่งน้ำที่สะอาดและปลอดภัย รวมถึงใส่ใจกับอุณหภูมิและรสชาติของน้ำ หลีกเลี่ยงน้ำดื่มที่เย็นหรือร้อนเกินไป
- เวลานอนหลับควรนอนหงาย
หลายๆ คนเชื่อว่าท่านอนที่ดีในเวลานอนควรนอนหงาย เพื่อรักษาระดับร่างกายให้ผ่อนคลาย จะได้นอนหลับสบาย
เป็นความเข้าใจผิด การนอนหงายขณะนอนหลับอาจทำให้โคนลิ้นถอยไปปิดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับได้ นอกจากนี้การนอนหงายขณะนอนหลับจะทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน แน่นหน้าอก ไอ เจ็บคอ และอาการอื่นๆ
แนวทางที่ถูกต้องคือ การนอนหลับโดยการหนุนหมอนให้สูงขึ้น เพื่อให้ศีรษะและลำตัวส่วนบนสูงกว่าส่วนล่างประมาณ 10 ถึง 15 เซนติเมตร สิ่งนี้สามารถป้องกันไม่ให้โคนลิ้นปิดกั้นทางเดินหายใจ ป้องกันกรดไหลย้อน ปรับปรุงการหายใจและการย่อยอาหาร และลดแรงกดบนศีรษะและดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ควรยกหมอนสูงเกินไป ไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตและการนำกระแสประสาท
9.อาบน้ำร้อน
บางคนคิดว่าควรใช้น้ำร้อนในการอาบน้ำ เพื่อจะได้สามารถฆ่าเชื้อโรค ช่วยในการไหลเวียนโลหิต ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
เป็นความเข้าใจผิด การใช้น้ำร้อนในการอาบน้ำจะทำลายชั้นปกป้องตามธรรมชาติบนผิว ทำให้เกิดผิวแห้ง และแพ้ง่าย เพราะการใช้น้ำร้อนในการอาบน้ำยังช่วยกระตุ้นการเปิดรูขุมขน ทำให้ผิวไวต่อการบุกรุกของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก ทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการอักเสบของผิวหนัง นอกจากนี้การใช้น้ำร้อนในการอาบน้ำยังส่งผลต่อกลไกการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วยทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงหรือต่ำเกินไป ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ใจสั่น หนาวสั่น และอาการอื่นๆ
แนวทางที่ถูกต้องคือ ควรใช้น้ำอุ่นในการอาบ โดยให้อุณหภูมิของน้ำใกล้เคียงกับอุณหภูมิร่างกายปกติของร่างกายมนุษย์ โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 36 องศาเซลเซียส ถึง 38 องศาเซลเซียส ซึ่งช่วยทำความสะอาดพื้นผิวของสิ่งสกปรกและความมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็รักษาและปกป้องความชุ่มชื้นของชั้นผิวตามธรรมชาติไว้ นอกจากนี้น้ำอุ่นยังสามารถปรับสมดุลอุณหภูมิของร่างกายทำให้ร่างกายรู้สึกสบายและสดชื่น
- แปรงฟันแรงๆ
บางคนเชื่อว่าการแปรงฟันแรงๆ สามารถขจัดสิ่งสกปรกและคราบพลัคออกจากผิวฟันได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้ปากสะอาดและมีสุขภาพดี
เป็นความเข้าใจผิด การแปรงฟันแรงเกินไปสามารถทำลายเคลือบฟันบนผิวฟันและเหงือกได้ ส่งผลให้เกิดอาการเสียวฟัน ฟันผุ เลือดออกตามเหงือกและฟัน รวมถึงปัญหาอื่นๆในช่องปาก การแปรงฟันแรงเกินไปยังส่งผลต่อความสมดุลของกรดเบสภายในปาก ทำให้ไวต่อการโจมตีของแบคทีเรียและการกัดกร่อน นอกจากนี้ การใช้แรงมากเกินไปในการแปรงฟันจะทำให้ขนแปรงของแปรงสีฟันเสียรูป ส่งผลให้ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของการแปรงฟันลดลง
แนวทางที่ถูกต้องคือ แปรงฟันเบาๆ และสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละสองครั้ง ครั้งละมากกว่าสามนาที โดยทั่วไปความแรงควรจะเพียงพอที่จะงอขนแปรงของแปรงสีฟันเล็กน้อย และควรทำมุม 45 องศากับผิวฟัน วิธีนี้สามารถขจัดสิ่งสกปรกและคราบจุลินทรีย์ออกจากผิวฟันและซอกฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ปกป้องสุขภาพของฟันและเหงือกด้วย ลำดับการแปรงฟันควรเริ่มจากภายในสู่ภายนอก จากบนลงล่าง และจากซ้ายไปขวา