โรคกลัวสังคม แก้ยังไง
โรคกลัวสังคม (Social Anxiety Disorder) เป็นความผิดปกติทางจิตใจที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยจะมีอาการวิตกกังวลอย่างรุนแรงเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องพบปะกับผู้อื่น อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ใจเต้นเร็ว เหงื่อออก พูดติดขัด หน้าแดง รู้สึกคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปัสสาวะบ่อย ปวดท้อง รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หรือหมดสติ อาการเหล่านี้จะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างมาก เช่น หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน ปฏิเสธการเข้าสังคม มีปัญหาในการทำงานหรือการเรียน เป็นต้น
สาเหตุของโรคกลัวสังคม
สาเหตุของโรคกลัวสังคมยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ในวัยเด็ก เป็นต้น ผู้ป่วยที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกลัวสังคม มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เคยมีประสบการณ์ถูกกลั่นแกล้งหรือถูกปฏิเสธในวัยเด็ก ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้เช่นกัน
วิธีรักษาโรคกลัวสังคม
การรักษาโรคกลัวสังคมมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความต้องการของผู้ป่วย โดยทั่วไปจะแบ่งการรักษาออกเป็น 2 วิธีหลักๆ คือ
- การรักษาด้วยยา แพทย์อาจจ่ายยาต้านเศร้าหรือยาคลายความวิตกกังวลให้กับผู้ป่วย ยาเหล่านี้จะช่วยควบคุมอาการวิตกกังวลและช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
- การรักษาด้วยจิตบำบัด การรักษาด้วยจิตบำบัดเป็นวิธีหลักในการรักษาโรคกลัวสังคม การรักษาด้วยจิตบำบัดมีหลายรูปแบบ เช่น จิตบำบัดแบบปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) จิตบำบัดแบบยอมรับและมุ่งเน้นไปที่ปัจจุบัน (Acceptance and Commitment Therapy: ACT) เป็นต้น การรักษาด้วยจิตบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและจัดการกับความคิดและความรู้สึกเชิงลบที่เป็นต้นเหตุของความวิตกกังวล
วิธีดูแลตนเองเบื้องต้น
สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวสังคมที่มีอาการไม่รุนแรง อาจลองดูแลตนเองเบื้องต้นด้วยวิธีต่อไปนี้
- ฝึกผ่อนคลาย การฝึกผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ การเกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
- เตรียมตัวก่อนเข้าสังคม การเตรียมตัวก่อนเข้าสังคม เช่น หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่และผู้คนที่จะพบเจอ จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
- ค่อยๆ เผชิญกับสถานการณ์ที่กลัว การค่อยๆ เผชิญกับสถานการณ์ที่กลัว จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจมากขึ้นและลดความวิตกกังวลลง
หากผู้ป่วยมีอาการของโรคกลัวสังคมที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรไปพบแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม