เปิดทำเลอันตราย ‘บ้าน-คอนโด’ ใช้เวลาขาย 30-78 เดือน
ตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทส่งสัญญาณซัพพลายมีสะสมมากขึ้น ประกอบกับมีปัญหารีเจกต์เรต(ถูกปฎิเสธสินเชื่อ)สูง ผลสำรวจภาพรวมอาคารชุดและบ้านจัดสรรราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ในไตรมาส 3 ปี 2566 มียอดขายต่ำกว่าปี 2565 ทุกไตรมาส โดยไตรมาส 3 ลดลง 7.4% หน่วยเหลือขายสะสมเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส สิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 49,433 หน่วย เพิ่มขึ้น 27.5% มูลค่า 110,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.5%
-
คอนโด ทำเลที่ต้องระมัดระวัง ได้แก่
- เมืองนนทบุรี ปากเกร็ด เหลือขาย 6,220 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 30 เดือน
- พระโขนง บางนา สวนหลวง ประเวศ เหลือขาย 5,929 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 32 เดือน
- ธนบุรี คลองสาน บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ บางพลัด เหลือขาย 5,044 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 48 เดือน
- เมืองสมุทรปราการ พระประแดง พระสมุทรเจดีย์ เหลือขาย 4,175 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 31 เดือน
- ลำลูกกา ธัญบุรี เหลือขาย 3,653 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 44 เดือน
- บ้านจัดสรร ทำเลที่ต้องระมัดระวัง
- คลองหลวง หนองเสือ เหลือขาย 7,739 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 78 เดือน
- ลำลูกกา ธัญบุรี เหลือขาย 6,493 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 61 เดือน
- บางใหญ่ บางบัวทอง บางกรวย ไทรน้อย เหลือขาย 5,459 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 50 เดือน
- บางพลี บางบ่อ บางเสาธง เหลือขาย 5,455 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 25 เดือน
- เมืองปทุมธานีลาดหลุมแก้ว สามโคกหน่วย เหลือขาย 5,929 หน่วย คาดใช้เวลาขาย 45 เดือน
สาเหตุที่ตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทมีสัญญาณไม่ดี ได้แก่
- เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อลดลง
- ดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ภาระการผ่อนชำระสูงขึ้น
- ปัญหาการกู้ไม่ผ่านสินเชื่อจากธนาคารสูงขึ้น
บทวิเคราะห์
จากข้อมูลข้างต้น พบว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทกำลังเผชิญกับปัญหาสต๊อกเหลือขายสะสมมากขึ้น ประกอบกับปัญหาการกู้ไม่ผ่านสินเชื่อจากธนาคารสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะชะลอตัวของตลาดในภาพรวมได้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาดังกล่าว
- เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อลดลง ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
- ดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ภาระการผ่อนชำระสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
- ปัญหาการกู้ไม่ผ่านสินเชื่อจากธนาคารสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ควรพิจารณาปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยอาจเน้นไปที่การลดต้นทุนการก่อสร้างเพื่อลดราคาขาย หรือเน้นไปที่การนำเสนอโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่ดึงดูดใจผู้บริโภคมากขึ้น