เวียดนามตอนจบ:สั่งลาเวียดนาม
คืนสุดท้ายที่เวียดนามทิ้งเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็กน้อยให้จดจำก่อนลา ระหว่างจัดกระเป๋าใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วในกระเป๋าให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด “พรึ่บ!” ไฟดับ มืดสนิท...สนิทจริงๆ รอให้สายตาปรับกับความมืดนานแค่ไหน ภาพที่รับได้ก็ไม่ได้สว่างขึ้นสักเท่าใด รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ตั้งสติได้ก็พยายามควานหาไฟฉายที่เตรียมมาด้วย จิตเริ่มกระเจิง ตะเหลิดนึกไปถึงสิ่งเหนือธรรมชาติที่มักมาพร้อมกับความมืด “จะคิดทำไมล่ะเนี่ย?” ไฟดับก็แย่อยู่แล้ว ตัวเราเองยังจะทำให้แย่ไปกันใหญ่อีก กำลังด่าทอตัวเองชุดใหญ่ แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น! ทำอย่างไรดีล่ะทีนี้? มืดตึ๊ดตื๋ออย่างนี้ ใครจะกล้าเสี่ยงไปเปิดประตูรับความไม่แน่นอนว่าจะได้เจออะไร และไม่แน่อีกว่าเคาะด้วยความประสงค์ดีหรือร้ายกันแน่ เสียงพนักงานโรงแรมตะโกนเข้ามาว่าไฟดับ ฉันต้องการความช่วยเหลืออย่างไรมั๊ย? เลือกเสี่ยงลุ้นกับสิ่งที่จะได้เจอในความมืดมิดในห้องนี้ดีกว่า ไม่มีอะไรรับประกันถึงความปลอดภัยและความจริงใจของเจ้าของเสียงพนักงานชายหนุ่มนอกห้องนั้นได้ ฉันจึงตอบไปว่า ฉันมีไฟฉายและกำลังจะเข้านอนแล้ว ไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไร เสียงนอกห้องเงียบหายไป
นั่งเก็บของต่อด้วยแสงไฟฉาย เรียกความกล้าหาญทั้งหมดที่มีอยู่มาต่อสู้กับความมืดรอบตัว ก่อนข่มตาหลับไปกับไฟฉายในมือที่กำแน่น พยายามบอกตัวเองให้หลับอย่างเป็นสุขในคืนสุดท้ายนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าแสงตะวันก็มาให้แสงสว่างเหมือนทุกวันแล้ว...
เช้าวันสุดท้าย แวะไปลาน้องไบค์ตัวอ้วนพร้อมกาแฟหอมฉุย อุดหนุนซื้อกาแฟเป็นของฝากชาวไทยกล่องใหญ่ แอบสวมกอดน้องไบค์แน่นทีนึงพร้อมส่งเสียงหัวเราะจั๊กกะจี้เมื่อถูกฉันสวมกอด แกยืนมองฉันเดินจากไปและโบกมือให้จนสุดมุมถนน
มองผู้คนรอบข้างที่เดินผ่านมาสองข้างทาง ทุกอย่างยังคงดำเนินไปเช่นเดียวกับที่เห็นในวันแรกๆ แต่ตอนนี้ รู้สึกคุ้นเคยกว่ามาก หนักแน่นในแต่ละก้าวที่เหยียบลงไปมากขึ้น ก้าวแรกที่เหยียบเวียดนามในการมาเยือนคราวหน้า คงหนักแน่นกว่าก้าวแรกในการมาเยือนครั้งแรกในคราวนี้แน่ และคราวต่อๆไปคงหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดีทำให้เกิดการเรียนรู้ และการเรียนรู้ทำให้เกิดการสร้างเหตุผลตั้งรับสถานการณ์ต่างๆอย่างชาญฉลาดเกิดเป็นความมั่นใจ กลายเป็นความหนักแน่นในแต่ละย่างก้าวที่ก้าวขาออกเดินทาง ทริปนี้สร้างก้าวที่หนักแน่นให้กับฉันมากขึ้น สร้างสายตาที่มองโลกนี้ได้ลุ่มลึกขึ้น ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับระบบความคิดพื้นฐานและประสบการณ์ชีวิตที่สะสมมาของแต่ละคน...
แล้วก้าวที่หนักแน่นของฉันก็พาตัวเองขึ้นรถเมล์หมายเลข 17 แล่นเคียงคู่กับพาหนะชนิดอื่นโดยมีจักรยานยนต์เป็นผู้ครองท้องถนนหลักเช่นเดิม มุ่งสู่สนามบินนอยไบ ภาพเมืองฮานอยสองข้างถนนที่มองเห็นจากรถเมล์ จนมาถึงภาพเมืองฮานอยนอกหน้าต่างจากเครื่องบิน เป็นภาพสุดท้ายที่เพิ่มเข้าไปในความทรงจำที่ได้รับมาตั้งแต่วันแรก มันไม่ใช่แค่ภาพประทับใจเท่านั้น แต่แต่ละภาพมีเรื่องราว ความรู้สึก และความหมายน่าจดจำมากมาย
เครื่องบินเคลื่อนตัวและค่อยๆทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในที่สุด ทิ้งที่มาของภาพประทับใจเหล่านั้นให้ห่างออกไปเรื่อยๆ...
ยังไม่ทันจะพ้นจากน่านฟ้าประเทศเวียดนาม ในใจกลับเริ่มวางแผนว่า มาเวียดนามคราวหน้าต้องเตรียมเอาอะไรมาบ้างซะแล้ว!
*ขอขอบคุณที่ติดตามอ่าน พบกันโอกาสต่อไป
*ติดตามเรื่องราวทริปและงานเขียนอื่นได้ที่ https://tenlavenders.blogspot.com/
และเว็บไซต์ส่วนตัว https://tenlavenders.softr.app/