ธุรกิจเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 13.53% ในเดือนตุลาคม 2566
ธุรกิจเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 13.53% ในเดือนตุลาคม 2566
ขอบคุณภาพ https://www.illinois.gov
ตามรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าในเดือนตุลาคม 2566 มีธุรกิจเลิกกิจการจำนวน 2,240 ราย เพิ่มขึ้น 13.53% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกกิจการอยู่ที่ 8,954.24 ล้านบาท
ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
- ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 185 ราย คิดเป็น 8.27%
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 136 ราย คิดเป็น 6.08%
- ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 69 ราย คิดเป็น 3.08%
สาเหตุที่ธุรกิจเลิกกิจการเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม 2566 นั้น มาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่
- ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง
- ต้นทุนการผลิตและต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น
- การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค
สำหรับแนวโน้มการเลิกกิจการของธุรกิจในประเทศไทยในช่วงที่เหลือของปี 2566 คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นยังคงมีอยู่ และยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจบางประเภทที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และร้านอาหาร คาดว่าจะยังคงมีแนวโน้มการเลิกกิจการลดลง เนื่องจากการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวขึ้น
ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้แนะนำแนวทางให้ผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาด้านการเงินหรือการดำเนินธุรกิจ สามารถยื่นขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เช่น สถาบันการเงินของรัฐ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก (สพภ.) เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาและช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้
ธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,647 ราย ในเดือนตุลาคม 2566
นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม 2566 ยังมีธุรกิจจัดตั้งใหม่จำนวน 6,647 ราย เพิ่มขึ้น 12.45% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่อยู่ที่ 27,210.97 ล้านบาท
ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 567 ราย คิดเป็น 8.53%
- ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 498 ราย คิดเป็น 7.49%
- ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 331 ราย คิดเป็น 4.98%
จากข้อมูลดังกล่าว พบว่าธุรกิจจัดตั้งใหม่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 77.84% ของจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยธุรกิจขนาดเล็กมักมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำและมีโอกาสเติบโตสูง
นอกจากนี้ ธุรกิจจัดตั้งใหม่ส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูงและได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่
จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้น พบว่าธุรกิจในประเทศไทยในเดือนตุลาคม 2566 มีแนวโน้มการเลิกกิจการเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากปัจจัยลบต่างๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ต้นทุนการผลิตและต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ธุรกิจบางประเภทที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และร้านอาหาร คาดว่าจะยังคงมีแนวโน้มการเลิกกิจการลดลง เนื่องจากการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวขึ้น
สำหรับธุรกิจที่อยู่ระหว่างการจัดตั้งใหม่ พบว่าส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 1 ล้านบาท และกระจุกตัวอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง
ที่มาของข้อมูลทั้งหมดที่นำมาใช้ในการเขียนกระทู้นี้ มาจากรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคลในประเทศไทยเป็นประจำทุกเดือน โดยรายงานดังกล่าวสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
นอกจากนี้ ผมยังได้ใช้ข้อมูลอื่นๆ จากแหล่งต่างๆ เพิ่มเติม เช่น เว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เว็บไซต์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเว็บไซต์ของสำนักข่าวต่างๆ เพื่อเสริมสร้างข้อมูลและเนื้อหาของกระทู้ให้ครบถ้วนและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น