หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

[นิยายสั้น] ภารกิจดูแลหัวใจ นายตัวแสบ

โพสท์โดย neptheduck

ความผิดหวัง...

บางครั้งมันก็มาเยือนโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว

ทั้งที่คิดว่าตัวเองคือคนที่ใช่มาโดยตลอด

.

.

แต่ความจริงแล้ว  ก็เป็นแค่เจ้าทึ่ม

ที่คิดเองเออเองคนเดียวเท่านั้น

 

(เอริส)

รักเริ่มที่เจ็บปวด... คือคำนิยามของผมในตอนนี้

 

        "กินข้าวสักหน่อยเถอะ  วันนี้มีถ่ายแบบทั้งวันนะ"

        แต่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลส้มกลับส่ายหน้า  ขณะที่ช่างกำลังทำผมให้เขา

        "ปักกิ่งเป็นไงบ้าง  ที่นั่นหิมะตกหรือยัง?"

        "ก็ดี"

        .

        .

        "แต่... หนาวไปหน่อย"

        เขาไม่ได้บอกผู้ช่วยของตน  เรื่องที่ต่อเครื่องไปฮ่องกงเพื่อไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง  นั้นก็คือ 'หวัง จื่อหลิน'  ผู้หญิงที่เขาถูกชะตาด้วยตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตา  และไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสพบเธออีกครั้ง  ในอีกหลายปีให้หลังจนเขาปักธงไว้ว่าเธอนี่แหละคือพรหมลิขิตของเขา 

        โดยหวังว่าการไปพบกันครั้งนี้เธอจะดีใจ  และตอบรับความรู้สึกของเขา

 

        แต่เปล่าเลย...

        ตลอดเวลาเกือบครึ่งปีที่เขาเฝ้าส่งข่าว  ถามไถ่และห่วงใย  แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาก็คือความเป็น 'เพื่อน'

        เพราะว่าเธอนั้นมีใจรักให้กับ 'หยางอี้ฟง'  มาตั้งแต่แรกแล้ว  เธอรักเขามากจนไม่เหลือพื้นที่ว่างในหัวใจให้ใครอีกเลย

        "เดือนหน้าตารางแน่นมาก  นึกว่าสปอนเซอร์จะถอนตัวซะอีกที่ไหนได้ชอบข่าวแบบนี้ก็ไม่บอก"

        "ไม่ใช่เรื่องมาพูดเล่นนะครับ"

        "นี่  อย่าหงุดหงิดไป  พวกนายทั้งสองเป็นคนดังก็ต้องถูกจับตามองอยู่แล้ว  นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนหรอกนะ"

        ผู้ช่วยยังคงพูดเจื้อยแจ้วในขณะที่เขาหยิบหูฟังขึ้นมาอุดหูของตน

        "ถ้าเป็นคนอื่น  มีเรื่องแบบนี้อนาคตอาจดับได้ง่ายๆ เลยนะ  หลังจากนี้ก็ระวังตัวไว้หน่อยแลวกัน"

 

        เขาพยักหน้า  หลังจากนี้มันคงไม่มีอีกแล้วล่ะ  ถึงแม้จะบอกเธอว่าจะกลับไปเมื่อหยางฟงทำให้เธอเสียใจ  แต่ลึกแล้วเขารู้ดีว่าคนอย่างหยางฟงซื่อสัตย์  และจริงจังมากขนาดไหน  ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตามโดยเฉพาะเรื่องละเอียดอ่อนอย่างเรื่อง 'ความรัก'

 

        'แต่จะทำยังไงถึงลืมเธอได้...'

        .

        .

        'อยากจะลืมอ้อมกอดนั้น'

 

        "เราจะจ้างเมเนเจอร์เพิ่มดีไหม?"

 

        'ลืมรอยยิ้ม'

 

        "พวกเราต้องการทีมงานเพิ่ม  นายคิดว่าไง?"

        "ก็ดีครับ"

        

        'ถ้ามันจะทำให้ฉัน...'

        'ลืมจูบของผู้หญิงคนนั้น'

        .

        .

        'อะไรก็ได้ทั้งนั้น'

 

        5 วันต่อมา

        "จะบ้าเหรอ!?"

        ผู้ช่วยร้องเสียงหลง  เมื่อเห็นข้อความคุณสมบัติของผู้ช่วยที่เอริสส่งมาให้  ซึ่งก็เป็นข้อกำหนดทั่วไปในการทำงาน  แต่สิ่งที่เขาแนบมาด้วยนั้นคือรูปของหญิงสาวผู้หนึ่ง

        "หวัง จื่อหลินเนี่ยนะ!!!?"

        "ไม่ได้ก็ไม่เอาครับ"

        "นายนี่มัน!!"

        เธอไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบ่นผู้ชายคนนี้  นอกจากจะชอบสร้างปัญหาให้ค่ายปวดหัว  แล้วยังเอาแต่ใจด้วยการส่งรูปภาพของศิลปินหญิง  ที่เพิ่งมีข่าวด้วยกันมาให้อีก 

 

        ...เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ!?

 

        "ไม่ต้องมีก็ได้  ผมไม่แคร์หรอก"

        "ไม่มีไม่ได้  นายช่วยเห็นใจลีอาที่กำลังท้องอยู่ไม่ได้หรือไง!!!"

        "ลีอา...ท้อง?"

        "ก็ใช่น่ะสิ  เราถึงต้องหาคนมาแทนเธอระหว่างนี้"

        สีหน้าของเอริสเต็มไปด้วยความสับสน  ในหัวของเขามีแต่เรื่องของลีอาเต็มไปหมด 

 

        แต่ความเงียบของเอริส  ทำให้ผู้ช่วยคิดว่าเขายังคงยืนกรานดื้อรั้น  จึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ

        "ก็ได้...ถ้านายอยากได้หน้าตาเหมือนผู้หญิงคนนี้จริงๆ  ฉันจะพยายามหามาให้แล้วกัน"

        "ครับ!?"

        "ตกลงเอาแบบนี้เลยนะ!?"

 

        ผู้ช่วยของเขาพูดตัดบทและเดินออกจากห้องพักไป  เอริสเอนกายลงบนเตียง  ทั้งที่ยังสวมเชิ้ตสีขาวตัวเดิมกับที่ใส่ถ่ายแบบวันนี้  โดยที่ยังคงมีแต่เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง  ตามวนเวียนในหัวไม่หยุด

 

        'ลีอา' เมเนเจอร์ที่อยู่กับเขามาตลอด 4 ปี  เธอเป็นผู้หญิงขี้โรคตัวเล็กที่เพิ่งเลิกกับแฟน  แต่ดันต้องมาอุ้มท้องกับผู้ชายไร้สามัญสำนึกแบบนั้น

 

        ทำไมถึงได้โชคร้ายแบบนี้นะ...

 

        "คงไม่มีใครโชคร้ายกว่าฉันแล้วล่ะ"

        "ยังหาไม่ได้อีกเหรอ  นี่มันก็เกือบอาทิตย์แล้วนะ  อีกสามวันก็ต้องเปิดกล้องแล้วเขาจะไม่ได้กลับโซลไปอีกเป็นเดือนเลยนะ"

        "อย่ากดดันสิ  ฉันก็กำลังหาทางออกอยู่"

        "ต้องติดประกาศแล้วล่ะ  ฉันพอจะรู้จักรุ่นน้องที่เรียนมหาลัยหลายที่  เผื่อพวกเขาสนใจอยากฝึกงานที่นี่"

        "จริงด้วย  ขอบใจมาก!!!"

        ลีอาไม่รอช้ารีบติดต่อคนรู้จัก  เพื่อกระจายข่าวนี้ออกไปตามสถาบันการศึกษาต่างๆ  และแน่นอนว่าภายในบ่ายวันนั้น  เด็กจากมหาลัยทั่วทั้งโซลที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไข  และใบหน้าคล้ายคลึงกับศิลปินดังจากแดนมังกร  ก็มาขอยื่นเอกสารสมัครเป็นเมเนเจอร์ฝึกหัดกันมืดฟ้ามัวดิน

        "เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!!!!"

        "แล้วดูพวกเขาสิ  หน้าไทป์เดียวกันหมดเลือกยากจัง"

        "ไม่เหมือนกันซะทีเดียว  ดูอย่างคนนี้กับคนนี้สิเห็นไหม?... นี่ก็ด้วย"

        ในตอนนี้ทีมงานสตูของเอริสกว่า 4 ชีวิตกำลังนั่งคัดเลือกใบสมัครนับร้อยจนกระทั่งเหลือเพียง 6 ใบ  

        "เอาคนนี้ออก  คนนี้ก็ด้วย"

        ผู้ช่วยยุนอาหยิบใบสมัครออกอีกสามใบ  ในตอนนี้ใบหน้าของทุกคนจริงจังกว่าตอนคัดเลือกนักแสดง  ที่จะมาเล่นใน MV ของเอริสเสียอีก

        "ฉันจะเอาใบสมัครของสามคนนี้ไปให้เขาเลือก"

        ยุนอาหอบกระดาษออกจากห้องประชุม  ในขณะที่คนอื่นๆ  ถึงกับฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความอ่อนล้า

        "พวกเราคัดมาให้แล้วจาก 152 คนทั่วโซล"

        เอริสที่กำลังนอนเล่นเกมโทรศัพท์อยู่บนโซฟา  ถึงกับดีดตัวลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น  เขากวาดสายตามองภาพของเด็กสาวผมซอยสั้นทั้งสามด้วยแววตาเป็นประกาย

        "ขอสามไม่ได้เหรอ?"

        "มากไป!!!"

        ใบหน้าจิ้มลิ้มเหล่านั้นถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนจื่อหลินเสียทีเดียว  แต่ก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูตามประสาเด็กนักศึกษา  จนทำให้เขายากที่จะเลือกเพียงแค่ใครคนหนึ่ง

        แต่สุดท้ายก็ไปสะดุดตาเข้ากับหญิงสาวริมขวาสุด  จนถึงขั้นหยิบมาส่องดูรูปใกล้ๆ

 

        "ผมเลือกคนนี้"

 

        'คิม มีซอล'

 

        เอริสดึงรูปของเธอเก็บไว้ในกระเป๋าเงิน  ถึงแม้ว่าความหล่อเท่ของเธอจะไม่เท่าจื่อหลิน  แต่ความน่ารักนั้นจัดว่าไม่ธรรมดา  แม้แต่รูปภาพแบนๆ  ก็ไม่อาจซ่อนมันให้รอดพ้นจากสายตาของเขาได้

 

        'ไหนบอกว่าอยากลืมเธอไงวะ...'

        'นี่มันยิ่งตอกย้ำเข้าไปกันใหญ่!?'

        .

        . 

        'แต่จะทำยังไงได้  ก็มันพลั้งมือไปแล้ว'

 

        ความจริงแล้ว... ที่เขาส่งรูปของจื่อหลินไปให้ผู้ช่วย  ก็เพราะว่าต้องการปัดรำคาญ   เพราะเขาไม่อยากได้ทีมงานเพิ่มเลยสักนิด 

        และการทำงานกับคนกลุ่มใหญ่  ก็ง่ายต่อการตกเป็นเป้าสายตา    เวลาจะขยับตัวไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก  ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีผู้ช่วยแค่คนเดียวด้วยซ้ำไป 

 

        เหมือนกับตอนนั้น...

        ตอนที่เขาสามารถบินไปไหน  หรือเที่ยวเล่นพักผ่อนได้อย่างสบายใจ

 

        [...อย่าอยากเป็นแบบฉันเลย...มันไม่สนุกหรอก...]

 

        จนกระทั่งตอนนี้  เขาถึงได้เข้าใจความหมายในคำพูดของหยางฟงจริงๆ  ชื่อเสียงอันโด่งดังที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ขึ้น  มันเป็นแบบนี้เอง

 

        และที่สำคัญ ...เขาไม่นึกเลยว่าจะมีคนหน้าตาคล้ายกับจื่อหลินอยู่ที่โซลด้วย  จนกระทั่งมาเห็นใบสมัครทั้ง 3  แต่ในเมื่อทุกอย่างมันได้ถูกกำหนดไว้แล้ว  ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปและไม่คิดจะฝืนชะตาตัวเอง

 

        'ในเมื่อมีโอกาสอีกครั้ง  ทำไมฉันจะปล่อยมันให้หลุดมือไปล่ะ?'

        .

        . 

        'และผู้หญิงคนนี้...'

        'ก็อาจจะทำให้ฉันลืมเธอก็ได้นะ...จื่อหลิน'

 

        'ตัวแทน'  คงไม่ใช่คำที่น่าพิสมัยสำหรับผู้ฟังเท่าไหร่นัก  แต่นั่นแหละคือสิ่งที่คนอย่างเขาคิดว่า  มันอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้ตัวเองหลุดพ้น  จากความเศร้าหมองและสามารถก้าวเดินต่อไปได้

 

        และการรอคอยของเขาก็สิ้นสุดลง  เมื่อได้เจอตัวจริงของเธอ...

        ใบหน้าใสที่ดื้อรั้นแต่ก็ดูน่ารักจิ้มลิ้มเหลือเกิน  จนทำให้ผู้ชายที่อ่อนไหวง่ายอย่างเขาถึงกับกุมอก  รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังถูกแววตากลมคู่นั้นหลอมละลายอย่างช้าๆ

 

        'นะ ...น่ารัก'

 

        "นี่คือคุณฮาน ซึงรี  เป็นศิลปินเดี่ยวในสังกัดของพวกเรา  และนี่ก็คือเด็กฝึกงานปี 4 ชื่อ คิมมีซอล"

        ผู้ช่วยยุนอาเอ่ยแนะนำตัวทั้งสอง  แต่ดูเหมือนว่าเสียงเหล่านั้นได้ทะลุผ่านไปราวอากาศ  และสมองของเขาไม่สามารถดักมันเอาไว้ได้  เพราะในตอนนี้ชายหนุ่มได้ตกลงไปอยู่ในภวังค์  ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเด็กสาวตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

 

        'น่ารักกว่าในรูปอีก!!?'

 

        "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"

        เพียงแค่คำทักทายแรกของเธอ  ก็ทำเอาเขากะพริบตาปริบๆ  เพราะเสียงหวานที่เปล่งออกมานั้นมีความแหบห้าวเล็กๆ  ซึ่งเป็นคนละโทนเสียงกับเขาอย่างสิ้นเชิง  และยัง...ไม่ใกล้เคียงกับเสียงหวานนุ่มของจื่อหลินเลยแม้แต่น้อย

 

        แต่ช่างเถอะ...

        ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาคิดหยุมหยิม

 

        "อ่านคำชี้แจงในใบสมัครเรียบร้อยทุกข้อ  อย่างละเอียดแล้วใช่ไหมคุณคิม"

        "ค่ะ  เรียกฉันมีซอลก็ได้"

        เด็กสาวฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาคู่น้อยของเธอหยีเล็ก  และดูสดใสจนดูเหมือนมีกลิตเตอร์สีรุ้งพร่างพราวออกมารอบๆตัวของเธอ

 

        เอริสที่กำลังจ้องมองมีซอลอยู่ตลอดเวลา  ถึงกับยกมือขึ้นกุมอกอย่างลืมตัวอีกครั้ง  อยู่ๆ คนแข็งแรงและบ้าพลังแบบเขา  ก็คล้ายว่าจะเป็นโรคหัวใจขึ้นมากะทันหัน

 

        'บ้าเอ้ย...'

        'ใจฉัน  มันกำลังเต้นแรงไม่หยุดเลย!!'

 

        ถึงแม้ว่าจะร่วมงานกับศิลปินหญิงน่ารักมากมาย  แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาเสียอาการมากขนาดนี้ 

 

        'หรือว่านี่มัน...จะเป็นพรหมลิขิต!?'

 

        "ใช่ไหมเอริส?"

        "ฮะ?"

        "นั่นไงฉันว่าแล้ว  นายต้องไม่สนใจที่ฉันพูด!"

        "สนใจสิ!!"

        "นี่มีซอล  ถ้าหมอนี่พูดจาหรือทำอะไรแปลกๆก็อย่าไปถือสาเขาล่ะ  คิดเสียว่าทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน"

        คำพูดเหล่านั้นทำให้มีซอลถึงกับขมวดคิ้ว  และมองชายตรงหน้าด้วยแววตาหวาดหวั่น  จนกระทั่งยุนอาขอตัวออกจากห้องนี้ไป  เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น

        "มานั่งนี่สิ"

        เขาตบที่ว่างข้างตัวและเชื้อเชิญให้เธอนั่ง  แต่มีซอลกลับเลือกที่นั่งฝั่งตรงข้าม  โดยมีโต๊ะรับแขกคั่นกลางไว้

        ท่าทีเหนียมอายและรู้จักวางตัวของเธอ  ทำให้เอริสถึงกับคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

        "จะมาเป็นเมเนเจอร์ของฉัน... แล้วรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร?"

        เอริสกอดอกนั่งเอนหลังมองดูเด็กสาว  ที่กำลังยิ้มด้วยแก้มที่ขึ้นสีแดงจัดด้วยความเขิน

 

        ก็แน่ล่ะสิ...

        ศิลปินที่เพิ่งกวาดรางวัลนักเขียนเพลงยอดเยี่ยม  และกำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้  แถมยังมีข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์อีก

        ไม่มีใครที่จะ..

 

        "ไม่รู้จักค่ะ"

        "!!?"

 

        เปรี๊ยะ!!!

        "แล้วก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นดารา  หรือนักร้องด้วย"

  

        เพล้งงงงง!!!!

        เศษใบหน้าของเขาที่แบกความมั่นใจมาตั้งแต่บ้าน  หล่นกระจายเต็มหน้าตัก

 

        'อะ...อะไรกัน!?'

        .

        .

        ทั้งรางวัลที่เด่นหราบนตู้  

        ป้ายโฆษณาน้ำหอมในเมือง

        เพลงฮิตติดชาร์ตในวิทยุ!

        และข่าวลือความสัมพันธ์ที่ดังข้ามประเทศนั่นอีก!!!?

 

        'ทำไมเธอไม่รู้จักล่ะ!!?'

        .

        .

        'นี่ฉัน  ยังดังไม่พอ'

        'หรือเธอไปอยู่ดาวดวงไหนมากันแน่!!!!?'

 

        เมื่อเห็นหน้าที่เหี่ยวแห้งของเขาเธอก็รีบออกตัวทันที

        "คือ...ฉันไม่ค่อยสนใจดาราเท่าไหร่"

 

        นอกจาก  'คิม ฮโยริน'  นางเอกซีรีส์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพีแห่งเอเชียร์  และอีกอย่างก็คือการถ่ายภาพ  นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่สามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้  เพราะตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมามีซอลก็เหวี่ยงตัวเอง  ออกจากวงโคจรของโลกที่วุ่นวายนี้  เข้าไปสู่โลกส่วนตัวที่เงียบสงบของตัวเองโดยสมบูรณ์

        "แต่พอเห็นป้ายหน้าตึกที่โปรโมทเพลงใหม่และรูปแปะอยู่  ถึงได้รู้ว่าเอริสที่ใครๆพูดถึงก็คือคุณนั่นเอง"

        เขานั่งฟังเธอพูดเจื้อยแจ้ว  และพยายามประกอบเศษหน้าของตนกลับที่เดิมไปด้วย

        "เพื่อนๆฉันชอบฟังเพลงของคุณมาก"   

 

        ...ถึงเนื้อหามันจะน้ำเน่าไปหน่อย...

 

        "แต่ก็ฟังเพลินดีค่ะ"

        "อืม...แบบนี้เองสินะ"

        เขาลูบคางตัวเองเบาๆด้วยใบหน้าครุ่นคิด

        "อย่างน้อยๆ ก็เคยฟังเพลงกันมาบ้างแล้วสินะ"

        "ค่ะ"

        มีซอลพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น  ท่าทีเหล่านั้นทำให้เขาเผลอจ้องเธอนานอย่างลืมตัว  แต่ก็ถูกมองกลับมาด้วยแววตาประหลาดใจ  ทำให้เขาต้องดึงสายตาของตัวเองไปที่อื่น

        "อะแฮ่ม!!  ยังไงก็เถอะ  ถือว่าเรารู้จักกันแล้วนะ"

        "ค่ะ  ขอฝากตัวด้วยนะคะ คุณฮาน ซึงรี"

        เธอค้อมศีรษะด้วยความนอบน้อม

        "เรียกฉันว่าโอปป้า  หรือพี่ซึงรีก็ได้"

        "คะ!!?"

        คำพูดพิลึกพิลั่นของเขา  ทำให้เด็กสาวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก

        "ก็แหม... ไหนๆเราก็จะมาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว  ก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองหรอก"

        "แต่..."

        "นะ~"

        เอริสเท้าคางจ้องหน้าของเธอ  ด้วยรอยยิ้มเป็นประกายแบบไอดอล  ที่ใครเห็นต่างก็ต้องกรีดร้องเพราะโดนเหยียบเท้า...(!?) 

        เอ่อ...

        เพราะความหล่อบาดใจ 

 

        แต่สำหรับมีซอลกลับรู้สึกถึง 'มวลพลังงาน' บางอย่างรอบตัวเขาที่ชวนให้เคลือบแคลงใจ  และรอยยิ้มแบบนี้มันก็ดูเหมือน..

 

        'รอยยิ้มของเสือ  ที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ'

 

        ทำให้ในสายตาของเธอตอนนี้  เขากลายเป็นผู้ชายที่ดูไม่น่าไว้วางใจแบบสุดๆ 

        แต่ที่ทำให้เธอมาอยู่ที่นี่  ก็เพราะว่าตัวเองยังไม่ได้รับการตอบกลับจากที่ไหนเลย  และระยะเวลาที่นักศึกษาต้องมอบตัวนั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที  ทำให้เธอไม่มีตัวเลือก 

        ส่วนค่าแรงที่ควรจะได้นั้นก็มากพอ  ที่เธอจะสามารถเก็บตังค์ซื้อกล้องที่อยากได้  ภายในเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น

 

        แต่ไม่นึกเลยว่านายจ้างของเธอจะเป็นผู้ชายพราวเสน่ห์  และดูอันตรายมากขนาดนี้  แถมแววตาของเขาที่มองมานั้นก็ดูพึงใจในตัวเธอไม่น้อย  ทั้งที่ไทป์แบบเธอนั้นไม่ว่าหนุ่มคนไหน  ก็กาหัวทิ้งเป็นอันดับแรกๆทั้งนั้น

 

        'ต้องระวังตัวเอาไว้'

        'ห้ามประมาทเป็นดีที่สุด'

 

        มีซอลเดินออกมาจากห้องนั้นเมื่อสบโอกาส  ขณะที่เขาต้องรับสายสำคัญ  ทำให้เธอไม่ต้องอยู่ให้เขาซักประวัตินานนัก 

 

        ทั้งที่ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าหน้าที่ของเมเนเจอร์ต้องทำอะไรบ้าง  แต่ลีอาและยุนอาก็สอนงานเบื้องต้นที่จำเป็นให้เธอ  ซึ่งมันก็ไม่ใช่งานยากเท่าไหร่นักเพียงต้องใช้ความรับผิดชอบ  และเข้าอกเข้าใจศิลปินคอยซัพพอร์ตเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือ

        "พอทำได้ไหมมีซอล?"

        "สบายมากค่ะ!!"

        "เยี่ยม  วันนี้เธอเตรียมเก็บกระเป๋านะ  พรุ่งนี้เราจะไปออกกองกับเอริส"

        คำสั่งแรกทำให้เธอถึงกับหูผึ่ง  

        "พรุ่งนี้เลยเหรอคะ!!!?"

        "ใช่จ่ะ  เตรียมไปหลายๆชุดหน่อยนะ  แต่ไม่ต้องเอาเสื้อกันหนาวไปที่นั่นร้อนมาก"

        "อ้อแล้วก็.. เตรียมกระเป๋าสะพายใบโตๆหน่อยนะ  ไว้ใส่ของจำเป็นให้เอริส"

        "ของ...ที่จำเป็น...?"

        "ก็พวกของว่าง  ยากันแมลง  ยานวด  หูฟังสำรองแล้วก็พวกของทั่วๆไป"

        "ทำไมเขาไม่พกเองล่ะคะ!?"

        คำถามใสซื่อของเธอทำให้สองสาวถึงกับหันมาสบตากัน  สิ่งที่เธอพูดนั้นมันก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียว  แต่มันคือหน้าที่ของทีมผู้ดูแลพึงกระทำ  อะไรที่จะทำให้ศิลปินสะดวกสบายมากที่สุด  และมีความสุขพร้อมทำงานที่ได้รับมอบหมาย  ต่อให้ลำบากกว่านี้หรือฟังดูงี่เง่ากว่านี้พวกเขาก็ต้องทำ

 

        คำอธิบายของรุ่นพี่ทั้งสอง  ทำให้มีซอลได้แต่ก้มหน้าปิดปากเงียบ  ทำตามหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปเท่านั้น

 

        วันต่อมา

        ทั้งที่เอริสควรต้องได้เอนหลังสบายๆ  แต่ตอนนี้เขากำลังพะวงจนไม่เป็นอันนอน  เมื่อเมเนเจอร์ตัวน้อยของเขากำลังเมารถอย่างหนัก  สร้างความลำบากให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง  

        "ทำไมไม่บอกแต่แรกว่าเมารถหืม!?"

        ยุนอายื่นทิชชูให้มีซอลที่นั่งพะอืดพะอมอยู่เบาะหลัง  และขยำถุงหูหิ้วที่ว่างเปล่าเอาไว้แน่น  

        "หนู... ไม่  อึก!!!"

        "อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย  ใกล้ถึงจุดพักรถแล้วอดทนหน่อยนะ!!"

        อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้เมารถ  แต่เมื่อคืนไปฉลองกับเพื่อน  แถมยังจัดโซจูไปตั้ง 3  ขวดทั้งที่ไม่ได้เป็นคนชอบดื่มเลยแม้แต่น้อย  

        "..."

        ความคิดในหัวของเธอหยุดลงเมื่อร่างสูงใหญ่  ในชุดเสื้อยืดสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อยีนและกางเกงเข้าชุดกัน  ลุกขึ้นจากเบาะด้านหน้ามาแทรกตัวนั่งข้างๆเธอ  พร้อมด้วยขวดน้ำเปล่าในมือ 

        ทั้งที่ตรงนี้มีพื้นที่อันน้อยนิด  และสัมภาระที่อัดแน่นชวนให้อึดอัด

        "เป็นไงบ้าง?"

        คำถามและแววตาเป็นห่วงของเขา  ทำให้เธอทั้งประหลาดใจและรู้สึกอุ่นใจในเวลาเดียวกัน  มีซอลส่ายหน้าและพยายามขยับตัวออกห่างเขา  เมื่อไหล่ทั้งสองเบียดชิดกันเกินไป

        แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดพื้นที่ว่างมากนัก  และขวดน้ำใหม่ที่เพิ่งเปิดฝาก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

        "ดื่มซะจะได้สร่างเมา"

        "คุณรู้...!?"

        เธอเอ่ยเสียงกระซิบ  แต่เขากลับยื่นหน้ามาใกล้และทำจมูกฟุดฟิดจนเธอต้องเอี้ยวตัวหลบ  ถึงแม้จะหนีไม่พ้นใบหน้าหล่อๆของเขาก็ตาม

        "กลิ่นเหล้าหึ่งเลย"

        "!?"

        "ฉันจะหักคะแนนของเธอ"

        "ไม่นะ!"

        "จิตพิสัยข้อนี้สำคัญมากนะ  ถ้าเกิดเธอดื่มจนมาทำงานไม่ไหว  ทีมงานคนอื่นๆก็ลำบากแย่เลยน่ะสิ"

        "ขอร้อง  ฉัน...อึก  จะไม่ทำอีกแล้ว"

        เสียงหวานเอ่ยละล่ำละลักจนลมในท้องตีขึ้นมาอีกรอบ  แต่ก็ยังคงฝืนจ้องมองเขาด้วยแววตาออดอ้อน 

        ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบเบือนหน้าหนี  ไม่กล้าสู้สายตาของเธอ  ก่อนจะหันไปขอสมุดประเมินนักศึกษามาจากคิวเท  ท่ามกลางแววตาตื่นตระหนกของมีซอล

        "มะ...ไม่นะ"

        "ตรงนี้สินะ  เขียนบนรถไม่ถนัดเลยแฮะ"

        "ไม่...อึก!!"

        "ถึงแล้วมีซอล  อ๊ะ!!"

        ยุนอาร้องเสียงหลงเมื่อร่างเล็กของเมเนเจอร์ฝึกหัด  พุ่งทะยานออกไปนอกประตูรถตู้  และวิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

        "ฉันว่า... ฉันตามไปดูหน่อยดีกว่า"

        ยุนอาคว้ากล่องกระดาษทิชชู  เดินลงจากรถตามลงไป  ในขณะที่คนอื่นก็แยกย้ายกันไปซื้อของกินเล่น  เข้าห้องน้ำ  เช็คลมยาง  มีเพียงเอริสที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม  และช่วยยุนอาประคองร่างของมีซอลขึ้นมาบนรถ

        "ค่อยยังชั่วไหม?"

        เขาเอ่ยถามขณะดึงเศษทิชชูที่ติดแก้มของเธอออก  โดยไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย 

        มีซอลหลับตาพยักหน้าด้วยความทรมาน  โดยมีสายตาคู่เรียวกำลังจับจ้องร่างที่โงนเงนของเธอไม่ละสายตา

 

        วูบ!!

        เขาเอื้อมมาประคองศีรษะของเธอได้ทัน  ก่อนที่มันจะกระแทกกระจกข้าง  

        "ไม่..."

        เธอปรือตาขึ้นและพยายามขัดขืน  เมื่อเอริสเอนกายเธอลงมาพิงบ่าของเขา

        "อย่าดื้อ"

        เขาเอ่ยเสียงกระซิบและไม่ยอมให้เธอขัดขืน  จนในที่สุดเด็กสาวก็ไม่อาจต้านทานสังขารของตนได้  และผล็อยหลับไปในที่สุด

 

        เมื่อร่างเล็กเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว  เอริสจึงตระหนักได้ว่าไอ้ท่าพิงไหล่นอนแบบในซีรีส์โรแมนติกนั้น  มันไม่สามารถทำให้คนที่ต้องการพักผ่อนหลับอย่างสบายได้

 

        มีซอลขยับตัวอย่างอึดอัด  ทั้งที่ตอนแรกเธอก็ทำให้เขาปั่นป่วนหัวใจมากพอแล้ว  แต่ตอนนี้ร่างเล็กเริ่มเลื้อยไปทั่ว  จนหน้าเกือบทิ่มลงบนตักเขาตามแรงเบรกของรถ

        "อื้อ.."

        "โอเคๆ  เข้าใจแล้วครับจะนอนใช่ไหม"

        เขาพยายามประคองร่างของเธอขึ้นเพื่อให้ไปนั่งแทนที่เขา  แต่มีซอลก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ  จนในตอนนี้เธอได้หลับสนิทซบอยู่บนอกเขาเสียแล้ว

 

        ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดอยู่บนลำคอ  ทำให้เอริสได้แต่นั่งตัวเกร็งด้วยความทรมาน

 

        'ไหงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย'

 

        เขาเหลือบมองเสี้ยวหน้าหวานด้วยความอ่อนใจ  ไม่คิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตของการเป็นศิลปิน  จะต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแบบนี้

 

        'แต่มันก็...'

 

        เอริสเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่  เมื่อสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนเล็ก  ที่โอบรอบเอวเขาอยู่ในตอนนี้

 

        'รู้สึก... ดีจัง~'

 

        หัวใจของชายหนุ่มที่เหี่ยวเฉาเมื่อหลายวันก่อน  ดูเหมือนจะกลับมาพองโตขึ้นอีกครั้ง   

        และแน่นอนว่าการกระทำของทั้งคู่ตอนนี้  อยู่ในสายตาทีมงานมาตั้งแต่ต้น  พร้อมกับคำตอบภายในใจที่ถูกเขาเฉลยออกมาทีละน้อย  ว่าทำไมคนที่เขาต้องการให้เป็นเมเนเจอร์นั้นถึงได้เป็น 'หวังจื่อหลิน'  

        และคำว่า 'เพื่อนสนิท'  ที่เขาเคยใช้  เพื่อตอบคำถามกับสื่อในตอนนั้น...มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยแม้แต่น้อย

 

        เพราะว่าคนที่เอริสรักก็คือ 'จื่อหลิน'  แต่เธอคงให้เขาได้แค่เพื่อนเท่านั้น

 

        เมื่อเห็นใบหน้าที่เปี่ยมสุขของศิลปินหนุ่ม   ทีมงานทุกคนกลับรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจกับความจริงที่ได้ล่วงรู้  และรู้สึกผิดที่ดึงเอาเด็กสาวคนนี้เข้ามาพบเจอกับเรื่องยุ่งๆ นี้เสียแล้ว

 

        หลายชั่วโมงต่อมา 

        มีซอลรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนกลางดึก  และกวาดสายตามองรอบๆ ห้องด้วยความงุนงง  ในตอนนี้ทีมงานหญิงคนอื่นๆที่พักในห้องเดียวกันนั่นก็คือรุ่นพี่ยุนอา และรุ่นพี่นาบี   ที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมชุดเพื่อออกกองให้กับเอริส

        "มีซอล  เป็นไงบ้าง?"

        "หนู... ปวดหัวค่ะ"

        "เขาบอกว่าเธอจะต้องพูดแบบนี้แน่ๆ"

        "เขา..?"

        "เอริสน่ะ  เมื่อตอนเย็นเขาก็ช่วยอุ้มเธอขึ้นมาส่งที่ห้อง"

        "อะ..อะไรนะคะ!!!?"

        มีซอลร้องเสียงหลงและกวาดสายตาไปรอบห้อง  เพื่อหาบุคคลในหัวข้อสนทนา

        ....แต่ก็ไม่พบ

 

        "แล้วก็ซื้อยามาให้ด้วย  ข้าวกล่องอยู่บนโต๊ะถ้าหิวก็กินได้เลยนะจะได้กินยา"

        กล่องยาแก้อาการแฮงค์ถูกพลิกไปมาในมือของเธอ  ด้วยใบหน้าครุ่นคิด  เพราะภาพสุดท้ายที่เธอจำได้ก็คือ  เธอถูกรุ่นพี่ยุนอาพยุงออกมาจากห้องน้ำกลับมาที่รถ  โดยมีรุ่นพี่เอริสก็รอรับเธออยู่  และหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย..

        "อ้าว  ตื่นแล้วเหรอ?"

        ทั้งที่คิดว่าตัวเองจะมีเวลาเป็นส่วนตัว  แต่หารู้ไม่ว่าห้องนี้นอกจากจะเป็นห้องเก็บสัมภาระ  ยังกลายเป็นห้องคุยงานและกินข้าวของทีมงานทุกคน  และในตอนนี้ทั้ง 5 คนก็กำลังนั่งกินข้าวกันที่โซฟาตัวใหญ่   

        "ไม่กลับ  ใครบอกจะกลับฉันจะนอนที่นี่"

        "อ้าว...จริงจังป่ะนิ!?"

        "คิวเทนั่นภาษาอะไรของนายฮะ"

        "ทีตอนไปไทยเรายังนอนเล่นไพ่ด้วยกันได้เลยนี่!"

        "ที่นี่มีตั้งสามคนแล้ว  ไม่ได้ๆ "

        นาบีร้องห้ามและหันไปมองเตียงเดี่ยวหลังน้อยเบื้องหลัง  ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อเอริสวางตะเกียบลง  และเลื่อนไปดันเตียงทั้งสามหลังให้ชิดติดกันอย่างง่ายดาย 

        ก่อนจะเอนกายลงนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข  และหวนนึกถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมาอีกครั้ง

        "กินข้าวเสร็จแล้วก็กินน้ำด้วยสิ!!"

        ยุนอาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา  ขณะที่ยื่นน้ำสองขวดให้มีซอล  ที่กินข้าวเสร็จเพื่อเธอหนึ่งขวด  และฝากไปให้เอริสอีกหนึ่งขวด

        "และที่สำคัญช่วยเกรงใจมีซอลด้วย"

        ขวดน้ำที่ชายหนุ่มรับมานั้นถูกชะงักค้างไว้  เมื่อเด็กสาวที่ยืนอยู่ปลายเตียงไม่ยอมปล่อยมือ  ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นสบตาเธอด้วยความสงสัย  แต่ก็ได้รับเพียงเสียงที่แผ่วเบากว่าเสียงกระซิบเท่านั้น

        "ขอบคุณ...ค่ะ"

        คำพูดสั้นๆของเธอแต่ทำให้คนฟังเหมือนถูกคาถาแช่แข็ง  เขาจ้องมองมีซอนและออกแรงดึงขวดแค่เพียงเล็กน้อย  ร่างเล็กก็เซถลาลงสู่อ้อมกอดของเขา

        ในตอนนี้เอริสไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว  ขอเพียงแค่เขาได้กอดเธอเอาไว้  ใบหน้าที่แสนคิดถึง  และรอยจูบนี้... ที่ในความจริงแล้วเขาคงไม่อาจช่วงชิงมันมาจากหยางฟงได้

 

        .

        .

        แต่มีซอลอยู่ตรงนี้แล้ว  เธอจะมาเติมสิ่งที่ขาดหายไปให้กับหัวใจของเขา  เมื่อริมฝีปากนี้ได้ประสานกันและหลอมรวมเป็นหนึ่ง  มันจะไม่มีทางแยกจากกันได้โดยง่าย...

        อ้อมแขนเล็กโอบรอบบ่าของเขา  และค่อยๆหลับตาลงเพื่อตอบรับสัมผัสของเขา  สัมผัสที่แสนนุ่มนวลและแสนหวาน  จนทำให้หัวใจของเธอล่องลอย  ก่อนที่มันจะถูกเขาพรากไปอย่างแสนเสียดาย  และถูกเขาฝังจมูกลงบนแก้มนุ่มของเธอแทน

 

        'จื่อหลิน...'

 

        เสียงเอ่ยกระซิบอย่างลืมตัว  ทำให้ร่างของเขาถูกเธอผลักออกอย่างแรง

 

        'ฉันไม่ใช่ตัวแทนของผู้หญิงคนนั้น!!'

 

        เฮือก!!!!!! 

        "เอริสนี่นายหลับจริงด้วย!!!?"

        เสียงของนาบีทำให้เขาสะดุ้งตื่น  และกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความตื่นตระหนก  ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย  เมื่อทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน

        "กลับห้องของนายไปได้แล้ว!!"

        เขาถอนหายใจอย่างสุดเซ็งและบิดตัวขับไล่ความเมื่อยล้า  และพลิกตะแคงร่างที่หนักอึ้งเพื่อลุกขึ้น

        "!!!?"

        แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็คือร่างเล็ก  ที่กำลังขดตัวในผ้าห่มจนโผล่มาแค่หน้ามาหาเขา  และหลับสนิทอยู่บนเตียงของตน  ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะไม่ได้สวีทหวานเหมือนอย่างในความฝัน 

 

        แต่ขวดน้ำว่างเปล่าที่กำแน่นอยู่ในมือ  ก็ทำให้เขารู้ว่ามี  'บางส่วน' ในความฝันที่เกิดขึ้นจริง 

 

        เอริสจำได้ว่าตัวเองกำลังเคลียร์ข้อความในมือถือ  และคุยกับทีมงานเรื่องตารางงานที่มีแทรกเข้ามา  และเธอก็เดินเอาขวดน้ำมาให้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก  เขาเลยแกะเม็ดยาออกจากแผงยื่นให้  และบอกให้พักผ่อนพร้อมกับห่มผ้าให้เธอด้วยมือของเขาเอง

 

        ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อิงแอบเหมือนอย่างในฝัน  แต่เพียงเท่านี้มันก็ดีมากแล้ว....

        มากจนทำให้หัวใจของเขาคับฟูในอก  และไม่อาจกลั้นรอยยิ้มแห่งความสุขเอาไว้ได้

  

        'พอแล้ว...'

        'แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว'

 

        ในตอนเช้าฝีเท้าทั้ง 5 คู่กำลังก้าวออกมาจากลิฟต์  โดยที่มีร่างเล็กรั้งท้ายและพยายามก้าวเดินตามศิลปินหนุ่มให้ทัน  ขณะที่ทีมงานพาเขารีบเดินผ่านกลุ่มแฟนคลับเพื่อไปขึ้นรถ  เอริสยิ้มและโบกมือทักทายเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่ประตูรถจะถูกเลื่อนปิด 

        "วันนี้เรียบร้อยดีจังเลยนะ"

        "ยามตั้ง 7 คนจะไม่ให้เรียบร้อยไงไหวนิ?"

        เพียงไม่ถึงห้านาทีทุกคนก็เดินทางมาถึงกองถ่าย  พวกเขารีบพาเอริสไปส่งในเต็นท์ที่พัก

  

        ตอนนี้เอริสกำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าอยู่ภายในเต็นท์  และมองหาร่างเล็กๆของมีซอลแต่ก็ไม่พบ  จนกระทั่งเห็นว่าเธอกำลังยืนคุยกับชายหนุ่มสวมแว่นท่าทางสนิทสนม  จนเขานึก... หงุดหงิดใจขึ้นมา 

        "มีซอล!!"

        "!?"

        ร่างเล็กสะดุ้งจนเกือบทำของว่างในถาดหลุดมือ  และลอบถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงเรียกคือใคร

        "เอากาแฟมาให้ฉันด้วย"

        เขาเอ่ยเสียงเรียบต่างจากแววตาที่มองมาอย่างสิ้นเชิง  ก่อนจะสะบัดหน้าเดินกลับไปทางเดิมโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

        "คนดังนะนั่น"

        เด็กฝึกงานหนุ่มเอ่ยขึ้น  โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้างของเอริส

        "ก็ดังนะ...หมายถึงเสียงอ่ะ"

        คำพูดของเธอทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นจากชายหนุ่มตรงหน้า

        "เราเพิ่งมาใหม่  ถ้าทำอะไรผิดพลาดก็ช่วยสะกิดด้วยนะ"

        "ได้เลย  สัปดาห์หน้าผู้กำกับจะเอากล้องตัวใหม่มาลง  พวกเขาจะสอนด้วยล่ะถ้าเธอสนใจเดี๋ยวฉันไปเรียกนะ"

        "ขอบคุณมากนะเซฮุน!!"

        "มีซอล!!"

        "ไปแล้วค่าาาาาา!!"

        "นั่นใคร?"

        "เพื่อนใหม่"

        คำตอบห้วนสั้นของเธอทำให้เขาหูผึ่ง  และหมุนเก้าอี้หันไปเผชิญหน้ากับเธอ  แต่ก็ต้องผงะเมื่อแก้วกาแฟที่มีควันกรุ่น  ถูกยื่นมาจนเกือบกระแทกหน้า 

        "ขะ... ขอบใจ"

        เขารับแก้วมาถือไว้แต่แววตาที่มองเธอนั้น  ก็ยังเต็มไปด้วยความขุ่นใจอย่างไม่ปิดบัง

        "เพื่อนใหม่...แต่ดูสนิทกันไวจังเลยนะ"

        "ผูกมิตรเอาไว้ก็ไม่เสียหาย  แล้วเขาก็ดูเป็นคนดีมากๆด้วย"

        คำชื่นชมของเธอทำให้เส้นเลือดบนขมับของเขาเต้นตุบๆ 

        "แล้วเขาก็ยัง..."

        "เลิกพูดถึงหมอนั่นได้แล้ว"

        "ฮะ!?"

        "รู้จักแค่ฉัน  พูดกับฉัน...แค่ฉันคนเดียวก็พอเข้าใจไหม?!"

        "!!!?"

        ดวงตาของมีซอลเบิกกว้างด้วยความตกใจ  เมื่อเขาเผลอพลั้งปากประโยคนั้นออกมา   เอริสใบหูแดงก่ำไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือโกรธมากกว่ากัน 

        ในตอนนี้เขาเองก็ดูเหมือนจะได้สติจนต้องรีบปิดปากของตนด้วยกาแฟในมือ

 

        พรูดดดดด!!!!

        เพียงอึกแรกเอริสก็สำลัก  พร้อมกับละอองกาแฟที่ถูกพ่นออกมาเป็นฟองฝอย  จนร่างเล็กต้องกระโดดหลบไปไกลเป็นเมตรด้วยความตกใจ

        "นี่มันกาแฟอะไร!!?"

        "ก็... กาแฟในกองไงคะ"

        "ฉันต้องอเมริกาโน่จากเมล็ดคั่วบดสายพันธุ์บราซิล แล้วก็น้ำตาลน้อย 10% ต่างหากล่ะ!"

        "มันก็กินได้เหมือนกันนั่นแหละ"

        "วะ...ว่าไงนะ!?"

        เขาถลึงตามองเธออย่างไม่เชื่อหู  ไม่เคยมีทีมงานคนไหนที่กล้าขัดใจเขามาก่อน  แล้วดูเธอสิเด็กน้อยมีซอลที่น่ารักของเขา  กำลังยืนเท้าเอวเถียงฉอดๆไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด

        "จะลิ้นฟ้า กระเพาะสวรรค์มาจากไหนฉันไม่รู้  แต่ที่กองมีให้กินแบบนี้คุณก็ต้องกิน"

        "มะ...มีซอล!"

        "ห้ามบ่น!!"

        "ดะ...เดี๋ยว"

        .

        .

        "มีซอลกลับมานี่นะ!!"

 

        เอริสแบกหน้าที่บูดบึ้งของตนไปเข้าฉากทั้งอย่างนั้น  ในซีนดราม่าเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ที่น้ำตามันไหลออกมานั้น  มันเป็นเพราะฉากบอกเลิกที่น่าหดหู่ใจ  หรือคำพูดใจร้ายของเด็กผู้หญิงคนนั้นกันแน่

 

        .

        . 

        ภายในห้องพักของโรงแรม  ขณะที่ทีมงานทุกคนกำลังนั่งคุยกันเพื่อรออาหารค่ำมาส่ง  มีซอลก็หยิบนิตยสารจัดอันดับกล้องน่าซื้อแห่งปีที่ได้มาจากเซฮุน  และเปิดมันทีละหน้าด้วยความทะนุถนอม  โดยเฉพาะหน้าที่มีกล้องโปรตัวละสามล้านวอนที่เธอกำลังหมายตา

        "นี่" 

        มีซอลสะดุ้งเกือบหลุดกรี๊ดออกมา  เมื่อใบหน้าคมคายยื่นข้ามพนักพิงโซฟาเข้ามาใกล้หน้าเธอไม่ถึงคืบ 

 

        'อยู่ๆก็โผล่มา  จะบ้าตายอยู่แล้ว!!'

 

        แต่เอริสไม่ได้ยินเสียงความคิดนั้น  ยังคงจ้องนิตยสารในมือของเธอด้วยความสนใจ 

        "สามล้านเอง  ถ้าอยากได้ป๋าซื้อให้ก็ได้"

        "ฮะ!!!?"

        "หมายถึง...โอปป้าคนนี้จะซื้อให้เธอเอง"

 

        'กะ...เกือบทำไก่ตื่นซะแล้ว!'

 

        เอริสลอบยกมือขึ้นปาดเหงื่อทิพย์และหันไปฉีดยิ้มกว้างให้เธอ  ที่กำลังนั่งมองเขาด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ

        "ไม่ต้องหรอก  ฉันน่ะไม่อยากรบกวนคุณ..."

        "ไม่เอาน่า  ไม่รบกวนเลยสักนิด~"

        "ไม่ได้เกรงใจนะ"

        "หืม...?"

        "แต่เก็บตังไว้ใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อมตอนแก่ดีกว่า"

        "มะ...มีซอล!!"

        เธอรีบยกมือขึ้นปิดหู  เมื่อเสียงร้องของเขามันดังกรีดแก้วหูจนแทบทะลุ

        "ทำไมใจร้ายกับฉันขนาดนี้  ไม่น่ารักเลยรู้ไหม?!!"

        นี่ก็เป็นเพียงการโต้เถียงของเขาและเธอที่เกิดขึ้นบ่อยๆ  จนแทบเป็นกิจวัตรและถ้าไม่ได้ลับฝีปากกับเธอก็คงนอนไม่หลับ  ถึงแม้ว่าเมื่อวานเขาจะหงุดหงิดมากขนาดไหน  แต่คนแบบเขาไม่ถึงข้ามวันก็แทบจะลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปจนหมด

        เพราะลึกๆแล้วเขารู้ดีกว่า...

 

        'เจ้าหนุ่มนั่นหรือจะมาเทียบกับฉัน'

        'อย่างนายก็ได้เจอเธอแค่ที่กองถ่ายเท่านั้นแหละ' 

        .

        .

        'แต่ว่าฉันน่ะ....'

 

        "นี่เอริส  กลับห้องนายได้แล้ว!!"

        "ฮะ!!"

        "พรุ่งนี้มีถ่ายงานแต่เช้านะ"

        "ดะ... เดี๋ยวสิ"

        "ไปเร็วนี่มันห้องผู้หญิง  หัดรู้จักมารยาทซะบ้าง!"

        ทีมพี่สาวทั้งยุนอา  และนาบีจัดเต็มใส่เขาไม่ยั้ง  แต่มีหรือที่คนอย่างเอริสจะยอม 

        "ทีเมื่อก่อนฉันจะกิน  จะนอนที่ไหนพวกพี่ไม่เห็นว่า!"

        เขาเถียงคอเป็นเอ็นแต่ครั้งนี้ผู้ช่วยก็ไม่ยอมแพ้เขาเช่นกัน

        "แล้วทำไมตอนนี้ฉันจะนอนนี่ไม่ได้  ฮึ!!"

        "มันไม่ใช่เมื่อก่อนแล้วไง"

        "แล้วมันไม่เหมือนตรงไหน!?"

        "ก็เพราะว่ามีซอลอยู่ด้วยยังไงล่ะ!!"

        เพราะว่ามีเธออยู่  และการที่ปล่อยให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันมันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก  ตราบใดที่เอริสยังคง 'สับสน'  และยังคงมองว่ามีซอลเป็นเพียงแค่  'ตัวแทน'  ของจื่อหลินอยู่แบบนี้ 

 

        และถ้าหากว่ามี  'บางอย่าง'  เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง 

        คนที่จะต้องเจ็บปวดที่สุดก็คือมีซอล...

 

        "ก็เพราะว่ามีซอลอยู่ด้วยยังไงล่ะ!!"

 

        คำพูดเหล่านั้นทำให้ชายหนุ่มย่นคิ้ว  หันมาหาเด็กสาวที่กำลังนั่งหัวเราะคิกคัก  และจงใจมองเธอด้วยใบหน้าง้ำงอแบบที่สาวๆเห็น  ต้องรู้สึกเอ็นดูและสงสารเขาจับใจ 

        แต่คงไม่ใช่สำหรับมีซอล

        "นอนเยอะๆ จะได้มีเวลาเหลือไว้คั่วกาแฟบราซิลกินเองไงคะ"

        "มะ...มีซอล!!!!!"

 

        ความฝันของผู้ชายวัย 26 แบบเขาค่อยๆแตกสลาย  เมื่อมีซอลไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาคิดเอาไว้แม้แต่น้อย  

        ทั้งที่เขาจินตนาการว่าเด็กคนนี้จะหลงเสน่ห์ในรอยยิ้มเกินต้านของเขา จนยอมใจอ่อนทำตัวน่ารักสมกับหน้าตา ให้คนแก่แบบเขาได้ชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาบ้าง

        แต่นานวันเข้ามันกลับได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม   แม่แมวน้อยที่แสนน่ารักตอนนี้เริ่มแผลงฤทธิ์เดชหนักข้อขึ้น  จนทำให้เขาเริ่มปวดหัวและยากจะรับมือได้ไหว

 

        และวันนี้ก็เช่นกัน...

        แทนที่เธอจะมานั่งคอยดูแลเขา  แต่กลับวิ่งวุ่นไปมาตื่นเต้นกับกล้องถ่ายหนังตัวใหม่ของผู้กำกับ  และทำความรู้จักกับทีมงานงานในกองถ่ายตามประสาเด็กภาพยนตร์

        มัวแต่สนใจสิ่งตรงหน้า  จนลืมมองรอบตัวและพลาดไปชนกับคนขนพล็อบ  เกือบทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ

        "ช่วยทำตัวให้มันเรียบร้อยได้ไหม"

        "ฮะ?"

        "นั่งอยู่เฉยๆให้มันดีๆแล้วก็หัดพูดคะ,ขา  ให้สมกับเป็นเด็กผู้หญิงหน่อย"

        "เดี๋ยว..."

        "แล้วไอ้นิสัยกระโดกกระเดก  จนทำตัวเองบาดเจ็บก็เลิกซะ"

        "จะดุทำ..."

        "ถ้าไม่อยากถูกดุก็ต้องเชื่อฟังเข้าใจ-"

 

        ครืดดด!!~

        จู่ๆ  ร่างเล็กก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้กะทันหัน  จนกระเป๋าสัมภาระบนตักเกือบลงพื้น  แต่เอริสคว้ามันไว้ได้ทัน

        "นั่งลงเดี๋ยวนี้นะ"

        "แล้วพี่มายุ่งอะไรด้วยเล่า!!"

        "นี่จะวิ่งไปไหนอีก!!?"

        เขาคว้าแขนเธอไว้และดึงให้กลับลงมานั่งที่เดิม

        "ปล่อย!!"

        "เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ  รู้ไหมถ้าเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา  โดยอยู่ในการปกครองของพวกเรา.."

        .

        .

        "ใครกันที่จะต้องเดือดร้อน"

 

        คำพูดของเขาทำให้เธอเม้มปากด้วยใบหน้าง้ำงอไม่พอใจ

 

        "ที่พูด..."

        .

        . 

        "ก็เพราะว่าเป็นห่วง" 

        มีซอลเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาเบิกกว้างจนแทบถลน

 

        'วะ...ว่าไงนะ!?'

 

        เขาทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้และเดินออกจากห้องนี้ไป  ปล่อยให้เธอนั่งจมอยู่กับความมึนงงอยู่ที่นี่เพียงลำพัง  

 

        'กลับมาเคลียร์กันก่อนสิ!!!'

 

        หลังจากเกิดเหตุการณ์สั่นประสาทในวันนั้น  เอริสก็แสดงความ 'เป็นห่วง'  เธออย่างออกนอกหน้า  หรือเขาอาจจะทำแบบนี้มาโดยตลอด  แต่เธอเองต่างหากที่ไม่เคยสังเกตเห็นมันเลยจนกระทั่งตอนนี้

        "พ...พอแล้วค่ะ..."

        มีซอลมองเนื้อปูชิ้นโตที่ถูกกะเทาะเปลือกออกอย่างดีในจานตัวเอง  ซึ่งตอนนี้กำลังส่งเสียงเรียกให้เธอลองชิมมัน  แต่เขาก็ยังแกะวางเพิ่มลงในจานของเธอชิ้นแล้วชิ้นเล่า

        "ฉันแกะเองได้"

        "ตัวนิดเดียวจะเอาแรงที่ไหนมาแกะ  รีบกินซะจะได้กินยา"

        ตั้งแต่ที่เธอมาฝึกงานอาการโรคกระเพาะก็กลับมากำเริบอีกครั้ง  และก็มีเขานี่แหละที่คอยเป็นเครื่องเตือนความจำให้เธอกินข้าว  กินยาสม่ำเสมอ 

        และตอนนี้ทุกคนก็มาพักผ่อนกันที่หาดแทชอน  หลังจากเสร็จสิ้นงานอีเว้นท์ของที่นี่เมื่อตอนบ่าย

        "ผมไปมินิมาร์ทได้พลุมาหลายแท่งเลย!!"

        เสียงของคิวเทเรียกความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะมีซอลที่ตาลุกวาวและเริ่มลังเลใจ  ว่าจะนอนดูซีรีส์ที่ห้องพักหรือว่าจะตอบรับคำชวน  ไปเดินเล่นที่ชายหาดกับเอริส

        "ดูท่าว่าแต้มของฉัน  จะสูงกว่ามีซอลขึ้นมาอีกแต้มแล้วนะ"

        เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ  และตอนนี้เธอก็นั่งมองเอริสเงียบๆ ไม่แม้แต่จะโต้แย้งเขาสักคำ

 

        'ทำไมนะ?' 

 

        คำถามเล็กๆนั่นยังคงวนเวียนอยู่ภายในหัว  จนกระทั่งเม็ดยาที่เขาแกะวางไว้ให้ถูกกลืนลงคอจนหมด

 

        'ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย'

 

        รู้สึก... เหมือนกำลังจะ 'พ่ายแพ้'  ยังไงไม่รู้

 

        "ขอไฟแช็กหน่อย!!"

        เอริสรับที่จุดไฟมาจากคิวเท  ที่กำลังไล่แจกพลุและดอกไม้ไฟให้กับทีมงาน  ในตอนนี้ความมืดค่อยๆโรยตัวลงมาปกคลุมไปทั่วทั้งชายหาด  และแสงไฟจากที่พักก็อยู่ไกลมาก  จนมีซอลแทบมองไม่เห็นว่าทีมงานแต่ละคนอยู่ตรงไหนบ้าง

 

        วี๊ดดดดดดด!!

        .

        . 

        ปุ้งงงง!!!

        เสียงพลุดังขึ้นพร้อมกับแสงประกายสีแดงส้มที่แตกตัว  ส่องแสงพร่างพราวไปบนท้องฟ้า

        เสียงพลุนับสิบถูกจุดและสร้างภาพงดงาม  ให้กับฝืนฟ้าไร้ดาวในค่ำคืนนี้  โดยเบื้องล่างก็มีเสียงหวีดร้องและวิ่งไล่กวดกันของทีมงาน  เมื่อคิวเทนึกอุตริไล่เอาพลุที่ยังไม่ได้จุดจ่อใส่รุ่นพี่ของตนเหมือนต้องการแก้แค้น

 

        มีซอลหัวเราะและมองดูพี่ๆวิ่งไล่กัน  ในขณะที่แขนเล็กก็กำลังชูกระบอกพลุที่กำลังพุ่งขึ้นบนฟ้าไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ลูก  โดยหารู้ไม่ว่าในตอนนี้ร่างสูงข้างกายของเธอกำลังเก็บเกี่ยวรอยยิ้มแสนหวานของเธอเอาไว้  จนหัวใจของเขาแทบไม่มีพื้นที่หลงเหลือให้กับรอยยิ้มของใครอีกแล้ว

 

        วี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!

        .

        .

        ปุ้งงงง!!!

        จนกระทั่งพลุลูกสุดท้ายในมือของมีซอลถูกยิงขึ้นฟ้า  มันเป็นลูกโบนัสที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดซึ่งถูกซ่อนเอาไว้เพียงไม่กี่กระบอกเท่านั้น 

        "ว้าววววว!!!"

        เสียงหวานอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น  และหยีตาเพื่อป้องกันดวงตาของตนจากแสงสว่างจ้าเหล่านั้น  ก่อนจะหันมาหาชายข้างกายเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา  ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากเธอเท่าไหร่นัก

 

        เพียงอึดใจเดียวบริเวณนั้นก็กลับเข้าสู่ความเงียบและความมืดมิดอีกครั้ง  ในตอนนี้ดวงตาของทุกคนกำลังพร่ามัวและมืดดับไปชั่วขณะ  แต่สำหรับมีซอลและเอริสที่ไม่ได้เพ่งโฟกัสที่แสงบนฟ้าตั้งแต่แรก  พวกเขายังคงยืนสบตากันพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า  

        "สนุกดีเนอะ"

        ร่างเล็กพยักหน้าและคลี่ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

        "ถ้ามาทะเลคราวหน้า"

        .

        .

        "เรามาเล่นพลุกันอีกนะ" 

        ดวงตาคู่เรียวหยีเล็กเมื่อเขาฉีกยิ้มกว้าง  เป็นรอยยิ้มที่ตอนแรกเธอคิดว่าดูเจ้าเล่ห์เหมือน  'สุนัขจิ้งจอก'  และไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาตรงๆได้

        แต่ตอนนี้เธอกลับจ้องมองอย่างไม่นึกหวั่นกลัวอีกต่อไป   และสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ...หัวใจดวงน้อยของเธอที่กำลังกระหน่ำเต้นอย่างรุนแรง 

 

        'แค่สบตาเท่านั้น...แต่ทำไมถึงได้รู้สึกมวนท้อง' 

        .

        .

        'เหมือนกับมีเกลียวคลื่นลูกใหญ่หมุนวนอยู่ในนั้น  จนรู้สึกปั่นป่วนไปหมด'

 

        และมันเป็นเกลียวคลื่น...

        แบบเดียวกับที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเขาตอนนี้...

 

        .

        .

        ตลอดระยะเวลากว่าสามเดือนที่ทีมงานต้องกระเตงมีซอลไปไหนมาไหน  ตอนนี้เธอเหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 สัปดาห์การฝึกงานนี้ก็จะสิ้นสุดลง  และสิ่งที่เธอได้มานอกจากความรู้เรื่องการทำงานเบื้องหลังกองถ่าย  การดูแลศิลปินระดับแนวหน้า  แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้ก็คือ  'ความผูกพัน'  ที่เกิดจากความสัมพันธ์ของเธอกับทีมงานที่ตอนนี้เริ่มแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ  โดยเฉพาะเอริสที่คอยลับฝีปากกับเธออยู่ทุกวี่วัน  

        ถึงภายนอกของเขาจะดูเจ้าเล่ห์พอๆกับแววตาคู่นั้น  แต่จริงๆแล้วเอริสเเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมากและคอยเป็นที่ปรึกษาให้เธอหลายเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนต่อ  หรือจะกลับมารับหน้าที่เป็นเมเนเจอร์ให้เขาหลังจากเรียนจบ

        "ถ้าเราอยากทำงานให้ตรงสาย  ระหว่างนี้ก็ค่อยๆศึกษาจากทีมงานในกองก็ได้  พวกเขาใจดีมากนะเห็นหน้าดุๆแบบนั้น"

        "แต่ถ้าฉันทำมันออกมาไม่ดี..."

        "ถ้ายังไม่ได้ลอง  ก็อย่าเพิ่งตัดกำลังใจตัวเองแบบนั้น"

        คำพูดของเขาทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา  ด้วยแววตาเกินความคาดหมาย

        "ไม่แน่นะ  เราอาจจะได้ร่วมงานกันในอนาคต"

        "...?"

        "ในฐานะนักแสดงรูปหล่อ ...กับคุณผู้กำกับคนเก่งก็ได้"

 

        คำพูดทีเล่นทีจริงของเขาทำให้มีซอลไม่อาจกลั้นยิ้มเอาไว้ได้  เธอส่ายหน้าและหัวเราะออกมาเบาๆ

        ...แต่ทั้งหมดนั่นก็ต้องหยุดลง 

 

        เมื่อแววตาคู่เรียวขี้เล่นที่จ้องมองมานั้นค่อยๆแปรเปลี่ยนไป  และแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง.... 'บางอย่าง'  ที่เธอยากจะเข้าใจได้

 

        "แต่ถ้าเบื่อแล้ว"

        .

        . 

        "ก็กลับมานะ"

 

        'กลับมา...'

        'หาเขาอย่างงั้นเหรอ?'

 

        คำพูดที่แสนอบอุ่นใจนั้น จู่ๆ ก็กลายเป็นเพียงแค่ความฝัน  เมื่อวันต่อมาท่าทีของเขาที่มีต่อเธอนั้นเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน  ไม่แม้แต่เอ่ยทักหรือกวนประสาทเธอเหมือนอย่างเคย

 

        ในตอนแรกเธอคิดว่าเขาน่าจะเครียดเรื่องงาน  แต่ก็เห็นว่าเขานั่งคุยหัวเราะกับคิวเทปกติ  แต่กลับทำเมินเพียงเธอแค่คนเดียว

 

        ตลอดระยะเวลา 4 วันที่ผ่านมาทำให้เธอได้แต่ก้มหน้าตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง  และได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ภายในใจ  ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้

        ...แต่เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้เธอได้ถามเลยสักครั้ง

 

        จนในที่สุดความรู้สึกคลุมเครือภายในใจ  ก็ได้ถูกฉีกออกจากกันเป็นสองส่วนราวกับหน้ากระดาษเก่าๆ  ที่ถูกขีดเขียนด้วยความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขาเอาไว้จนเต็ม  เมื่อวันสุดท้ายของการฝึกงานได้มาถึง

 

        งานเลี้ยงเล็กๆที่แสนอบอุ่นถูกจัดขึ้นภายในร้านอาหารประจำของทีมงาน  อาหารรสเลิศเครื่องดื่มมึนเมา  ดนตรีสด  และเสียงพูดคุยของทุกคนดังขึ้นจนแทบจะกลบเสียงคำถามภายในใจของเธอจนมิด

 

        'ทำไมเขาถึงไม่มา?'

        .

        'ทั้งที่ก่อนหน้านี้... ก็ใจดีกับฉันมากขนาดนั้นแท้ๆ'

        .

        .

        'ฉัน... ทำอะไรผิดไปอย่างงั้นเหรอ?'

  

        คำถามที่ดังก้องในหัวและความสงสัยที่ไม่เคยได้รับคำตอบ  ทำให้มีซอลก้มหน้ามองดูหยดน้ำตาบนหลังมือของตนหยดแล้วหยดเล่า  พร้อมกับหัวใจที่บีบรัดแน่นในอก 

 

        ท่าทีที่เปลี่ยนไปของมีซอลทำให้ทุกคนทำตัวไม่ถูก  และพยายามพูดปลอบใจเธอด้วยความเป็นห่วง

        "โหว  ซึ้งขนาดนั้นเลยเหรอ!?"

        "ไม่ต้องร้องนะ  ไว้ว่างๆ พวกเรานัดกินข้าวด้วยกันอีกเนอะ"

        "ชวนเอริสมาด้วยก็ได้"

        "ใช่ๆ  เขาต้องอยากมาแน่ๆ"

 

        ประโยคนั้นยิ่งทำให้เธอเจ็บปวด  และร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม 

 

        'ไม่... อยากหรอก'

        .

        .

        'เพราะถ้าอยากมาจริงๆ  คืนนี้เขาต้องอยู่ที่นี่'

        .

        .

        'ไม่ปล่อยให้ฉันต้องร้องไห้  เพราะเขาแบบนี้แน่ๆ'

 

        จนตอนนี้ไม่มีใครที่สามารถหยุดเธอได้ นอกจากความเข้มแข็งภายในใจของตัวเอง  ที่ตั้งใจว่าจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เคยเป็น  และพยายามเดินหน้าต่อไป...

        โดยไม่มีเขาคอยอยู่เคียงข้างนับจากนี้

 

        23:05 น.

        เสียงเข็มนาฬิกาบนข้อมือส่งเสียงดังกว่าปกติ  เมื่ออยู่ท่ามกลางความเงียบ

        ภายในห้องอัดเสียงที่ว่างเปล่าของค่าย  ในยามนี้มีเพียงร่างสูงใหญ่ที่ยังคงนั่งอยู่ภายในห้อง  และกำลังนั่งแก้เนื้อเพลงที่กำลังจะเริ่มอัดในวันพรุ่งนี้

 

        ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะอ่อนล้ามากขนาดไหน  แต่ก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้  ตราบใดที่งานตรงหน้ายังไม่เสร็จสิ้น

        ซึ่งสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง  เพื่อจะได้ไม่ว่างไปเลี้ยงส่งของมีซอน  ...ทั้งที่จริงๆแล้วเพลงนี้เสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

 

        คำโกหกที่แสนร้ายกาจนั้นทำให้เขายังคงติดอยู่ที่นี่  นั่งขีดฆ่าเนื้อร้องประโยคเดิมๆจนกระดาษแทบทะลุและเขียนมันซ้ำลงไปแบบนั้น  ราวกับกำลังสะกดจิตตัวเองไม่ให้เดินออกจากห้อง  เพื่อไปพบกับเด็กคนนั้น

 

        ตราบใดที่ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้  ...คำตอบสำหรับคำถามที่ทำให้ความเชื่อมั่นภายในใจของเขาตลอด 4 เดือนที่ผ่านมาต้องสั่นคลอน

 

        5 วันก่อน

 

        "แต่ถ้าเบื่อแล้ว"

        .

        .

        "ก็กลับมานะ"

 

        ประโยคที่ชวนให้หวั่นไหวนั้นไม่ได้มีเพียงเขาและเธอที่ได้ยิน  แต่ยุนอากับนาบีที่ผ่านมาได้ยิน  ก็ถึงกับสบตากันด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก   พวกเธอทั้งสองก็มีความคิดเดียวกัน  และคิดว่าการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

        "ไม่ถูกต้องยังไง?"

        เขาย้อนถามด้วยความไม่เข้าใจ  เมื่ออยู่ๆ ก็ถูกลากตัวออกมาคุยกะทันหัน  ทั้งที่ตอนนี้เขาควรจะต้องอยู่กับมีซอล

        เพราะเวลาของเธอในฐานะ 'เมเนเจอร์ของเขา' มันแทบไม่เหลืออีกแล้ว

        "งั้นนายตอบคำถามเรามาก่อนข้อหนึ่ง"

        .

        .

        "นายคิดยังไงกับเด็กคนนั้น"

        "...?!"

        คำถามจู่โจมของทีมงานทั้งสองทำให้เอริสถึงกับชะงักไปหลายวินาที

        "ฉัน..."

        "ว่าไงเอริสนายคิดอะไรกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?"

        "ฉันชอบมีซอล"

        "แน่ใจเหรอว่าชอบเธอ?"

        คำถามของนาบีทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้วจนแทบจะพันกัน

 

        'ฉันชอบเธอ...ชอบมากๆเลยด้วย'

        'แล้วทำไมจะไม่แน่ใจล่ะ?

 

        "แน่ใจนะ"

        .

        .

        "ว่าไม่ได้ชอบหวังจื่อหลิน ในร่างของมีซอล"

        คำพูดของยุนอาเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางหัวของเอริส  ทั้งสับสนและตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน

 

        'ตอนนี้...'

        .

        .

        'ฉันชอบมีซอล... หรือจื่อหลินกันนะ?'

  

        คำถามนั้นถูกย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง  เอริสวางปากกาลงบนโต๊ะและเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง  เงยหน้าเหม่อเพดานสีเทาเข้มที่ว่างเปล่า

 

        ในตอนนี้เขาไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้... ก็จนกว่าความรู้สึกในตอนนี้มันจะได้รับการพิสูจน์อีกครั้ง  และคนที่ใช้คำตอบของเขาได้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น...

 

        ตู้ด...   ตู้ด...

 

        สัญญาณรอสายนั้นดังอยู่เพียงอึดใจ  ก่อนที่เสียงหวานจะเอ่ยขึ้นจากปลายสาย  ด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างชัดเจน

        [...เอริส!!...]

        "ไง"

        [...หายไปนานเลยสบายดีไหม?...]

        "ฉัน... ก็ดี"

        [...โทรมาป่านนี้...แสดงว่านอนไม่หลับอีกสิท่า...]

        "อืม"

        [...เดี๋ยวฉันให้หยางฟงร้องเพลงกล่อมนะ...]

        [...ไม่...เสียงฉันมีลิขสิทธิ์...]

        [...มีลิขสิทธิ์งั้นเหรอ...ว้าย~...]

 

        .

        . 

        'ฉัน...'

        'รู้คำตอบแล้ว'

 

        .

        .

        'ทำไม... ฉันถึงได้โง่...แบบนี้'

 

        กระดาษเนื้อเพลงที่เปื้อนหยดน้ำตาไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมฉันใด ...หัวใจของ 'หวังจื่อหลิน'  ที่รักมั่นต่อ 'หยางอี้ฟง'  เพื่อนรักเขาก็ไม่มีวันผันเปลี่ยนฉันนั้น

 

        'โง่ที่ทำให้ตัวเองเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า...'

        .

        .

        'หรือโง่'

        'ที่คิดช้าไปกันแน่'

 

        หมายเลขโทรศัพท์ของมีซอล  ยังคงรอให้เขากดโทรออกมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน  จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม  และแสงอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้า

        เอริสยังคงจ้องมองโทรศัพท์ของตน  และจมอยู่ในความสับสน

 

        'เหมือนตอนนั้น...'

        'ได้แต่ลังเล'

        .

        .

        'และสุดท้าย  มันก็ไม่เหลือเวลาอีกแล้ว...'

 

        ตู้ด...   ตู้ด...

 

        ระหว่างที่เอริสได้ยินเสียงสัญญาณรอสาย  มือข้างที่ถือโทรศัพท์นั้นบีบแน่นอย่างลืมตัว  จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบลง

        [...ฮัลโหล...มีซอลพูดค่ะ...]

        และแทนที่ด้วยเสียงหวานแหบเล็กๆ ที่แสนคิดถึง  วินาทีนี้เขาทำได้เพียงพ่นลมหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์  ทั้งที่เตรียมคำพูดเอาไว้ตั้งมากมาย  แต่ทำไมเมื่อต้องใช้มันจริงๆกลับพูดไม่ออก

        "มี...ซอล  ฉัน"

        .

        .

        "ฉัน..."

        เสียงสั่นเครือและสับสนของเขาที่ดังลอดออกมานั้น  ยิ่งทำให้เด็กสาวที่กำลังจะถอดใจ  หวนคืนกลับมามีความหวังอีกครั้ง

        [...ฉัน...กำลังจะไปค่ะ...]

        เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้  ตัวเองกำลังตัดสินใจทำอะไรที่ไม่ยั้งคิดลงไป  เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น  ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปในร้านเหล้าเพียงลำพัง 

        และเป็นเพราะเสียงของเขา  ก็ทำให้เธอหันหลังวิ่งออกมา  โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองมันอีกเลย

 

        ฝีเท้าเล็กก้าวขึ้นแท็กซี่และบอกจุดหมาย  โดยที่ยังคงคาสายของเขาเอาไว้  ...สายที่เธอได้ยินเพียงแค่เสียงสะอื้นเบาๆ  ดังลอดออกมาเท่านั้น

  

        ทันทีที่รถแล่นมาจอดตรงหน้าบ้านหลังใหญ่   ประตูรั้วอัตโนมัติก็ถูกเลื่อนเปิดช้าๆ  เผยให้เห็นใบหน้าซูบซีดที่เปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตา 

        เอริสอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงวอร์ม  กำลังมองมาที่เธอผ่านช่องว่างของหลังมือที่เขาใช้ปาดน้ำตา

        "เธอ...มาจริงๆ...ด้วย"

        มีซอนก้าวไปยืนอยู่เบื้องหน้าเอริสโดยที่เธอไม่รู้ตัว  และทำได้เพียงแค่เงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

 

        'เขา...ร้องไห้'

        'ทำไมเขาต้องร้องไห้?'

 

        มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวกัน  แต่มันจะมีวิธีไหนที่จะสามารถปลอบโยนชายตรงหน้าได้ 

 

        '...ฉันจะทำยังไง'

        .

        .

        'ฉันจะปลอบเขาได้ยังไง  โดยที่ไม่ต้องกอ...!!?'  

 

        มือเล็กที่กำลังเอื้อมไปลูบบ่ากว้างถูกกุมไว้  จนในที่สุดเธอก็เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาจนได้

 

        ...อ้อมกอดที่เธอไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน   และไม่เคยรู้เลยว่ามันช่างอบอุ่น  และทำให้รู้สึกปลอดภัยจนกระทั่งวินาทีนี้

 

        "กำลัง..."

        .

        .

        "รอฉัน...อยู่ใช่ไหม?" 

        อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้น  คือคำตอบที่เขามอบให้กับเธอ...

        ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก  ทั้งสองกำลังนั่งนิ่งๆ อยู่บนโซฟา  นอกจากมือที่กุมกันไว้แน่น  ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของพวกเขาอีกเลย  จะมีก็เพียงแต่เสียงโทรทัศน์ที่ฉายรายการวาไรตี้ตลก  ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคลอไปกับเสียงฝนเท่านั้น

 

        เอริสเหลือบมองเด็กสาวข้างกาย  และลูบนิ้วหัวแม่มือไปบนหลังมือของเธอเบาๆ  ด้วยความทะนุถนอม  โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมปล่อยให้อีกคนเป็นอิสระ

        "หิวไหม?"

        ในที่สุดเอริสก็เอ่ยทำลายความเงียบ  แต่มีซอลทำเพียงแค่ส่ายหน้า  ตอนนี้ต่อให้รู้สึกหิวเธอก็กินอะไรไม่ลงทั้งนั้น  และที่สำคัญเธอไม่สามารถขยับตัว  หรือหันไปสบตากับเขาตรงๆได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว 

        "ฉันกลับมาเป็นเมเนเจอร์ดีไหม?"

        คำพูดเปรยๆของเธอทำให้มือที่กุมกันอยู่แน่นแฟ้น  และแนบชิดมากขึ้น

        "แล้วที่บอกว่าอยากเป็นผู้กำกับ...?"

        "ก็อยากเป็นอยู่  แต่น้อยกว่าอาชีพที่คุ้นเคยนิดหนึ่ง"

        รอยยิ้มเขินผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ  ในขณะที่เอริสทำได้เพียงแค่ข่มความตื่นเต้น  ที่กำลังท่วมท้นภายในใจ  และจ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่ไม่อาจปกปิดความสุขเอาไว้ได้มิด

        "แบบนี้ต้องฉลองหรือเปล่านะ"

        "เนื่องในอะไรคะ?"

        "ต้อนรับเมเนเจอร์คนเดิมกลับมาไงคะ"

        "ทีวันเลี้ยงส่งล่ะไม่ยอมมา  แล้วจะมาฉลองอะไรเอาป่านนี้..."

        "บ่นอะไรพี่ได้ยินหมดนะ"

        "ก็ตามที่ได้ยินนั่นแหละ"

        ใบหน้าหวานเบะปากคว่ำด้วยความไม่พอใจ   แต่เรื่องในคืนนั้นมันเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดอยากจะจดจำ  จึงทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มให้เธอด้วยแววตาเอ็นดูเท่านั้น

        "ขอชดเชยให้ได้ไหม  ไหนเราเคยบอกว่าอยากชิมฝีมือพี่ไม่ใช่เหรอ?"

        "ไม่อยากชิมแล้ว"

        "ไม่อยากก็ต้องกินนะ  เดี๋ยวปวดท้องรู้ไหม"

        เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อย  และแววตาที่มองมานั้นก็กลับมาดูอบอุ่นอีกครั้ง... แววตาที่เธอแสนคิดถึงและเหมือนในตอนนั้นไม่มีผิด

 

        ความหนักอึ้งภายในใจที่สะสมมานานนับสัปดาห์ตั้งแต่วันที่เขาเริ่มเปลี่ยนไป  ค่อยๆเบาบางลงแต่ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากถามถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น  ร่างสูงก็ลุกขึ้นจากโซฟากะทันหัน

        จนเธอต้องรั้งแขนเขาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง  พลางส่งสายตาวิงวอนราวกับเด็กน้อย

 

        'ยะ...อย่าทำหน้าแบบนั้น...'

 

        ใบหูของชายหนุ่มแดงก่ำและร้อนผ่าวขึ้นมา   จนต้องเบือนหน้าหลบสายตาของเธอ  ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากขั้ว

        "ฉันไม่หิวเลยจริงๆ"

        .

        .

        "เรา...ดูทีวีกันต่อเถอะนะ"

        เธอพยายามต่อรองด้วยคำเชิญชวน  และสายตาออดอ้อนราวกับลูกแมว  จนทำให้เขายากจะปฏิเสธแต่...

        "ถ้าเราปวดท้องพี่จะตีนะ  อยากโดนตีหรือไง?"

        คำขู่แบบเดิมที่แสนคุ้นเคยของเขา  เมื่อมองในมุมของความรู้สึกที่ต่างไปอย่างตอนนี้  มันกลับเป็นคำขู่ที่น่าลองดีไม่น้อย

        "ก็ได้  แต่ถ้าไม่อร่อยไม่กินนะ"

        "มะเขือเทศผัดไข่แล้วกันเนอะ"

        เมนูโปรดนั้นทำให้เธอเผลอตาลุกวาวอย่างลืมตัว  และยอมปล่อยเขาเป็นอิสระก่อนที่จะลุกขึ้นถอดเสื้อคลุมออก  ถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมตัวลงครัวเป็นลูกมือให้เขา

 

        เอริสในชุดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลกำลังหั่นมะเขือเทศสุก  ท่าทางดูทะมัดทะแมงผิดกับเธอที่ทำได้แต่ยืนมอง  และช่วยหยิบของส่งให้พร้อมกับรอยยิ้มเป็นกำลังใจเขาเท่านั้น

  

        ติ๊ง!!!

        .

        ติ๊ง!!!

        .

        .

        ติ๊ง!!!

 

        เสียงข้อความดังขึ้นจากโต๊ะรับแขก  ทำให้มีซอลต้องเดินกลับไปดูและพบว่าข้อความเหล่านั้นไม่ได้ส่งมาให้เธอ

        "รุ่นพี่ยุนอาส่งข้อความมาล่ะ"

        "แปลกจัง  ปกติไม่ส่งข้อความนะ"

        "ใช่ไหม  พี่เขาจะโทรมาสั่งงานตลอดแล้วจะให้ฉันตอบยังไงอ่ะ?"

        "มือพี่เปื้อน  เราช่วยตอบให้หน่อยสิ 935285"

        เขาบอกรหัสเธอเสร็จสรรพ  จนสามารถเข้าถึงข้อมูลภายในเครื่องได้  

        "มีถ่ายโปรโมทแบรนด์น้ำหอมวันมะรืน  พี่ยุนอาถามว่าจะรับไหม?"

        "รับๆ"

        "แล้วโปรโมทเพลง  จะมีงานมีตฯไหม...ที่ไหน...เล่นกี่เพลงพี่เขาถาม"

        "มีก็ดีนะ  อยากจัดแบบไลฟ์เฮาส์ขอเป็นที่เดิมแบบเมื่อสองปีก่อน  ร้อง 6 เพลงก็พอ"

        เขาตะโกนกลับมาขณะที่เทไข่ร้อนๆลงในกระทะจนควันโขมง  กลิ่นหอมที่ลอยมาทำให้มีซอลรีบตอบข้อความของรุ่นพี่  และอยากชิมฝีมือของเขาเต็มแก่

 

        'อ้าว... เดี๋ยวนะ'

        'พี่ยุนอาถามว่าอะไรบ้างนะเมื่อกี้!?'

 

        เธออยากเคาะหัวตัวเองสักทีกับความจำที่สั้นเกินเยียวยาของตน  จนต้องเลื่อนขึ้นไปอ่านข้อความแรกตั้งแต่ต้น

 

        'อยู่ไหนนะ...?'

        .

        .

        'เจอแล้ว!!'

 

        แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ติดมาด้วยไม่ใช่เพียงแค่คำถามอย่างเดียว  แต่รวมไปถึงข้อความเก่าล่าสุดที่มาพร้อมกับรูปภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง  ซึ่งเธอจำได้ดีว่ามันคือภาพเดียวกับที่ติดอยู่ในใบประกาศรับสมัครฝึกงานเมื่อ 3 เดือนก่อน

 

3 เดือนก่อน

(ผู้ช่วย ลี ยุนอา)

 

        ผู้ช่วยลี : 'ตัดใจซะเถอะ ไม่มีหรอกคนหน้าตาแบบนี้ในโซล'

 

'ไม่มีก็ไม่เอาไง ผมบอกชัดแล้ว' : Me

 

        ผู้ช่วยลี : 'นายจะบ้าเหรอ ทำไมถึงได้พูดไม่รู้ฟังแบบนี้'

        ผู้ช่วยลี : 'คนของเรามันไม่พอนะ แล้วที่นายขอมันก็มากเกินไป อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม!?'

 

'ผมต้องการแค่เธอคนเดียวเท่านั้น' : Me

'ถ้าไม่ได้แบบนี้ผมก็ไม่เอา' : Me

 

        ภาพผู้หญิงในรูปนั้นเหมือนเธอราวกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมา  เพียงแต่ดูสวยสะพรั่งสมเป็นผู้หญิงมากกว่า

 

        'หวัง...จื่อหลิน'

 

        และในที่สุดความจริงก็ถูกไขจนกระจ่าง  ว่าทำไมนักร้องชื่อดังแบบเขา  ต้องมาสนใจไยดีเมเนเจอร์ฝึกหัด  แถมยังเป็นเพียงเด็กกะโปโลแบบเธอ

        "ตอบข้อความเสร็จแล้วเหรอ?"

        เสียงเข้มเอ่ยขึ้นขณะที่ยื่นหน้ามาใกล้  พร้อมกับจานมะเขือเทศผัดไข่ที่นำมาเสิร์ฟถึงที่   เพื่อหวังแกล้งให้เธอสะดุ้งและเกร็งแขนให้พร้อมสำหรับรับฝ่ามือพิฆาต

        "ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร"

        เธอเอ่ยเสียงเรียบและหันหน้าจอให้เขาดู

        วินาทีแรกที่เห็นภาพพร้อมบทสนทนาที่ปรากฏบนนั้น  ก็ทำให้ใบหน้าของเอริสซีดเผือด   เขาพยายามเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์คืนแต่ก็ไม่สำเร็จ

        "มีซอล  ฉันขอโทรศัพท์นั่นได้ไหม?"

        "ผู้หญิงคนนี้คือใคร!?"

        เธอถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น  ใบหน้าหวานที่มีความสุขและฉาบไปด้วยรอยยิ้ม  เริ่มเปลี่ยนไปเต็มไปด้วยความโกรธและสับสน

        "จื่อหลิน"

        "เธอคือใคร?"

        "เธอ... เป็น"

        ท่าทีอ้ำอึ้งของเขาทำให้เธอทั้งโกรธและสับสน  ในวันที่สมัครเธอไม่นึกเอะใจเลยด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นแบบนี้  คิดว่าแค่ตัวเองผมสั้นและหน้าคล้ายผู้หญิงในใบประกาศบนบอร์ดประชาสัมพันธ์  ที่ซีดจางและเลือนลางเพราะละอองน้ำเท่านั้น

        "คุณทำแบบนี้ได้ยัง!!"

        "มีซอนใจเย็นๆ  และฟังฉันอธิบายก่อนนะ..."

        "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น"

        "!!?"

        "แล้วก็ไม่มีวันเป็นด้วย!!!"

        โทรศัพท์ถูกปาคืนมาให้เขา  จนมุมของมันกระแทกอกเอริสอย่างแรง  แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกปวดร้าวและชาเท่านั้น

        "มีซอล  อย่าออกไป!!"

        และสมองของเขามันคงจะรวนไปแล้ว  ที่วิ่งตามเธอออกมาท่ามกลางพายุฝนแบบนี้

        "ปล่อย!!!"

        มีซอลยื้อแขนของตนไว้  แต่มือของเขาไม่ต่างอะไรจากกุญแจมือ  มันล็อกแน่นและฉุดรั้งร่างของเธอเอาไว้ไม่ให้วิ่งออกไปนอกรั้วบ้าน

        "ฉันจะกลับบ้าน!!"

        "มีซอล  ช่วยฟังพี่หน่อยได้ไหม"

        "ไม่เอาแล้ว ...ฉันไม่อยากเป็นเมเนเจอร์ของพี่อีกแล้ว!!!

        สิ้นเสียงหวานร่างเล็กก็ถูกรั้งเข้ามาในอ้อมกอดของเอริส  วินาทีนั้นเธอเกือบจะหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ 

        "ไม่...เอาแล้ว!"

        และพยายามดิ้นรนสุดกำลัง  แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงของเขาได้เลยแม้แต่น้อย

        "ฉันไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น!"

        "!?"

        .

        .

        "ไม่ยอมเสียใครไปอีกแล้ว"

        เสียงของเขาเกือบจะกลืนหายไปกับเสียงของสายฝน  แต่มันกลับดังชัดอยู่ที่ข้างหูของเธอพร้อมกับอ้อมกอดของเขา  ที่ยื้อร่างของเธอเอาไว้ไม่ยอมให้หนีไปไหน

 

        .

        .

        เอริสพาร่างเปียกชุ่มของมีซอลกลับเข้ามาในบ้าน  ทั้งสองเปลี่ยนชุดใหม่และกลับมานั่งบนโซฟาหลังเดิม  ราวกับเหตุการณ์เดจาวูที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนไม่มีผิด 

        มีซอลขยับตัวอย่างยากลำบาก  เมื่ออยู่ในชุดเสื้อตัวใหญ่ของชายหนุ่ม  และเมินเฉยไม่ยอมสบตากับเขาแม้แต่หางตา

        "อย่าไปเลยนะ"

        แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคงกุมมือเธอไว้แน่น   กลัวว่าเธอจะหนีออกไปอีกยามเมื่อเขาเผลอละสายตา

        มีซอลมองดูใบหน้าเศร้าหมองของเขาด้วยความรู้สึกสับสน  ทั้งที่โกรธแต่ลึกๆแล้วก็นึกสงสาร  ยิ่งคนที่ร่าเริ่งตลอดเวลาแบบเขาเมื่อทำหน้าเศร้าแบบนี้  ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวเศร้าหมอง 

        และบ้านที่ดูอบอุ่นหลังนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นดูน่าหดหู่ใจ  จนเธอไม่อยากอยู่ที่นี่เลยแม้แต่วินาทีเดียว

        "ฉัน...ขอโทษ"

        เขากุมมือเธอมาแนบอก  จนเธอสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่หน่วงช้า

        ในตอนนี้เธอแค่กำลังโมโหและสับสน  ทั้งที่ตอนแรกเข้าก็เห็นหน้าผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่แรก   แต่เป็นเธอเองต่างหากที่ยังคงดึงดันเข้ามาที่นี่ในฐานะเมเนเจอร์ของเขาจนได้

        "ช่วยอยู่ด้วยกันก่อนได้ไหม?"

        ในวินาทีนี้เธอเพิ่งได้รู้ว่าคำวิงวอนของเขามีผลต่อหัวใจของเธอมากขนาดไหน  ทั้งที่พยายามทำใจแข็งแต่เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาคู่นี้  เกราะกำบังที่สร้างขึ้นก็พังทลายลงต่อหน้า

        "ฉัน..."

        .

        . 

        "จะเป็นเมเนเจอร์ของคุณต่อก็ได้"

        "มีซอล!?"

        "แต่จะอยู่ในฐานะคิมมีซอล... ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นของคุณ"

        "ไม่ใช่...ของฉัน"

        คำพูดปริศนานั้นก่อให้เกิดคำถามที่ไม่อยากถามขึ้นภายในใจ

        "ไม่ใช่ของฉันมาตั้งแต่แรก..."

        "...?"

        "จื่อหลินเธอมีเจ้าของแล้วล่ะ"

        ความจริงจากปากเขาทำให้เธอเบาใจขึ้นมาทันที  และเผลอเปิดช่องให้เขาเขยิบกายเข้ามาใกล้  จนไหล่เบียดชิดกัน

        "และเธอ...อยากจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น..."

        ได้หมดทุกอย่างที่เธอปรารถนา  ขอเพียงแค่อย่าปล่อยเขาไว้ลำพังในคืนนี้ 

 

        สำหรับมีซอลแล้ว...

        เอริสมีเพียงแต่ความอบอุ่นที่มอบให้  และยอมเธอเสมอมา  จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย

        "ไหนๆ เราก็เปิดใจคุยกันแล้ว"

        .

        .

        "ฉันขอถามคุณข้อหนึ่งได้ไหม?"

        เอริสพยักหน้าและรั้งสะโพกของเธอ  จนร่างถูกดึงเข้ามาให้หัวเข่าเธอและเขาชิดกัน

        "ในสายตาคุณตอนนี้... "

        .

        .

        "ฉันยังเป็นตัวแทน  ของผู้หญิงคนนั้นอยู่หรือเปล่า?"

 

        คำถามของเธอนั้นเกิดความเงียบขึ้นอึดใจ   จนในที่สุดเอริสก็ยืดตัวขึ้นและที่พยายามเรียบเรียงคำพูด  ที่พันกันยุ่งให้คลี่คลายลงได้เสียที

        "ตั้งแต่ตอนที่เราสบตากันคืนนั้น ...ฉันก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันไม่ถูกต้อง"

        .

        .

        "และไม่เคยมองว่าเธอเป็นตัวแทนของใครอีกเลย"

        .

        .

        "เพราะว่าเธอ... แตกต่าง"

        ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ปอยผมที่เปียกชุ่มของมีซอล  และสบตาเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักอย่างไม่ปิดบัง 

        "และเธอก็ยังคงเป็นมีซอลน้อยของฉัน...แบบนี้ตลอดไป"

        "ซึ้งเป็นบ้า"

        เธอเอ่ยดักคอเขาด้วยความเขิน  และหวังทำลายบรรยากาศอันน่าโรแมนติกนี้ทิ้งเสีย

        "มีซอล..."

        "หืม?"

        "ขอ... ฉัน"

        .

        .

        "จูบเธอ..ได้ไหม?"

        ใบหน้าหวานแดงซ่าน  เมื่อถูกเอ่ยปากขอซึ่งๆหน้าแบบนี้

        "ถ้าฉันไม่ให้...แล้วพี่จะทำยังไง"

        "เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยบังคับเธอเลย"

        เขาไม่เคยบังคับหัวใจของเธอ  เพื่อทำในสิ่งที่สนองความต้องการของตัวเองเลยสักครั้ง  หลายสิ่งที่ผ่านมาเขาทำก็เพื่อตัวเธอเองทั้งนั้น

        "ไม่อยากทำให้หนูน้อยมีซอลขุ่นใจอีกแล้ว"

        สัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือที่ลูบศีรษะของเธอ  และคำพูดแสนดีของเขาก็ทำให้หัวใจของเด็กสาวบีบรัดตัวแน่นด้วยความละอายใจ

        เขาตามใจเด็กตัวแสบแบบเธอเสมอ  ไม่เคยขัดใจเลยสักครั้งจะมีแต่เธอที่ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจเขาอยู่ร่ำไป

 

        'เพราะว่าไม่ถูกชะตา'

        'และกลัวว่าจะเสียท่าให้กับผู้ชายแบบเขา  ถึงได้ก่อกำแพงสูงขึ้นมา'

        .

        .

        'แต่ตอนนี้เอริสได้พิสูจน์อะไรหลายๆ อย่าง...'

        'และดูเหมือนว่าเธอเองต่างหาก  ที่กำลังพยายามทุบกำแพงที่ตัวเองสร้างขึ้น  เพื่อข้ามไปหาเขา'

 

        "พี่อยากจูบฉันขนาดนั้นเลยเหรอ..?"

        เขาพยักหน้าเบาๆ และละสายตาจากเรียวปากอิ่มขึ้นมาสบตากับเธอ

        "แล้วมัวลังเลอะไรอยู่ล่ะ"

        .

        .

        "ฉันรอจูบของพี่มาตั้งนานแล้วรู้ไหม"

        .

        .

        'รอมาตลอดเลยล่ะ  🧡 '

 

THE END

เนื้อหาโดย: neptheduck
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
neptheduck's profile


โพสท์โดย: neptheduck
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: neptheduck
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
"ไข่ผำ" พืชจิ๋ว ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก"กองปริศนา" ปริศนาของเวทมนตร์ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิดข้อดี และ ข้อเสียของการดื่มกาแฟมีอะไรบ้าง อันตรายแค่ไหน
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ไข่ผำ" พืชจิ๋ว ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากคลังฟันธง! "ดิไอคอน" เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ต้องครบ 3 เงื่อนไข ร่วมวง DSI สรุปสำนวนคดี"กองปริศนา" ปริศนาของเวทมนตร์ที่อาจอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิดใครบอกว่า สัตว์น้ำไม่นอน วาฬนอน พิสูจน์ว่าปลาก็นอนเหมือนเรา8 อาชีพยอดนิยมสำหรับปี 2025
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
พร่างพราวกลางใจสมเด็จพระราชินีนาถรานาวาโลนาที่ 1 ทรราชย์แห่งมาดากัสการ์พระราชินีองค์สุดท้ายแห่งมองโกเลีย ผู้ถูกประหารชีวิตโดยคอมมิวนิสต์ (สมเด็จพระราชินีเกอเนอพิล)🌲ประตูสู่โลกที่ไม่เคยมีใครรู้จัก✨ตอนที่ 3: แสงแห่งจิตวิญญาณ
ตั้งกระทู้ใหม่