มีฝูงเดียวในโลก AU-23A Peacemaker กองทัพอากาศไทย

มีฝูงเดียวในโลก AU-23A Peacemaker กองทัพอากาศไทย

ครื่องบินโจมตี เอยู 23 พีชเมคเกอร์ ได้เข้าประจำการในกองทัพอากาศ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2515 จนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลากว่า ๕๐ ปี ได้ปฏิบัติภารกิจหลากหลายภารกิจ เช่น การลาดตระเวนติดอาวุธ การลาดตระเวนทางอากาศ การลำเลียงทางอากาศ การปฏิบัติการฝนหลวง การบินควบคุมไฟป่า และการปฏิบัติการจิตวิทยา ทั้งยังปฏิบัติภารกิจในเหตุการณ์สำคัญของประเทศชาติ ทั้งการป้องกันประเทศด้านความมั่นคง และด้านการพัฒนาประเทศ

เครื่องบินโจมตีและธุรการ AU-23A Peacemaker ได้บรรจุเข้าประจำการในกองทัพอากาศไทย เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2515 (1972) จำนวน 4 เครื่อง ที่ กองบิน 2 โคกกระเทียม จังหวัดลพบุรี อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธันวาคม 2515

บรรจุเข้าประจำการในฝูงบิน 202 ที่จัดตั้งเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2516(1973) บรรจุ AU-23A เข้าประจำการรวม 13 เครื่อง ในปี พ.ศ.2519(1976) รับมอบ AU-23A เข้าประจำการเพิ่มอีก 20 เครื่อง

เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 (1990) AU-23A จำนวน 11 เครื่องจากฝูงบิน 202 กองบิน 2 เข้าประจำการ ฝูงบิน531 กองบิน 53 ประจวบคีรีขันธ์ ทดแทนเครื่องบินตรวจการณ์ Cessna O-1 Bird Dog

เดือนตุลาคม พ.ศ.2539 (1996) AU-23A จำนวน 11 เครื่องจากฝูงบิน 202 กองบิน 2 ย้ายเข้ามาประจำการรวมกับ ชุดแรกที่ฝูงบิน 531 กองบิน 53 รวมเป็น 22 เครื่อง

พ.ศ.2543-2564(2004-2021) ปฏิบัติหน้าที่หน่วยบิน 9501 กองกำลังกองทัพอากาศเฉพาะกิจที่ 8 ปัจจุบัน AU-23A บรรจุประจำการในฝูงบิน 501 กองบิน 5 ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 12 เครื่อง

ในช่วงเวลาที่ภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ทวีความรุนแรงถึงขีดสุด AU-23A มีบทบาทอย่างมากในการปฏิบัติงานสนับสนุนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภาย

จนได้รับคำชมจากต่างเหล่าทัพและหน่วยข้างเคียงที่ปฏิบัติราชการด้วยกันเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และขบวนการโจรก่อการร้ายภาคใต้ตามแนวชายแดนไทย และการปราบปรามการก่อความไม่สงบภายในประเทศ

ในช่วงเวลาดังกล่าวฝูงบิน Peacemaker เคยมีหน่วยบินออกปฏิบัติราชการสนามถึง 8 หน่วยบินในเวลาเดียวกันคือ พิษณุโลก เชียงคำ น่าน สกลนคร วัฒนานคร นครศรีธรรมราช ตราด สุรินทร์

จากการมีหน่วยราชการสนามอยู่ทั่วประเทศนั่นทำให้ฝ่ายตรงข้ามหวั่นเกรงการมาถึงพื้นที่การรบของ AU-23A อย่างมาก โดยเฉพาะอำนาจการทำลายอันโดดเด่นของปืนใหญ่อากาศ M197 ขนาด 20mm สามลำกล้องหมุน ซึ่งยิงออกจากด้านข้างของเครื่องนั้นสามารถทำลายกองกำลัง โรงเรือน ที่มั่น และยานพาหนะของข้าศึกอย่างได้ผลดียิ่ง

จะเห็นได้จากสรุปบทเรียนจากการรบ ในหนังสือประวัติศาสตร์กองทัพอากาศในการใช้กำลังทางอากาศสนับสนุนการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่กล่าวสรุปได้ว่าอากาศยานที่มีผลต่อขวัญและกำลังใจของ ผกค.มากที่สุด คือเครื่องบินที่มีอำนาจการยิงด้านข้าง

ซึ่งสามารถยิงได้ตลอดเวลารอบเป้าหมาย ซึ่งก็คือ AU-23A Peacemaker และนอกเหนือจากนี้ก็ยังมีอากาศยานอื่นเช่น เครื่องบินโจมตีและลำเลียง Douglas AC-47 Spooky ที่ใช้ในภารกิจสนับสนุนการยิงเช่นเดียวกัน

ฝูงบิน AU-23A Peacemaker ได้เข้าร่วมในสมรภูมิสำคัญๆทั่วทุกภาคของประเทศไทย เช่น
-สมรภูมิภูหินร่องกล้า เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ.2517-2525(1974-1982)
-สมรภูมิห้วยโกร๋น ทุ่งช้าง จังหวัดน่าน พ.ศ.2521(1978)
-สมรภูมิผาตั้ง จังหวัดเชียงราย พ.ศ.2522-2524(1979-1981)
-สมรภูมิกุงชิง เขาช่องช้าง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ.2523-2525(1980-1982)
-สมรภูมิบ้านโนนหมากนุ่น จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ.2523(1980)
-สมรภูมิผาจิ ผาวัว จังหวัดน่าน พ.ศ.2525(1982)
-การปราบปรามกองกำลังขุนส่า จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ.2525(1982)
-ยุทธการสุริยพงศ์ 1,2,3,4 จังหวัดน่าน พ.ศ.2526-2527(1983-1984)
-การปักเขตชายแดนไทย-มาเลเซีย พ.ศ.2526-2528(1983-1985)
-ยุทธการบ้านชำราก บ้านสุขสันต์ จังหวัดตราด พ.ศ.2528(1985)

หลังจากภารกิจทางด้านการรบต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลดน้อยลงไปแล้ว ภารกิจของ AU-23A ก็มีการปรับตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย AU-23A ยังคงปฏิบัติภารกิจที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง เช่น ภารกิจลาดตระเวนถ่ายภาพทางอากาศสนับสนุนโครงการในพระราชดำริ และการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานต่างๆ ภารกิจปฏิบัติการฝนหลวง ภารกิจการบินโปรยเมล็ดพันธ์ไม้ ภารกิจปฏิบัติการจิตวิทยาทั้งการบินกระจายเสียงและโปรยใบปลิวในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการบินปล่อยควันสี และลากแผ่นผ้าในงานพิธีสำคัญๆ

เป็นเวลา 50 ปีมาแล้วที่เครื่องบินโจมตีและธุรการ AU-23A Peacemaker เข้าประจำการในกองทัพอากาศไทย จากเครื่องบินที่ถูกพัฒนาและทดสอบเพื่อนำไปใช้ปฏิบัติภารกิจการรบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(เวียดนาม)

แต่กองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ส่งเข้าทำการรบตามที่ตั้งใจไว้ และเมื่อกองทัพอากาศไทยได้คัดเลือกและตัดสินใจจัดหา AU-23A Peacemaker เข้าประจำการกลับพบว่าเป็นอากาศยานที่ทรงคุณค่า และสามารถปฏิบัติภารกิจสมตามคำมุ่งหมายที่กองทัพอากาศได้คาดหวังได้อย่างยอดเยี่ยม

ด้วยการแผนแบบและพัฒนาเหมาะสมกับภารกิจตั้งแต่ต้น ด้วยคุณลักษณะเฉพาตัวที่โดดเด่น และขีดความสามารถในการใช้อาวุธได้อย่างเหมาะสมกับภัยคุกคามของชาติในเวลานั้น รวมทั้งการปฏิบัติภารกิจได้อย่างหลากหลายอย่างที่ไม่เคยมีเครื่องบินแบบใดของกองทัพอากาศไทยทำได้มาก่อน

ทำให้การเข้าประจำการของ AU-23A ได้มีโอกาสปฏิบัติภารกิจเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติในยามสงครามและปฏิบัติภารกิจในการพัฒนาชาติอย่างได้ผลดีมาตลอด

สมรรนะและขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจของเครื่องบินโจมตีและธุรการ AU-23A Peacemaker

กางปีก 15.14 เมตร ยาว 11.23 เมตร มีความสูง สูง 3.73 เมตร น้ำหนักเปล่า 1,126 กก. ความเร็วสูงสุด 282 กม./ชม. ความเร็วเร็วเดินทาง 262 กม./ชม. เพดานบิน 6,950 เมตร พิสัยบิน 898 กม.

ติดตั้งปืนกลอากาศ M197 ขนาด 20mm

AU-23A ที่ยังคงปฏิบัติภารกิจรับใช้ชาติมาอย่างเข้มแข็งอยู่ทุกวันนี้ยังแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจของผู้ร่วมปฏิบัติงานทุกๆคนในความเป็นฝูงบิน Peacemaker เพียงฝูงเดียวในโลกนี้อีกด้วย