บุโรพุทโธ พุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จันทิโบโรบูโด (Candi Borobudur) เป็นคำเรียก บุโรพุทโธ ของคนอินโดนีเซีย "จันทิ" นี้มีความหมายว่า วัด เจดีย์ หรือวิหาร ที่มีขนาดใหญ่ ในขณะที่คำว่า "เจดีย์" ของคนอินโดนีเซีย จะหมายถึง สถานที่ทางศาสนาขนาดเล็ก ที่ใช้สำหรับครอบครัว ตระกูล หรือภายในหมู่บ้านเล็กๆ
จันทิโบโรบูโด เป็นพุทธสถานโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ.1323-1393 (ก่อนนครวัดราว 300 ปี) โดยการอุปถัมภ์ของกษัตริย์ ราชวงศ์ไศเรนทร์ (คำว่า “ไศเรนทรา” แปลว่า เจ้าแห่งขุนเขา)
พุทธสถานแห่งนี้ ไม่ได้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ แต่สร้างขึ้น เพื่อแสดงถึงศรัทธาในพุทธศาสนา แบบมหายาน และเป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์ ไว้ที่ฐานชั้นต้นๆ โบโรบูโด จึงเป็นการโยงปูชนียสถานในพระพุทธศาสนา เข้ากับการบูชาบรรพบุรุษ ตามธรรมเนียมของคนตะวันออก
โดยรวมๆ แล้ว โบโรบูโด จึงเกี่ยวข้องกับความหมายของ "วัด" และ "ภูเขา" สอดคล้องกับนามของผู้สร้าง ราชวงศ์ไศเรนทร ที่แปลว่า เจ้าแห่งภูเขา แต่อันที่จริง โบโรบูโด สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นพื้นที่ลุ่ม ในอดีต เมื่อฤดูน้ำหลาก จะถูกล้อมรอบด้วยน้ำที่ท่วมขัง มาจากแม่น้ำโปรโก ดังนั้น เมื่อมองจากที่ไกล หรือมองลงมาจากที่สุูง จึงเห็นโบโรบูโด เปรียบเสมือนดอกบัวขนาดใหญ่ ที่ลอยอยู่ในทะเลสาบ
หากมองจากที่สูงทางอากาศ บุโรพุทโธมีลักษณะเป็น “mandara” (มณฑล) ตามคติพุทธมาหายาน และตันตระยาน บุโรพุทโธ ในทางมหายาน จึงเป็นสัญลักษณ์ของ “จักรวาล” และอำนาจของ “พระอาทิพุทธเจ้า” โดยพระเจดีย์องค์ใหญ่บนยอดสูงสุดนั้น แทนองค์ “พระอาทิพุทธเจ้า” ที่ทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
ถ้ามองจากพื้นดินในระยะไกล บุโรพุทโธ คือ สถูปขนาดใหญ่ มีฐานสี่เหลี่ยม รองรับองค์สถูปและยอดสถูป หากเมื่อมองใกล้เข้ามา จะเห็นได้ชัดขึ้นว่า บุโรพุทโธ มีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม 2 แบบ คือ ส่วนบนเป็นองค์สถูป ตั้งอยู่บนลานวงกลม 3 ชั้น ลดหลั่นขึ้นไป ได้รับอิทธิพลแบบคุปตะอินเดีย ส่วนด้านล่าง เป็นรูปแบบปิรามิดขั้นบันได มีลานสี่เหลี่ยม เป็นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบชวาโบราณ ที่เรียกว่า “punden berundak ” (ปุนเด็น เบอรุนดัก)
ผู้เชี่ยวชาญ ได้วิเคราะห์โครงสร้างของบุโรพุทโธ พบว่า มีลำดับการสร้างอยู่ถึง 5 ขั้น ในช่วงเวลาเกือบ 80 ปีของการก่อสร้าง
ขั้นแรกสุด เป็นการสร้างฐาน 3 ชั้น บนเนินดินเก่าที่เป็นขั้นๆ อยู่เดิม สันนิษฐานกันว่า ในสมัยโบราณ อาจเป็นที่สำหรับทำพิธี บูชาวิญญาณของบรรพบุรุษ การใช้ที่เดียวกันนี้สร้างบุโรพุทโธขึ้น ในกาลต่อมานั้น อาจเพราะเล็งเห็นว่า เป็นบริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วก็ได้
ขั้นที่สองมีการเปลี่ยนแปลงบันไดทางขึ้น และขยายฐานให้กว้างขึ้น รวมทั้งสร้างชั้นสูงขึ้น คือชั้นที่มีฐานสี่เหลี่ยม 2 ชั้นและฐานวงกลมข้างบนอีกหนึ่งชั้น
ขั้นที่สามมีการดัดแปลงเพิ่มเติม โดยรื้อฐานวงกลมชั้นบนนั้นออก และสร้างฐานวงกลม 3 ชั้น สูงลดหลั่นขึ้นไปแทน นอกจากนี้ มีการสร้างเจดีย์บนยอดสุดขึ้น ในช่วงนี้ด้วย
ส่วนขั้นที่สี่และห้า มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ซึ่งรวมถึงให้มีการแกะสลักลายนูน และสร้างขั้นบันใด และทางเข้ารูปโค้ง เป็นที่สังเกตกันว่า แม้มีการดัดแปลง ต่อเติมโครงสร้างของบุโรพุทโธดังกล่าว แต่สัญลักษณ์สำคัญ ยังคงอยู่ที่องค์เจดีย์ชั้นบนสุด ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ที่อยู่ตามชั้นต่างๆ ลงมานั้น เป็นส่วนประกอบ เพื่อสื่อความหมายของบุโรพุทโธนั่นเอง
บุโรพุทโธ สร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านก้อน สกัดจากหินขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้แม่น้ำโปรโก ลากมาสู่ที่ก่อสร้าง ด้วยแรงม้าและช้าง มหาสถูป มีระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ลดหลั่นไป มีการตกแต่งด้วยภาพสลักที่ชั้นที่ 2 และ 3 แยกเป็นภาพสลักนูนต่ำ 1460 ภาพ และแผ่นภาพแกะ (panel) สำหรับประดับ 1212 แผ่น ส่วนที่ฐานล่างอีก 160 ภาพ และ รูปปั้นพระพุทธรูป 504 องค์ พระพุทธรูปแต่ละองค์ นั่งอยู่ภายในสถูป เจาะรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ล้อมรอบสถูปเจดีย์ประธาน
เมื่อมองดูรูปภายนอก ของบุโรพุทโธ อาจเห็นการแบ่งออกเป็น 3 ระดับ มีสันนิษฐานว่า การที่แบ่งพุทธวิหารแห่งนี้ออกเป็น 3 ตอนนั้น ช่างใกล้เคียงต่อศรัทธาของชาวพุทธ ที่แบ่งวิถีชีวิตออกเป็น 3 ชั้น เหลือเกิน คือ
ความหมายเชิงสัญลักษณ์ ระดับแรก เป็นกลุ่มชั้นฐาน ที่มีภาพ สื่อความหมายถึงการที่มนุษย์ ยังเกาะเกี่ยวอยู่กับกิเลส ตัณหา และการเวียนว่ายตายเกิด เรียกว่าชั้น “กามธาตุ” ชั้นนี้ มีภาพสลักที่น่าสนใจอยู่ถึง 160 ภาพ เป็นการเล่าเรื่อง “บาป บุญ คุณโทษ และกฎแห่งกรรม”
ระดับที่สอง คือกลุ่มชั้นของ “รูปธาตุ” แสดงถึงการที่มนุษย์ หลุดพ้นจากกิเลสทางโลกได้บ้าง แต่ก็ยังมีส่วนที่ยึดติดกับทางโลกอยู่ กลุ่มนี้มีอยู่ 5 ชั้น แต่ละชั้น มีทางเดินรอบ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผนังทั้งสองด้าน ที่ขนาบทางเดิน สลักเป็นเรื่องชาดก พุทธประวัติ และพระโพธิสัตว์มหายาน โดยรอบทุกชั้น มีซุ้มพระพุทธรูปรวมทั้งสิ้น 432 องค์ เป็นปางต่างกัน กล่าวคือ ชั้นที่ 1-3 ด้านตะวันออก เป็นปางภูมิผัสรา ด้านใต้ เป็นปางอภัยมุทราและประทานพร ด้านตะวันตกเป็นปางสมาธิ ด้านเหนือ เป็นปางแห่งความกล้าหาญ ส่วนชั้นที่ 4 และ5 เป็นปางแสดงเทศนาโดยรอบ
ระดับที่สาม คือกลุ่มชั้นของ “อรูปธาตุ” มี 3 ชั้น มีทางเดินเป็นวงกลมโดยรอบ แต่ละชั้นมีเจดีย์ครอบองค์พระพุทธรูป และพระโพธิ์สัตว์เรียงรายอยู่ ชั้นที่ 6 มี 32 องค์ /ชั้นที่ 7 มี 24 องค์ / ชั้นที่ 8 มี 16 องค์ แต่ละองค์ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.4-3.8 เมตร และสูง 3.5-3.75 เมตร ลานวงกลมชั้นล่าง มีเจดีย์ 32 องค์ ชั้นกลาง 24 องค์ และชั้นบน 16 องค์ สำหรับรูปสลักนูนต่ำ ที่ขั้นอรูปธาตุนี้ แสดงถึงพุทธประวัติ
ระดับสูงสุด มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่กว่าทั้งหมด อยู่ตรงกลาง ทรงระฆังคว่ำ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 เมตร สูง 35 เมตร (จากระดับพื้นที่ราบ) เป็นเจดีย์ทึบหนา ไม่มีพระพุทธรูปหรือสิ่งใด บรรจุอยู่ภายใน จากการเดินทางมา ของ ศ จำนงค์ ทองประเสริฐ เมื่อปี พ.ศ. 2502 บันทึกว่า ยอดหักไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อตอน พ.ศ.2443 ทราบว่า ยังมียอดสมบูรณ์อยู่ แล้วถูกฟ้าผ่าในปีนั้นเอง เจดีย์ได้รับความเสียหายอีกครั้ง เมื่อถูกระเบิด โดยกลุ่มหัวรุนแรงเมื่อปี พ.ศ.2530 ความหมายของชั้นนี้ เป็นชั้นของการปฏิบัติขั้นสูง หลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา ทั้งปวง
เป็นที่สังเกตว่า เจดีย์บนลานวงกลม 2 ชั้นล่าง มีช่องเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขนมเปียกปูน ส่วนลานวงกลมชั้นบนสุด เป็นช่องรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ตีความกันว่า เป็นชั้นสูงสุด หลังการหลุดพ้นแล้ว มีตำนานว่า ถ้าเราสามารถเอื้อมมือเข้าไปในเจดีย์ บนลานวงกลมชั้น 2 ที่อยู่ใกล้บันใดทิศตะวันออก โดยผู้หญิง สามารถแตะพระบาท หรือผู้ชาย แตะพระหัตถ์ของพระพุทธรูปที่อยู่ภายในได้ จะทำให้ความปรารถนา หรือการอธิษฐานเป็นจริง
ทางขึ้นบุโรพุทโธ มีทั้ง 4 ด้าน ดูเหมือนกันทุกด้าน ไม่สามารถบอกได้ว่า ด้านใดคือด้านหน้า แต่เมื่อพิจารณารูปแกะลายนูน ที่อยู่จากชั้นล่างสุดขึ้นมา เป็นเรื่องราวที่เริ่มจากด้านตะวันออกก่อน จึงควรเดินขึ้นบุโรพุทโธ ทางด้านตะวันออก จากชั้นล่าง ขึ้นไปสู่ชั้นสูงสุด ให้เดินเวียนทักษิณาวัตร บันใดขึ้นสู่แต่ละชั้น อยู่ต่อกันทุกชั้น ไปจนถึงองค์สถูปบนยอด ที่ฐานบันใดแต่ละชั้น มีประตูรูปโค้ง ที่มีรูปหน้ากาลอยู่บนยอด และแผ่นหินแกะสลัก เป็นลวดลายตามขอบ นอกจากนี้ มีรูปปั้นสิงโตตั้งคู่อยู่หน้าบันได ราวเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองผู้ที่จะเดินผ่านขึ้นไป ทั้งนี้ ตามความเป็นจริงนั้น ไม่มีเคยสิงโตอยู่ในเกาะชวา แต่สิงโต คือสัญลักษณ์ของอาณาจักรแห่งเจ้าชายสิทธัตถะ ในสมัยพุทธกาล
บูโรพุทโธ ถูกทิ้งร้าง ข้อสันนิษฐาน เรื่องการร้างของบุโรพุทโธ มีหลายทาง แต่ที่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้มากที่สุดคือ ถูกทิ้งร้างไปในช่วง ค.ศ. 928-1006 จากการที่กษัตริย์ Mpu Sindok ทรงย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรเมดัง หรือ มะตะรัม ไปที่ชวาตะวันออก หลังจากเกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นหลายครั้ง ต่อมาองค์เจดีย์ ก็ถูกเถ้าภูเขาไฟถมทับ ป่ารกทึบขึ้นบดบัง จนราว ค.ศ. 1814 Sir Thomas Stampford Raffles ผู้ปกครองชวาชาวอังกฤษ (อังกฤษปกครองระหว่างปี ค.ศ. 1811-1816) มีความสนใจในโบราณวัตถุ และศิลปะของชวาอย่างยิ่ง เขาได้เดินทางสำรวจไปทั่วเกาะ และได้ยินว่า มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ อยู่ในป่าทึบ เขาได้ส่งวิศวกรชาวดัทช์ และคนงานอีก 200 คน เข้าถางป่า จึงได้พบเจดีย์บุโรพุทโธ เขาได้รายงานไปยังอังกฤษ ข่าวนี้จึงแพร่ออกไป แต่ก็ยังไม่มีการขุดค้นอย่างจริงจัง เจดีย์ ยังจมอยู่ในกองเถ้าภูเขาไฟ
หลังจากนั้น มีผู้ปกครองชาวดัทช์ในเขต Kedu (ดัทช์ค่อยขยายอิทธิพล และขจัดอำนาจของยุโรปชาติอื่นออกไป) ชื่อ Hartmann เขามีความสนใจบุโรพุทโธโดยส่วนตัว จึงทำการขุดต่อไป จนกระทั่งปี ค.ศ. 1835 การขุดก็สำเร็จ เจดีย์ทั้งองค์ปรากฏขึ้น แต่เขาไม่ได้รายงานสิ่งที่พบ ไปยังทางการดัทช์ การสำรวจของเขา จึงไม่เป็นที่แพร่หลาย ต่อมารัฐบาลฮอลันดา ได้ส่งวิศวกรเข้ามาสำรวจอย่างเป็นทางการ ผลสำรวจ ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ. 1873
น่าอนิจจา ชิ้นส่วนงานศิลปะของบุโรพุทโธ ถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการ และของที่ระลึกหลายชิ้น ถูกส่งไปให้ประเทศต่างๆ และในครั้งที่รัชกาลที่ 5 ของสยาม เสด็จฯ เยือน เมื่อปี ค.ศ. 1896 ก็ได้รับอนุญาต ให้นำเอาประติมากรรม และภาพสลัก 8 คันเกวียน กลับมาไทยด้วย ประกอบด้วยภาพแกะสลักประดับผนัง 30 ชิ้น พระพุทธรูป 5 องค์ สิงห์ 2 ตัว เศียรสัตว์ประหลาด 1 หัว ทวารบาล 1 ตน ปัจจุบัน เก็บรักษาไว้ ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ