นักธุรกิจหลายพันล้าน กลายเป็นแค่ชายไร้บ้าน
อาสาสมัครดูแลคนไร้บ้าน เจอชายแก่คนนึง ผมเผ้ารุงรัง ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวแต่ก็มีแค่เสียผ้าบาง ๆ ขาด ๆ ใส่ แต่พอได้พูดคุยก็ทำให้ตกใจ
ก่อนหน้านี้ ชายคนนี้เคยเป็นนักธุรกิจหลายพันล้าน เคยออกสื่อมากมายหลายครั้งเกี่ยวกับความสำเร็จของธุรกิจของเขาที่มีโรงงานอยู่หลายแห่งมาก
ธุรกิจของเขาตอนรุ่งเรือง มีมูลค่าเป็นพัน ๆ ล้าน มีลูกน้องอยู่มากมาย แต่ตอนนี้เขาเป็นแค่ชายไร้บ้าน เดินเตร่ดเตร่ขอทานไปตามข้างถนน ตอนที่หิวบางทีก็ต้องไปคุ้ยขยะ เวลาที่ง่วงก็เอาลังกระดาษมาปูนอน อ่านแล้วขนลุกมากเลย ชีวิตที่เคยรุ่งเรืองแบบที่สุด ทำไมถึงตกลงมาต่ำที่สุดแบบนี้ก็ไม่รู้
ตั้งแต่ปี 2020 เขาเดินเตร่ดเตร่ไปตามถนนในเซินเจิ้น ส่วนใหญ่คนเห็นเขาได้ที่ย่านหลงกัง ชาวบ้านหลายคนรู้จักเขา เขาใช้เวลาทั้งวันในการคุ้ยถังขยะเพื่อเก็บหาของมีค่าและของกินประทังชีวิต จากนั้นก็สร้าง "ที่พัก" ชั่วคราวด้วยสิ่งของที่เก็บมาจากขยะ ส่วนใหญ่เขามักจะนอนอยู่ในสวนสาธารณะ
จากข้อมูลที่ตรวจสอบ เขามีบริษัทอยู่ 4 ที่ มีโรงงานผลิตอยู่ 5 - 6 แห่ง แต่ตอนหลังโรงงานของเขาถูกถอนใบอนุญาติ สาเหตุหลัก ๆ คือ ช่วงที่กิจการไปได้ดีและขยายใหญ่โต เขามองเห็นลู่ทางการส่งออกไปต่างประเทศมากมาย ดังนั้นเพื่อให้เพียงพอเขาก็เลยกู้เงินมาสร้างโรงงานเพิ่ม และตอนนั้นออเดอร์ก็หลั่งไหลไม่หยุด แต่ตอนหลังคนกลางที่รับสินค้าไม่ยอมจ่ายค่าสินค้า เพราะบอกว่าลูกค้าก็ไม่จ่ายมาเหมือนกัน จนเขาสะสมเป็นหนี้ก้อนใหญ่ พอเก็บเงินไม่ได้ มันก็สะดุดไปทีละอย่างเหมือนโดมิโน จนสุดท้ายไม่มีแม้แต่เงินจ่ายให้พนักงาน ส่วนธนาคารก็ฟ้องจนเขาล้มละลาย โรงงานถูกยึดทีละแห่ง ๆ จากนั้นก็ถูกถอนใบอนุญาตผลิตสินค้า
มาถึงตอนนี้สิ่งที่สร้างมาจนอายุ 75 ปีก็หายวับไปแทบหมด เขาช็อกมากจนรับความจริงไม่ได้ ก็เลยขับรถออกมาจากบ้าน พอรถน้ำมันหมดก็จอดทิ้งไว้ แล้วเดินไปเรื่อย ๆ แบบคนเลื่อนลอยไม่มีสติ มารู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นชายแก่ที่หลับนอนอยู่ข้างถนน ตามสวนสาธารณะ คุ้ยหาอาหารในถังขยะกิน ชีวิตที่สุดแสนจะรุ่งเรือง มีแต่คนมาพินอบพิเทา เดินทางต่างประเทศเป็นว่าเล่น คบหาแต่กับคนรวย ๆ กินอาหารมื้อใหญ่ ๆ ตามร้านดัง ๆ ตอนนี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว เหมือนฝันเลย
แล้วถามว่า เค้าไม่มีครอบครัวลูกเมียเหรอ ? อันที่จริงเขามี มีลูกชาย 2 คน ลูกสาว 1 คน และภรรยาอายุ 70 ยามมั่งมี เขาเลี้ยงดูลูก ๆ และภรรยาอย่างดี ส่งเธอไปช็อปปิ้งต่างประเทศแทบทุกเดือน ส่วนลูกสาวลูกชายล้วนจบจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศทั้งสิ้น แต่เหตุผลพวกเขาก็คือ " พ่อไม่ค่อยให้เวลากับพวกเรา เราล้วนเติบโตกันเอง มีแค่แม่กับคนดูแล ดังนั้นกับพ่อจึงไม่มีความสนิทด้วยเลย แถมหลายปีหลังยังมาทิ้งให้พวกเราลำบากอีก ถ้าจะให้รับกลับมาเลี้ยงดูก็อาจจะดูแลได้ แต่คงไม่ได้รู้สึกเหมือนว่าเป็นพ่อ " " พวกเราไม่ผิด พ่อเองที่ทอดทิ้งเราไปก่อน " ละเลยครอบครัว ละเลยลูก ๆ ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ก็เลยไม่อยากรับกลับบ้าน " พ่อน่าสงสาร แล้วพวกเราไม่น่าสงสารหรือไง "