คืนขวัญหาย !
คืนขวัญหาย
สมัยเด็กผมอยู่ซอยอินทรพิทักษ์แถววงเวียนใหญ่ ธนบุรีนี่เอง ถึงแม้ยามค่ำคืนจะมืดสลัวและเปล่าเปลี่ยว แต่พวกผมเดินเข้าๆ ออกๆ ตั้งแต่จำความได้จนอายุ 12-13 ขวบแล้วครับ ถือว่าเป็นถิ่นของเราเอง ไม่ต้องเกรงกลัวอันใดให้เสียเวลา
อ้อ! แต่ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยไว้วางใจ หรือหวาด ระแวงอะไรบางอย่างที่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็กลัวเหมือนๆ กันทั้งนั้น...กลัวผีไงครับ! บรื๋อออ...
ถึงแม้ว่าเกิดมาจะไม่เคยโดนผีหลอกซักครั้งเดียว แต่ไอ้ความกลัวภูตผีปีศาจที่เราไม่รู้จักนี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าเด็กคนไหนก็คนนั้น ลองไต่ถามดูเถอะครับ รับรองว่าร้อยทั้งร้อยกลัวผีกันทั้งนั้นแหละคุณเอ๋ย
วันดีคืนร้าย ผมกับเพื่อนซี้ชื่อไอ้นงก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!
ลืมบอกไปว่า "ไอ้นง"นี่เป็นผู้ชายนะครับ ไม่ใช่กระแดะชื่อนงนุชหรือนงคราญแบบผู้หญิงสมัยนั้น แต่มันชื่อ "ทนง"ครับ แหม...ฟังดูแมนซะไม่มี แต่เพื่อนฝูงชอบเรียกง่ายๆ ว่า "ไอ้นง?
สาเหตุเพราะค่ำนั้นเราอยากไปดูหนังที่เฉลิม เกียรติใกล้ๆ บ้าน ค่าดูคนละ 4 บาท 50 สตางค์ แต่อาศัยว่าเราคุ้นหน้าคุ้นตากับคนเฝ้าประตูก็เลยซื้อตั๋วแค่ใบเดียว เงินที่เหลือเก็บเอาไว้หม่ำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นกับไอศกรีมกะทิสดชุ่มฉ่ำก่อนกลับบ้าน
ที่ว่าซื้อตั๋วใบเดียวแต่เข้าได้สองคนน่ะไม่ใช่ว่าได้นั่งเก้าอี้คนละตัวนะครับ แต่ต้องนั่งเบียดกันบนเก้าอี้ไม้แข็งโก๊กตัวเดียว แถมใกล้จอซะจนต้องหันซ้ายหันขวามองตามดารา ไอ้นงมันถึงกับออกปากว่า "ใกล้จอจนกูเกือบเอื้อมมือไปจับนมนางเอกได้เลยว่ะ?
ก็ทะลึ่งตึงตังตามประสาเด็กผู้ชายกับเพื่อนฝูง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าใครเห็นว่าบาดหูบาดตาก็ต้องขอประทานอภัยอย่างแรง
"นักเลงป่าสัก"คือหนังบู๊เลือดท่วมจอสุดมันส์ พระเอกคือสมบัติกับนาท นางเอกคืออรัญญากับนัยนา เวลาฉากบู๊สะบั้นหั่นแหลกจะมีเสียงตบมือตีตีน เป่าปากเปี๊ยวป๊าว บ่งบอกถึงความสะใจแฟนหนังบู๊วัยมันส์ได้เป็นอย่างดี
เกือบสามชั่วโมงแน่ะกว่าหนังจะจบ เราออกมาโจ้ของโปรดแถวร้านแผ่นเสียงโรสซาวด์ตราดอกกุหลาบ ที่ทุกวันนี้กลายเป็นบริษัทใหญ่โตคือ อาร์เอสนั่นไงครับ
อิ่มหนำสำราญเรียบร้อยก็ชวนกันตีต๊อกเลี้ยวซ้ายกลับบ้าน!
จากแสงสีสดสวย สว่างไสว รถรากับผู้คนคึกคักน่าอบอุ่น กลับต้องเดินเข้าซอยอันมืดสลัว เงียบเชียบ อากาศในฤดูหนาวค่อนข้างเยือกเย็น...มีแต่เสียงฝีเท้าของเราดังเป็นเพื่อนเท่านั้น จนผมต้องหันหลังไปดูว่าจะมีใครเข้าซอยบ้านมา พอจะทำให้อุ่นใจได้บ้าง แต่ก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
เท่ากับในซอยเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ หน้าถังทุกร้านปิดสนิทหมดสิ้น...มีแค่เราสองคนตุหรัดตุเหร่เหมือนวิญญาณพเนจรร่อนเร่ไปตามลำพัง เล่นเอาปากคอแห้งผากจนต้องก้าวเท้าเร็วขึ้น
ก๊อกๆ ๆ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเสียงสะท้อนของรองเท้าเราเอง แต่เมื่อเราหยุดเดินเสียงนั้นก็ยังดังต่อไป แถมใกล้เข้ามาทุกที...เล่นเอาไอ้นงที่คงใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกันถึงกับถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก
"ได้เพื่อนแล้วโว้ยเรา..."ว่าแล้วมันก็หันไปมองพร้อมๆ กับผม ปรากฏว่าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดสีทึบกำลังเดินตามมาช้าๆ ท่าทางไม่รีบร้อนอะไร...แน่ล่ะ! ผู้ใหญ่อย่างเขาคงไม่มามัวหวาดกลัวเรื่องภูตผีปีศาจ เหมือนเด็กๆ อย่างเราแน่นอน!
น่าแปลกอย่างที่เขาเดินช้าๆ แต่กลับประชิดเราเข้ามาทุกที ขณะที่กลิ่นสาบสางกระจายมาเข้าจมูก เกือบพร้อมๆ กับหมาเจ้ากรรมที่ก้นซอยก็โก่งคอหอนโจ๋วเสียงเยือกเย็นจับใจ
"ไม่รู้จะเห่าหอนหาพ่อหาแม่อะไรของมัน"ไอ้นงด่าพึม เร่งก้าวยาวๆ โดยมีผมตามติด แต่เสียงฝีเท้าของชายประหลาดนั่นก็กระชั้นเข้ามาทุกที
กลิ่นเหม็นเหมือนหนูเน่ายิ่งตลบอบอวลมาเข้าจมูกจนแทบสำลัก ไอ้นงหันขวับไปมองอีกครั้ง คราวนี้เสียงเหมือนสำลักลมหายใจดังขึ้น ทำให้ผมต้องหันไปดูมั่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จนกระทั่งเสียงสั่นเครือแทบจะร้องไห้ของไอ้นงดังกระเส่า
"มึงเห็นมั้ย? มันเดินมาได้ยังวะ...ก็ขามันไม่มีทั้งสองข้าง!?
นรกเป็นพยาน! ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นเฉียบสาดโครมลงบนหัว เมื่อเห็นชายที่เดินตามหลังเรามาติดๆ นั่นมีร่างกายแค่ลำตัวท่อนบนเท่านั้นเอง!
โลกกำลังถล่ม ฟ้ากำลังทลาย สีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า เสียงไอ้นงร้องไห้โฮ...ส่วนผมวิ่งเตลิดไม่คิดชีวิต เสียงหมายิ่งเห่าหอนดังขรมถมเถ...พอเข้าบ้านได้ก็ล้มแผละ น้ำตาร่วงพรูเพราะสุดจะทนได้ไหว ...ตั้งแต่นั้นมาเราไม่ยอมกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อีกเลยครับ...บรื๋อส์!!