เด็กอุบาทว์ !
เด็กอุบาทว์
'สี่แคว' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรม
ผมเป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด สมัยหนุ่มใช้ชีวิตร่อนเร่ไปตามอำเภอใจ จนมาปักหลักทำงานในอู่ซ่อมรถยนต์ที่นครสวรรค์ มีเวลาว่างก็ขึ้นรถไฟล่องมากรุงเทพฯบ้าง ขึ้นเหนือไปจนถึงเชียงใหม่บ้าง แล้วต่อรถยนต์ไปเชียงรายอีกที
เพราะนิสัยชอบขึ้นรถไฟจับกระดูก นั่งฟังเสียงล้อบดรางกระหึ่มพลางชมวิวจากทางหน้าต่างแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ถ้ามีเวลาน้อยก็จะเดินทางไปใกล้ๆ เช่นที่พิจิตรหรือพิษณุโลก บางครั้งหน้าเทศกาลผู้คนแทบจะล้นรถ ผมต้องอาศัยยืนเกาะบันไดบ้าง ขึ้นหลังคาบ้าง ชีวิตชายโสดไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ทำให้ช่วยชีวิตโลด โผนได้เต็มที่ แสวงหาความตื่นเต้นได้สุดๆ
จนกระทั่งไปเจอะเจอเรื่องสุดหลอนเข้าที่เมืองสองแควเต็มรักเต็มใคร่!
ช่วงนั้นอยู่ในฤดูหนาวพอดี อากาศเย็นสบายไม่เหนอะหนะเนื้อตัวแบบฤดูร้อน เหมาะเจาะกับการท่องเที่ยว ผมจับรถกรุงเทพฯ-พิษณุโลกไปถึงปลายทางในตอนเย็น เข้าพักโรงแรมเล็กๆหลังสถานีรถไฟนั่นเอง
ใจจริงอยากนั่งรถไฟเล่นมากกว่า พอเปิดห้องที่ชั้นสองอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ลงมาเดินเตร็จเตร่แถวๆ นั้นแหละ ตกค่ำก็กลับไปแวะชั้นล่างของโรงแรมที่มีสุราอาหารพร้อมสรรพ สั่งเหล้าโซดา กับแกล้ม 2-3 อย่าง มาถึงละเลียด พลางมองดูความเคลื่อนไหวที่แปลกหูแปลกตาไปด้วย
แต่ที่สะดุดตาพวกผู้ชาย ไม่ว่าหนุ่มน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็คือผีเสื้อราตรีเริ่มโบยบินออกล่าเหยื่อหนาตาขึ้นทุกที!
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยสัมผัสเสียที่ไหน สมัยนั้น 20-30 บาทก็ถือว่าใช้การได้แล้วครับ แต่งหน้าทาปากฉูดฉาดอยู่ในแสงไฟ อกพุ่ง ตะโพกผึ่งผาย นัยน์ตาหยาดเยิ้มยั่วยวน ก็มักจะทำให้ผู้ชายที่กำลังมึนๆ มองเห็นพวกเธอเป็นนางฟ้าจำแลงได้ง่ายดาย
หน้าโรงแรมก็มีเดินสูบบุหรี่เตร่ไปมา บางคนก็นั่งไขว้ห้างโชว์ขาอ่อนอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ บางคนก็โฉบเข้ามาขอบุหรี่ ชักชวนขึ้นไปบนห้อง ครั้นผมส่ายหน้าเธอก็หลิ่วตายั่วเย้า นอนคนเดียวไม่กลัวผีเหรอพี่?!
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่อยากคุยว่า เกิดมายังไม่เจอะผีซักที!
ตอนดื่มดวดสุราเพลินๆ นี่ทำไมเวลาถึงผ่านไปเร็วนักก็ไม่รู้ แผล็บเดียวสามทุ่มกว่าแล้ว ผมสั่งเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วมากินให้หนักท้อง ตั้งใจว่ารุ่งเช้าจะไปไหว้ หลวงพ่อพระพุทธชินราชที่วัดใหญ่เป็นสิริมงคล ต่อจากนั้นจะเดินเที่ยวชมเมืองก่อนจับรถไฟกลับบ้าน
ราวสี่ทุ่ม ผมจ่ายเงินแล้วเดินขึ้นบันไดช้าๆ ผ่านเคาน์เตอร์แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางที่เปิดไฟไว้สลัวๆ บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล ผมไม่อยากคิดอะไรมาก ควักกุญแจห้องมาเตรียมพร้อมที่จะไขประตูเข้าไปนอน
เสียงฝีเท้ากึงๆ ดังขึ้นข้างหลัง ผมหันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อไม่เห็นใครเลย...เอ๊ะ! ยังไง? จะว่าหูแว่วก็ได้ยินชัดเจนนี่นา
หรือพิษเหล้าแบนใหญ่จะทำให้หูฝาดเฝื่อนไปเอง?
แต่เมื่อหันกลับจะเดินต่อไปก็ต้องชะงักอีกครั้ง...ขนลุกซ่าไปทั้งตัว!
นั่นคือ เด็กผู้ชายราว 10 ขวบกำลังจูงหมาดำตัวใหญ่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งๆ ที่เมื่อพริบตาก่อนทางเดินหน้าห้องพักยังว่างเปล่าอยู่แท้ๆ พอดีเด็กเจ้ากรรมนั่นค่อยๆ หันหน้าเชื่องช้ามายิ้มให้
คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด รอยยิ้มคล้ายแสยะดูร้ายกาจ โฉดชั่วน่าขนลุกขนพอง พร้อมๆ กับเดินเหมือนลอยห่างออกไปทุกที
ผมเผ่นอ้าวเข้าไปไขกุญแจมือไม้สั่น ไขผิดไขถูก พิษเหล้าเหือดหายไปหมดสิ้น ก็พอดีมีเสียงกึงๆ อย่างตอนแรกดังขึ้นอีกจากหัวบันได ว่าจะไม่หันไปมองก็อดไม่ได้
นรกเป็นพยาน! เด็กอุบาทว์นั่นกำลังจูงหมาดำตัวมหึมา นัยน์ตาแดงจ้าราวเปลวไฟจ้องเขม็ง ได้ยินเสียงหัวเราะแหบโหย สะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ...ผมโถมเข้าผลักประตูโครม ใส่กลอนเสร็จก็เผ่นขึ้นเตียงอกสั่นขวัญหายแทบจะช็อกตายคาที่
'นอนคนเดียวไม่กลัวผีเหรอพี่?'
เสียงของโสเภณีนางนั้นดังแว่วขึ้นในความทรงจำ อยากจะเก็บของเผ่นออกจากห้องก็ไม่กล้า กลัวจะเจอเด็กอุบาทว์กับหมานรกยืนรออยู่หน้าประตูน่ะซีครับ
รุ่งขึ้นไปกราบหลวงพ่อใหญ่ขอพรพระให้ช่วยคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ นานา แล้วบึ่งกลับนครสวรรค์ทันที! บรื๋อออ....