มนตราวายสะ ตอนที่ 5 ความขัดแย้งภายในฝูง (6)
+++++++++
“ขออภัย ข้าแค่คิดว่าการที่มีขนสีขาวแซมอยู่บนปีกมันก็แค่การผิดแปลกของพันธุกรรมหรือไม่ก็เป็นการสืบทอดมาจากดีเอ็นเออย่างที่ในโลกมนุษย์ได้มีการศึกษาค้นคว้ากันก็เท่านั้น” บุรินทร์ให้เหตุผลด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่ได้เรียนรู้จากโลกมนุษย์ และมันก็ทำให้เขาเชื่ออย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าเรื่องเวทศาสตร์เขาจะไม่เชื่อ พูดง่าย ๆ คือเขาเชื่อทั้งสองศาสตร์แต่เลือกที่จะเสนอในรูปแบบที่ต่างออกไป เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
“แต่ที่นี่คือหิมพานต์หาใช่โลกมนุษย์ไม่ เราก็มีกฎเกณฑ์ของเรา ไยจึงต้องเอาอย่างเขามาทุกอย่าง และเจ้าคงลืมไปแล้วใช่ไหมว่าผู้นำใช่จะมีแค่สัญลักษณ์ที่ปีกเพียงอย่างเดียว หากแต่มีอีกหลายอย่างที่กากุลิธรรมดาทั่วไปหามีไม่” ผู้เฒ่าสุระแย้งด้วยเหตุและผลเช่นกัน ตนไม่เคยพอใจที่ลูกหลานรุ่นใหม่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในโลกมนุษย์เป็นจำนวนมาก แถมเอาความคิดความอ่านแปลก ๆ มายัดเยียดให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง
“ข้าเห็นด้วยกับสภาสูง ทุกอย่างมีการลิขิตเอาไว้แล้ว ทั้งลักษณะและเวทศาสตร์บางอย่างที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด รอแค่การฝึกฝนให้แกร่งกล้าขึ้นเท่านั้น” หัสดีผู้นำเขตทางตะวันตกเอ่ยเสริมผู้เฒ่าสุระ
“อยู่ในโลกมนุษย์เวทศาสตร์แทบจะไม่จำเป็น ความเก่งกาจทางด้านการปกครองและการบริหารสิสำคัญ” แต่อีกฝ่ายใช่จะยอมยังหาเหตุผลมาหักล้าง
“ไม่จริงมั้ง เมื่อไม่กี่วันข้ายังเห็นท่านใช้เวทบางอย่างที่โลกมนุษย์อยู่เลย ส่วนเรื่องการบริหารนั้นเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ และอย่าลืมว่าการมีมันสมองที่เป็นเลิศนั้นถือเป็นอีกอย่างที่ผู้นำของเราได้รับมันมาตั้งแต่กำเนิด หรือท่านจะเถียงว่าท่านวายสะได้ไปเรียนรู้ และทำงานเพียงไม่นาน กลับทำมันออกมาดีมากซะจนทุกคนเอ่ยปากชม” หัสดีมองแล้วเหยียดยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่ออีกฝ่ายถลึงตา เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่แต่ไม่กล้าโต้แย้ง
“ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ ข้าคงไม่มีทางเลือก” จู่ ๆ วายสะที่นั่งนิ่งมาตลอดก็เอ่ยขึ้น เขากวาดสายตามองทุกคนในห้องประชุมอย่างไม่คิดจะเกรงกลัว แม้จะโดนคนที่ไม่ชอบใจมองด้วยสายตาวาวโรจน์โกรธเคือง แต่จากที่เขานั่งดูและฟังพอประเมินสถานการณ์ได้ว่า ถึงอย่างไรสภาสูงก็ไม่มีวันยอมรับการคัดเลือกอย่างที่ผู้นำในเขตทางเหนือและตะวันออกเสนอมาแน่นอน
“ในเร็ว ๆ วันนี้จะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หากทราบวันเวลาแน่ชัดเราจะแจ้งอีกครั้ง เลิกประชุม” ผู้เฒ่าเวทินที่รอเวลาอยู่เอ่ยสรุปและปิดประชุมทันที ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงโอดครวญจากคนเพียงไม่กี่คนที่มีความเห็นแปลกแยก
“เดี๋ยว นี่พวกข้าเสนอไปท่านไม่คิดจะฟังเลยอย่างนั้นหรือ”
“ข้ารับฟังมันยังไม่เพียงพออีกหรือ” ผู้เฒ่าเวทินย้อนถามด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมากลับเย็นเยียบ ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างต่างไม่กล้าจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ นอกจากเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปจากห้องประชุม
บุรินทร์กับพรรคพวกเดินออกมาอย่างหงุดหงิด เมื่อสิ่งที่ตัวเองเสนอไม่ได้รับความเห็นชอบ ทั้งที่ผู้นำนั้นแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลเหล่ากากุลิในโลกมนุษย์ แล้วไยไม่ใช้กฎเกณฑ์เหมือนโลกมนุษย์ใช้กันเล่า ยังมาใช้วิธีดักดานจากลักษณะบางอย่างเท่านั้น
“พลิศน์” บุรินทร์เรียกชายหนุ่มที่กำลังจะเดินเข้าอาคารหอประชุมใหญ่
“สวัสดีครับ” พลิศน์ก้มศีรษะทักทายผู้นำเขตทางตอนเหนือเล็กน้อย
“นายจะไปไหน” บุรินทร์ทักทายเรียกขานพลิศน์ในแบบมนุษย์ตามที่ตนถนัด
“พบท่านผู้นำคนใหม่ครับ”
“อย่าบอกนะว่านายจะแสดงเจตจำนงเป็นมือขวาต่อ” บุรินทร์ถามอย่างไม่ค่อยพอใจ ตำแหน่งมือขวาของผู้นำแต่ละรุ่นนั้นสามารถเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้นำ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปลี่ยนเพราะถือว่าคนเก่ารู้งาน แต่ก็มีเหมือนกันที่เปลี่ยนเอาคนที่รู้จักสนิทชิดเชื้อกันขึ้นมาแทน
“ครับ” พลิศน์ยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“นายไม่สมควรมาอยู่แบบนี้” บุรินทร์บอกอย่างรู้สึกเสียดายจนอดบ่นกับเจ้าตัวไม่ได้ “จริง ๆ คนที่ได้เข้าประชุมและรับตำแหน่งผู้นำในวันนี้ควรเป็นนายสิถึงจะถูก”
“อย่าเลยครับ” พลิศน์บอกอย่างถ่อมตัว
“ฉันอยากสนับสนุนนาย เห็นกันมานาน ฉันรู้ว่านายเก่งเกินกว่าจะเป็นแค่มือขวาของผู้นำนะรู้ไหม ทั้งประสบการณ์ คุณวุฒิ วัยวุฒิ”
“ขอบพระคุณมากครับที่ท่านเล็งเห็นความสามารถ แต่ทุกอย่างมันคือหน้าที่ที่ได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว ผมขอตัวนะครับ” ว่าแล้วพลิศน์ก็เดินผละออกไป
“อะไร ๆ ก็ถูกลิขิต เลือกเองไม่เป็นกันหรือไง” บุรินทร์สบถออกมาอย่างหงุดหงิด แล้วเดินนำขบวนบรรดาพรรคพวกกลับที่พัก
การประชุมใหญ่ของเผ่าพันธุ์จบ แต่การประชุมของพรรคพวกเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อสิ่งที่พยายามเสนอล่มไม่เป็นท่า
ปัง!
เสียงฟาดแฟ้มลงบนโต๊ะของบุรินทร์ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ทำให้ทุกคนถึงกับสะดุ้งสุดตัว และรีบพูดประจบ “ใจเย็น ๆ เถอะครับ คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจะได้ลิ้มลองอำนาจก็ไฟแรงอย่างนี้แหละ แต่เชื่อเถอะว่ายังไงก็สู้คนเก่งและฉลาดอย่างท่านไม่ได้หรอก” ลิ่วล้อป้อยอ ทั้งที่ในใจก็เริ่มหวั่นนิด ๆ เพราะแค่เริ่มต้น วายสะก็ไม่คิดจะปรานีคนผิดเอาเสียเลย เรื่องส่งพรรคพวกของตนไปไต่สวนที่หิมพานต์นี่ก็เกินความคาดหมาย จากที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะแค่จับส่งตำรวจดำเนินคดีที่นี่ ถ้าเป็นอย่างนั้นการช่วยเหลือมันอาจจะง่ายขึ้น แต่ถ้าถูกส่งตัวไปหิมพานต์บอกเลยว่ายากมาก การตัดสินค่อนข้างเคร่งครัดกว่าโลกมนุษย์หลายเท่าตัวนัก
“เดี๋ยวกูจะทำให้ไฟนี้เผามันให้วายวอดไม่ต่างกับพ่อแม่ของมัน” บุรินทร์บอกอย่างแค้นเคือง ว่าคนเป็นพ่อจัดการยากแล้วคนเป็นลูกดูท่าจะยากยิ่งกว่า
“แล้วคนของเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ” อีกคนถามอย่างสงสัย
“ถ้าทำได้จะมานั่งปวดหัวอยู่อย่างนี้เหรอ” บุรินทร์ตวาดถลึงตามองคนที่ถามแบบไม่คิด อย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามที่คาดเอาไว้ และถ้าขืนเป็นอย่างนี้ไปต่อเรื่อย ๆ เขานี่แหละจะตกที่นั่งลำบาก
“แล้วจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้เหรอครับ ผมกลัวว่าวันหนึ่งเราจะรับมือไม่ไหว” อีกคนเสนอความคิดอย่างหนักใจ
“ให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนมันอวดดีและได้ใจไปก่อนเถอะ จุดจบมันจะไม่ต่างกับพ่อของมัน” บุรินทร์ปรามาส
“เห็นด้วยอย่างยิ่งครับท่าน” อีกคนรีบเอ่ยเสริม ด้วยท่าทีประจบสอพลอ ทำเอาคนอื่น ๆ มองด้วยสีหน้าเหยียดหยัน
“พวกแกไปจัดการเรื่องที่สั่งให้ดีก็พอ ส่วนเรื่องวายสะ ฉันจะหาวิธีรับมือเอง อยากรู้นักว่ามันจะไปได้สักกี่น้ำกันเชียว” เขาอยู่มากี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว มีหรือจะมายอมเสียทีพลาดท่าให้กับเด็กที่เพิ่งจะเกิดเมื่อวาน ร้อนวิชาบ้าอำนาจไปเถอะ แล้วจะสั่งสอนให้ได้รู้ว่าคนที่มีอำนาจเหนือทุกคนในฝูงกากุลิในประเทศสารขัณฑ์นี้ คือบุรินทร์ผู้นี้หาใช่ผู้นำกระจอกงอกง่อยที่ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งสั่งงานชี้นิ้วไปวัน ๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อ่านล่วงหน้าที่เว็บอื่น ๆ
ธัญวลัย : https://bit.ly/3UbaXxJ
Readawrite : https://bit.ly/3Vcevkz
เด็กดี : https://bit.ly/3gBJtUi