เงินดิจิทัล 10,000 บาท ของเศรษฐา ทวีสิน : นโยบายที่ทั้งดีและไม่ดี
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยหนึ่งในนโยบายที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือ การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้กับประชาชนทุกคนที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด
นโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยคาดว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 5.6 แสนล้านบาท
แน่นอนว่า นโยบายนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาดังนี้
ข้อดี
- เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง โดยประชาชนสามารถนำเงินดิจิทัลไปใช้ซื้อสินค้าและบริการที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและแรงงาน
- ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
- เป็นการส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้เงินดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
ข้อเสีย
- ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการคลังของประเทศ
- อาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- อาจนำไปสู่การเก็งกำไรเงินดิจิทัล ซึ่งอาจทำให้ราคาเงินดิจิทัลผันผวน
โดยรวมแล้ว นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทของเศรษฐา ทวีสิน เป็นนโยบายที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินว่านโยบายดังกล่าวมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
แนวทางการพัฒนานโยบาย
เพื่อลดความเสี่ยงและข้อเสียของนโยบายนี้ รัฐบาลอาจพิจารณาแนวทางการพัฒนาดังนี้
- กำหนดเงื่อนไขในการได้รับเงินดิจิทัลให้ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าเงินดิจิทัลจะไปถึงมือประชาชนที่เดือดร้อนจริง
- ส่งเสริมให้ประชาชนใช้เงินดิจิทัลอย่างคุ้มค่า เพื่อไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
- กำกับดูแลตลาดเงินดิจิทัลอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเก็งกำไร
หากรัฐบาลสามารถพัฒนานโยบายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นโยบายนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ














