รู้เท่าทันแก๊งคอลเซนเตอร์
แก๊งคอลเซนเตอร์มีมานานหลายปี ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนารูปแบบกลโกงไปตามยุคสมัย โดยลักษณะกลโกงที่ใช้คือจะสุ่มเบอร์เพื่อโทรศัพท์ไปหาเหยื่อ หรือส่งข้อความ SMS โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ หรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ จากนั้นก็จะสร้างเรื่องหลอกลวงให้เหยื่อหลงเชื่อ โดยเป้าหมายคือ "นำเงินเหยื่อออกจากบัญชีด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง" เราจึงต้องรู้ให้ทันกลโกงมิจฉาชีพ โดยข้ออ้างที่มิจฉาชีพมักใช้หลอกเหยื่อมีดังนี้
- บัญชีเงินฝากถูกอายัด / เป็นหนี้บัตรเครดิต
ข้ออ้างที่มิจฉาชีพนิยมใช้มากที่สุด คือหลอกว่าเหยื่อถูกอายัดบัญชีเงินฝากและเป็นหนี้บัตรเครดิต เพราะเป็นเรื่องที่สามารถสร้างความตกใจและง่ายต่อการชักจูงเหยื่อให้โอนเงิน
ในปัจจุบันพบว่า มิจฉาชีพจะอ้างว่าเป็นพนักงานธนาคาร บอกข้อมูลได้ถูกต้อง แล้วแจ้งว่าเรามีหนี้บัตรเครดิต หากเหยื่อปฏิเสธก็จะบอกว่าอาจเป็นมิจฉาชีพที่ปลอมบัตรเครดิตเราแล้วเอาไปใช้ จากนั้นก็จะแนะนำให้รีบแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ ซึ่งมักอยู่ไกล เช่น อยู่ในต่างจังหวัด แต่ถ้าเหยื่อไม่สะดวกเดินทางก็จะอาสาว่าจะติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ ซึ่งก็จะส่งสายโทรศัพท์ไปให้ตำรวจตัวปลอม
- บัญชีเงินฝากพัวพันกับการค้ายาเสพติดหรือการฟอกเงิน
เมื่อมิจฉาชีพหลอกถามข้อมูลจากเหยื่อแล้วพบว่าเหยื่อมีเงินในบัญชีเป็นจำนวนมาก จะหลอกเหยื่อต่อว่าบัญชีนั้น ๆ พัวพันกับการค้ายาเสพติดหรือติดปัญหาการฟอกเงิน จึงขอให้เหยื่อโอนเงินทั้งหมดมาตรวจสอบ และก็จะหลอกเหยื่อว่าเมื่อตรวจสอบเสร็จแล้ว หากพบว่าไม่พัวพันกับการค้ายาเสพติดหรือการฟอกเงินก็จะโอนเงินคืนให้
- เงินคืนภาษี
ข้ออ้างคืนเงินภาษีจะถูกใช้ในช่วงที่มีการยื่นภาษีและมีการขอคืน โดยมิจฉาชีพจะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรแจ้งว่า เหยื่อได้รับภาษีคืนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะต้องยืนยันรายการและทำตามคำบอกที่ตู้เอทีเอ็ม แต่แท้จริงแล้วขั้นตอนที่มิจฉาชีพให้เหยื่อทำนั้นเป็นการโอนเงินให้กับมิจฉาชีพ
- โชคดีรับรางวัลใหญ่
มิจฉาชีพจะอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทหรือตัวแทนองค์กรต่าง ๆ แจ้งข่าวดีแก่เหยื่อว่า เหยื่อได้รับเงินรางวัลหรือของรางวัลที่มีมูลค่าสูง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อ จะหลอกเหยื่อให้โอนเงินค่าภาษีให้
5. หลอกขอข้อมูลส่วนตัว
มิจฉาชีพอาจอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน หลอกด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น อัพเดทข้อมูลส่วนตัว หรืออาจหลอกให้สมัครงานออนไลน์ เพื่อขอข้อมูลส่วนตัวสำคัญ เช่น วัน/เดือน/ปีเกิด เลขที่บัตรประชาชน ก่อนนำไปใช้ในทางทุจริต
- โอนเงินผิด
หลอกว่าโอนเงินผิดเข้าบัญชีของเหยื่อ ขอให้โอนเงินคืน เมื่อเหยื่อตรวจสอบยอดเงินและพบว่ามีเงินโอนเข้ามาจริง จึงรีบโอนเงินนั้นไปให้มิจฉาชีพ โดยที่ไม่รู้ว่าเงินที่โอนเข้ามานั้น เป็นเงินที่มิจฉาชีพหลอกมาจากเหยื่อรายอื่นให้โอนมาให้เรา เพื่อใช้บัญชีเราเป็นที่พักเงิน หรือเป็นเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย
- ได้รับเงินคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า หรือประปา
หลอกว่า ตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า หรือเจ้าหน้าที่ประปา โทรมาแจ้งให้เหยื่อทราบว่าได้รับเงินคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า หรือมิเตอร์ประปา ขอข้อมูลส่วนตัว หรือให้โอนเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
- การหาคู่หรือองค์กรต่าง ๆ
หลอกว่า เป็นชาวต่างชาติต้องการหาคู่ครองชาวไทย อาจจะอ้างตัวว่าเป็นเศรษฐีชรา ต้องการผู้ดูแล หรืออาจจะหลอกว่าเป็นผู้ใจบุญ ต้องการให้ความช่วยเหลือ โดยจะโอนเงินมาให้ใช้ แต่ให้เหยื่อโอนเงินจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน
- อ้างตัวเป็นคนมีชื่อเสียง
โดยจะหลอกว่าเป็นคนมีชื่อเสียง ต้องการความช่วยเหลือด้านการเงินจำนวนหนึ่งโดยด่วน หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วน แต่ไม่สะดวกในการทำธุรกรรมในการโอนเงิน จึงขอให้โอนให้ก่อน เมื่อเสร็จแล้วจะโอนกลับมาให้พร้อมดอกเบี้ยจำนวนมาก
วิธีป้องกัน
- มีสติทุกครั้งเมื่อรับสายโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย หรือหากมีการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานใด ไม่แน่ใจ ให้รีบวางสาย แล้วติดต่อไปยังหน่วยงานที่อ้างถึง อ้างถึงใครให้สอบถามคนนั้น (ควรค้นหาเบอร์โทรติดต่อกลับเอง)
- ไม่โลภ หากมีคนบอกว่าเราได้รับรางวัล หรือได้ส่วนลดพิเศษเกินจริง ควรเอะใจไว้ก่อนว่าเป็นไปได้หรือไม่
- ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ แม้ผู้ติดต่อจะอ้างว่าเป็นหน่วยงานราชการหรือสถาบันการเงิน
- ติดตามข่าวสารกลโกงเป็นประจำ เพื่อรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกง
- หากมีคนโอนเงินผิดบัญชีมาที่บัญชีเรา ไม่ควรโอนเงินคืนเองควรสอบถาม call center หรือสาขาของธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่ให้ดําเนินการตรวจสอบรายละเอียด หากตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ธนาคารแล้วเป็นเงินที่โอนผิดบัญชีมาจริง ให้เรายินยอมให้ธนาคารดําเนินการโอนกลับไปยังบัญชีต้นทางต่อไป