10 เพื่อนร่วมงานแบบนี้ และวิธีรับมือกับเพื่อนร่วมงานนิสัยไม่ดี
การรับมือกับเพื่อนร่วมงานตัวป่วน 10 แบบ หรือบางทีหากตัวเราเข้าข่าย 1 ใน 10 แบบนี้ก็ต้องรีบปรับปรุงตัวกันโดยด่วน หากไม่อยากโดนแบนจากเพื่อนร่วมงานของเราเข้าเสียเอง
1 . ซุบซิบ ใส่ไฟ แบ่งพรรคแบ่งพวก
เพื่อนร่วมงานประเภทนี้รักการ gossip เป็นชีวิตจิตใจ หากเมาท์มอยกันขำ ๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเริ่มหนักข้อใส่ร้าย ใส่ไฟ แล้วนำไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวก ปล่อยไว้ต้องมีการเมืองในองค์กรตามมาแน่นอน หากเจอคนแบบนี้ พยายามจับแยกให้อยู่กลุ่มใครกลุ่มมัน ซึ่งส่วนใหญ่ตัวเขาจะมีกลุ่มของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนเราก็ให้วางตัวเป็นกลาง สามารถเข้าไปพูดคุยได้กับทุกกลุ่ม แต่คุยเฉพาะเรื่องงาน หากมีการคุยเรื่องส่วนตัวก็ให้เราหลีกเลี่ยงเดินหนีออกมา พยายามคุยเรื่องส่วนตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วอย่าให้ความสนใจ หากไม่มีใครฟัง คนชอบเมาท์ก็จะเงียบไปเอง
2. ชอบโบ้ย โยนความผิด
คนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง ถนัดเรื่องเอาความดีใส่ตัวแล้วโยนความชั่วให้คนอื่น ถ้าร่วมงานด้วยต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะอาจถูกแทงข้างหลังเข้าให้ หรืออาจอาศัยทีเผลอเจอเล่ห์กลทำให้งานของเขากลายมาเป็นงานของเราเสียได้ วิธีรับมือคนเหลี่ยมจัด เข้าใกล้เท่าที่จำเป็นต้องร่วมงานด้วย ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด มีสติ อย่าหลุด และต้องมีหลักฐานว่าเราทำอะไร เขาทำอะไร และมีข้อตกลงร่วมกันอย่างไร
3. จอมเอาเปรียบ ชอบโยนงาน
เพื่อนร่วมงานชอบเลือกงานน้อย ๆ ไปทำ และให้เราทำงานเยอะ เลือกทำงานง่าย ๆ เหลืองานยาก ๆ ให้เราทำ หรือทำแต่งานที่เอาหน้า ให้เราทำแต่งานเอกสารอยู่เบื้องหลัง จะต้องทำอย่างไร เมื่อเริ่มรู้สึกว่ากำลัง ถูกเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ ก่อนอื่นให้เปิดใจพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน แต่ควรพูดเมื่อเราไม่อยู่ในอารมณ์โกรธแล้ว พูดคุยกันด้วยเหตุผล พูดอย่างตรงไปตรงมาไป บอกให้เพื่อนรู้ว่าเรารู้สึกไม่สบายใจอย่างไรบ้าง เราไม่ชอบพฤติกรรมส่วนไหนของเขาบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว หากการพูดคุยกันไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ อาจต้องขอให้หัวหน้าช่วยเหลือ ให้ตักเตือนเพื่อนร่วมงานที่กำลังสร้างความเดือดร้อนให้เรา
4. ประจบประแจง เลียแข้งเลียขา
พวกที่ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยการประจบประแจง เลียแข้งเลียขา มักทำให้บรรยากาศในการทำงานไม่สร้างสรรค์ ที่น่าเจ็บใจก็คือคนไหนเลียเก่งยังสามารถแย่งผลงานหรือการเลื่อนขั้นมาจากคนทำงานจริงที่ควรได้รับรางวัลได้อย่างแท้จริงไปอีกด้วย เจอแบบนี้ให้แก้เกมกลับด้วยการพยายามแย่งความสนใจกลับคืนมาจากพวกชอบเลียด้วยผลงานเจ๋ง ๆ หรือการแสดงความคิดเห็นด้านการทำงานอย่างเฉียบแหลม รับรองว่าเจ้านายต้องสนใจคนมีความสามารถตัวจริงเสียงจริงอย่างแน่นอน
5. หลอกใช้ แย่งผลงาน
คนประเภทนี้มาในรูปแบบคนปากหวาน คอยถามเราเกี่ยวกับเรื่องงานอยู่เรื่อย และชอบให้เราทำงานให้ดูเป็นตัวอย่าง พอรู้สึกอีกที เราก็ทำงานให้เขาจนเกือบเสร็จแล้ว เสียเวลาไปเปล่า ๆ โดยยังไม่ได้ลงมือทำงานของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เจอคนแบบนี้ไม่ต้องอวดภูมิ แกล้งทำเป็นไม่รู้บ้าง ให้คำแนะนำเพื่อนแค่พอสมควร แล้วหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเอง ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดจะดีกว่า
6. ชอบอู้งาน เช้าชามเย็นชาม
เวลางานเข้า เพื่อนร่วมงานจอมอู้ชอบแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เรียกก็จะไม่ค่อยหัน ทำเป็นยุ่งวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คุยโทรศัพท์ กินกาแฟ เดินหลบไปอยู่ตามมุมต่าง ๆ งานการที่ได้รับมอบหมายก็ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย พลอยทำให้คนที่ต้องทำงานต่อเนื่องทำงานช้าไปด้วย เจอคนแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือเข้าไปต่อว่าตรง ๆ เพราะจะโดนทำมึนใส่ ทางที่ดีควรบอกกับหัวหน้า เพื่อให้หัวหน้าได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้งานล่าช้า แล้วลงมือจัดการกับเรื่องนี้ต่อไป
7. อีโก้สูง เจ้าอารมณ์
ไม่ว่าเราจะพูดอะไรหรือทำอะไรก็มักจะผิดเสมอในสายตาของเพื่อนร่วมงานอีโก้จัด แถมยังชอบโวยวาย หัวร้อนตลอดเวลา พูดจาดูถูกหรือพูดข่มให้เราหน้าแตกอยู่บ่อย ๆ เจอแบบนี้แนะนำให้ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี อย่าเผลอแสดงอารมณ์ร่วมไปกับเขา เพราะจะทำให้คนประเภทนี้ได้ใจ ทำตัวตามปกติ คุยงานต่อไป ทำเหมือนว่าเราไม่ได้ใส่ใจกับนิสัยแย่ ๆ แบบนี้ พยายามถามเขาถึงเรื่องงานอยู่เสมอ เพื่อให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเก่งและสำคัญ เอาอีโก้ของคนเหล่านี้มาช่วยงานเราให้เกิดประโยชน์ ดีกว่าต้องไปเสียเวลาทะเลาะด้วย
8. ปากอย่างใจอย่าง
เพื่อนร่วมงานประเภทนี้ไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะปากพูดดีด้วยกับเรา แต่ในใจกลับตรงข้าม ไม่มีความจริงใจให้ใคร ๆ ทั้งสิ้น ข้อดีของเพื่อนร่วมงานแบบนี้คือทำงานด้านการสื่อสารได้ดี เข้าสังคมเก่ง เก็บอารมณ์ได้เยี่ยม แต่พวกเขาก็มีจุดอ่อนตรงที่ชอบประมาท คิดว่าคนอื่นไม่ทันความคิดตัวเอง ดังนั้นต้องทำตัวให้รู้เท่าทันคนเหล่านี้ เวลาทำงานด้วยกันต้องชัดเจน ไม่ยืดเยื้อ ไม่เช่นนั้นเราจะโดนหาผลประโยชน์อย่างแน่นอน จำไว้ว่าคบเพื่อนแบบนี้ไว้เพื่อเข้าสังคมเท่านั้น อย่าหวังความสัมพันธ์ระยะยาวโดยเด็ดขาด
9. ชอบอ่อย ขี้หลี แทะโลม
บางครั้งคนชอบอ่อยชอบหลีก็มาในลักษณะของคนขี้เล่น ร่าเริง เฮฮา เข้ากับคนง่าย แล้วเขาก็อาศัยช่องทางนี้เข้ามาคุกคามเราได้อย่างน่าอึดอัด วิธีรับมือก็คือให้เราวางตัวให้น่าเกรงใจ พูดจาขึงขัง ทำสีหน้าจริงจัง ไม่คุยเรื่องส่วนตัว คุยแต่เรื่องงานอย่างเดียว อย่าเผลอเล่นด้วย เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องชู้สาวตามมาได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเราไม่ได้อยากเล่นด้วยเลยสักนิด
10. ติดแชท ติดไลน์ เล่นโทรศัพท์ทั้งวัน
เพื่อนร่วมงานจอมน่ารำคาญประเภทนี้มาแรงพร้อม ๆ กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิต คนประเภทนี้ติดแชทจนไม่เป็นอันทำงานทำการ แถมยังก่อความรำคาญให้เพื่อนร่วมงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากเสียงที่รบกวนแล้ว ยังทำให้เพื่อนร่วมงานต้องรอคอยงานจากพวกเขา หรือไม่สามารถหาจังหวะเข้าไปซักถามเรื่องงานที่คั่งค้างไว้ได้ ส่งผลให้งานล่าช้ามากกว่าเดิม ทางที่ดีให้ลองสะกิดหัวหน้าให้ส่งงานเร่งด่วนให้พวกติดโซเชียลแบบนี้ จะได้ไม่มีเวลาทำเรื่องไร้สาระอีกต่อไป
คนเราต่างจิตต่างใจ ต่างนิสัยใจคอ มีพื้นเพที่มาแตกต่างกัน ร้อยพ่อพันแม่ ไม่มีใคร perfect สมบูรณ์ดีพร้อมทุกประการ ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมกันทำงานด้วยกัน ก็ต้องเรียนรู้วิธีรับมือจัดการกับคนแต่ละแบบ แตกต่างแต่ไม่แตกแยก และคนทำงานมืออาชีพย่อมต้องแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวได้เสมอ ไม่ว่าจะเจอคนแย่แค่ไหน เพียงแค่มีสติ แล้วจัดการให้เหมาะสม
บางครั้งการที่เราต้องร่วมงานกับคนที่เป็น Passive-Aggressive เป็นอะไรที่น่าเหนื่อยหน่าย เพราะนอกจากจะคาดหวังความช่วยเหลือจากคนแบบนี้ไม่ค่อยได้แล้ว เรายังต้องเจอพฤติกรรมที่สร้างพลังลบในการทำงานอยู่เรื่อย ๆ แต่ยังไงก็ตามมันก็พอมีวิธีรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นคน Passive-Aggressive อยู่นะ
มองให้ลึกลงไปถึงสาเหตุและพยายามทำความเข้าใจ
ทุกการกระทำมีที่มาที่ไปเสมอ แม้แต่การพูดจาประชดประชัน กระแทกแดกดันหรือการทำน้ำเสียงไม่พอใจใส่ ยังไงก็ตามให้คุณมองข้ามสิ่งเหล่านี้และวิเคราะห์ให้ลึกลงไปถึงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเป็นคนที่มีท่าทีแบบนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วการกระทำเหล่านี้มักเกิดจาก “ความกลัว” ในหลาย ๆ รูปแบบไม่ว่าจะเป็น การกลัวถูกปฏิเสธ กลัวว่าตัวเองจะไม่ดีเท่าคนอื่น ๆ หรือถ้าไม่ใช่ความกลัวก็อาจจะเป็นที่ตัวเขาเองที่มีทักษะด้านการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ยังต้องตั้งคำถามต่อไปอีกว่าการที่เขาเลือกที่จะมีพฤติกรรม Passive-Aggressive ทำให้เขารู้สึกว่ามันส่งผลดีกับเขายังไงบ้าง เช่น เขาอาจเอาเราไปนินทาเพื่อให้ตัวเองเข้ากับคนในทีมได้ ถ้าเรารู้สาเหตุและเข้าใจแรงจูงใจตรงนี้แล้ว เราก็จะมองคนคนนั้นอย่างเข้าอกเข้าใจและแก้ปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมได้อย่างตรงจุดมากขึ้น
คำถามถัดมาที่ต้องนำมาวิเคราะห์คือ “สิ่งที่เขาทำนั้นสื่อความต้องการลึก ๆ ว่ายังไง” เพียงลองสังเกตให้ดีว่าในแต่ละการกระทำของเขามีความหมายแฝงมาด้วยรึเปล่า เช่น การที่เขาจิกกัดชิ้นงานของเราแรง ๆ อาจเป็นเพราะเขามองเห็นว่าเป็นการทำงานที่ไม่เวิร์ก ถ้าเราสืบจนเจอความต้องการลึก ๆ ของเขาแล้ว เราอาจจะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ให้ตัวเองได้อีกด้วย
ยิ่งเราร้ายกลับก็ยิ่งเข้าทางเขา ใจเย็นเข้าไว้คุมอารมณ์ให้ดี
บางครั้งการกระทำของคน Passive-Aggressive อย่างความดื้อรั้น การปฏิเสธที่จะแก้ไขงานตามคำคอมเมนต์จากเราโดยไม่อธิบายเหตุผล ก็สามารถสร้างความรู้สึกหงุดหงิดใจได้ไม่น้อย แต่ยังไงซะ อย่าได้แสดงท่าทีหรือกิริยาแบบเดียวกันสะท้อนกลับไปเด็ดขาด เบรกตัวเองไว้ก่อน เวลาเจอคนแบบนี้มันต้องใจเย็นให้มากที่สุด เพราะไม่แน่ว่าสิ่งที่คนที่มีพฤติกรรม Passive-Aggressive ต้องการก็คือปฏิกิริยาสวนกลับ ในเมื่อเขาอยากหลีกเลี่ยงการพูดตรง ๆ เขาจึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อให้ให้มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น การที่เราโต้กลับไปนอกจากจะทำให้เราดูไม่เป็นมืออาชีพแล้วยังเข้าทางเจ้าตัวอีกต่างหาก
ปรึกษากับเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ ช่วยกันหาทางออก
ถ้าคุณมีความรู้สึกว่าได้เจอกับพฤติกรรมที่เหมือนจะเข้าข่าย Passive-Aggressive จากเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ไม่มั่นใจว่าคิดไปเองคนเดียวรึเปล่า กลัวว่าคิดมากเกินไปทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่มีอะไรเลย คุณสามารถลองหาช่วงจังหวะพักเบรกสั้น ๆ ไปปรึกษากับเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ เล่าให้เขาฟังว่าที่คุณเจอมามันเป็นอะไรที่ต้องเก็บเอามาวิตกรึเปล่า ถ้ามีคนช่วยเราวิเคราะห์สถานการณ์ มันก็จะทำให้อะไร ๆ ชัดเจนมากขึ้นว่าตอนนี้เราแค่คิดมากไปเอง หรือว่าเรื่องที่เราเจอมันไม่ใช่เรื่องปกติแต่เป็นพฤติกรรม Passive-Aggressive จริง ๆ แล้วไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่แค่เราที่เจอ เพื่อนร่วมงานที่เราเลือกไปปรึกษาเองก็อาจจะเคยเจอพฤติกรรมที่คล้าย ๆ กันจากเพื่อนคนนั้นมาแล้วเหมือนกันก็ได้ แค่เขายังไม่เคยเอามาปรึกษาใคร
สิ่งสำคัญในการสนทนาแบบนี้คือต้องเป็นการคุยเชิงเล่าปัญหาและปรึกษาเพื่อหาทางให้ยังทำงานร่วมกับคนคนนั้นได้ ไม่ใช่เพื่อเป็นการเมาท์อย่างสนุกปากและพากันรุมเกลียดเพื่อนคนนั้น
ปกป้องใจตัวเอง สร้างกำแพงให้หนาพอ
เมื่อรู้สึกรำคาญใจ หรือรู้สึกดาวน์เพราะการกระทำของคนที่เป็น Passive-Aggressive มันสร้างพลังลบต่อจิตใจในที่ทำงาน มีคนเดียวที่จะปกป้องสภาพจิตใจของเราจากความบอบช้ำได้ก็คือเราเอง โดยให้ลองสร้างกำแพงระหว่างเรากับเขาเพื่อกีดกันการกระทำและคำพูดเจ็บแสบออกจากใจ ยกตัวอย่างเช่น เราอาจสวมหูฟังเพื่อเลี่ยงการต้องหันไปพูดคุยหรือได้ยินเรื่องแย่ ๆ จากเขา หรือ เวลาที่เราไม่โอเคกับการกระทำของเขาจนรู้สึกปวดหัว เหมือนประสาทกิน ถ้าไม่ได้ติดงานหรือยุ่งอะไรเป็นพิเศษ ก็เดินไปพักเข้าห้องน้ำหรือชงกาแฟแล้วออกมานั่งดื่มให้ห่างจากโต๊ะทำงานก็ได้
เลือกใช้คำพูดและวิธีการพูดให้ถูก
เวลาที่เราต้องการจะสื่อสารเรื่องงานหรือเรื่องบางอย่างที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนกับคน Passive-Aggressive เราจำเป็นต้องรู้จักใช้คำพูดให้ถูก ถ้าจะพูดถึงเรื่องงานก็สามารถใช้คำพูดที่ฟังดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น “โปรเจกต์ของพวกเราชิ้นนี้ต้องเริ่มเดินหน้าแล้วล่ะ”
บางครั้ง Message เดียวกันสามารถพูดได้หลายแบบ เช่น ถ้าเขาส่งงานให้เราช้ากว่ากำหนด แทนที่เราจะพูดว่า “เธอส่งงานเลทนะ” ก็สามารถเลี่ยงไปพูดว่า “อย่าลืมงานชิ้นนี้นะ” หรือเปลี่ยนไปถามแทนก็ได้ว่า “งานชิ้นนี้พวกเราใกล้ต้องพรีเซนต์แล้ว พอดีอยากทำความเข้าใจก่อนพรีเซนต์จริง ขอดูเร็วสุดได้เป็นวันไหน?” โดยน้ำเสียงที่ใช้ควรเป็นเชิงถามอย่างเป็นมิตร ไม่กดดัน
ถ้าเราจำเป็นต้องตักเตือนคนเหล่านี้ เรายิ่งต้องระมัดระวังและใช้ศิลปะการพูดไม่ให้เขารู้สึกว่ากำลังถูกเราพูดโจมตี ถ้าเป็นไปได้ก็ควรพูดเตือนแบบเห็นหน้าเห็นตากันเป็นการส่วนตัวมากกว่าการฝากข้อความเอาไว้ผ่านอีเมล หรือถ้าบริษัทไหนยังต้อง Work from Home กันอยู่ ก็เปลี่ยนมาใช้วิธี Video Call แบบส่วนตัวแทนก็ได้
บทจะเด็ดขาดก็ต้องเด็ดขาด ไม่โอนอ่อน
คน Passive-Aggressive บางประเภทก็มีพฤติกรรมหาข้อแก้ตัว ไม่ยอมบอกคำตอบและสาเหตุออกมาตรง ๆ และเมื่อพฤติกรรมเหล่านี้เริ่มมามีผลกระทบกับเรื่องการงาน เราก็ต้องรู้จักแสดงความเด็ดขาดออกไปเพื่อรักษามาตรฐานการทำงานในส่วนของเราและทีมให้ยังดีอยู่ ไม่ให้คนคนเดียวมาทำให้การทำงานต้องรวนไปหมด เช่น ถ้ามีเพื่อนร่วมงานที่มักจะมาสายกว่าเวลานัดประชุมเป็นประจำ พูดคุยตักเตือนกันไปหลายรอบแล้ว ปากบอกว่าเข้าใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลททุกครั้ง คราวหน้าถ้าเรานัดประชุมตอน 8 โมงเช้าก็แจ้งเอาไว้ตั้งแต่แรกเลยว่าถึงเวลา 8 โมงเช้าแล้วจะขออนุญาตเริ่มประชุมไปก่อนเลย เมื่อถึงวันประชุมแล้วเขามาสายจริง ๆ เราก็เริ่มประชุมตามเวลาที่นัดได้เลยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเพราะได้แจ้งเอาไว้ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ถึงเขาจะมีเหตุผลอะไรก็ตามเขาก็จะรู้จุดนี้ดีว่าต่อไปนี้ถ้าเขามาสายอีกจะไม่มีใครรอเขาแล้ว
ถ้ามันไม่ไหวก็ต้องขอความช่วยเหลือ
คราวนี้ถ้าการกระทำของเพื่อนร่วมงานคนนั้นเริ่มกระทบกับการงานในส่วนของเราจนเราเริ่มเดือดร้อน ทำงานไม่ลื่นไหลเหมือนก่อน แนะนำให้ลองปรึกษากับหัวหน้าทีมดู โดยหาจังหวะที่เหมาะสมเข้าไปขอคำปรึกษาแต่อย่าลืมเช็กดูให้ดีว่าหัวหน้าเราเป็นกลางรึเปล่า หรือว่าหัวหน้าสนิทกับเพื่อนร่วมงานคนนี้จนเอนเอียงไปทางเขามากเป็นพิเศษไหม ถ้ารู้สึกว่าสามารถคุยได้อย่างสบายใจก็ลองเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างไม่ใส่อารมณ์ว่าเราเจออะไรมา และเราได้รับผลกระทบยังไงบ้าง รวมถึงขอคำแนะนำว่าควรจัดการปัญหานี้อย่างไร ถ้าปัญหานี้อยู่นอกเหนือขอบเขตความสามารถของเราคนเป็นหัวหน้าจะเอาประเด็นนี้ไปคิดต่อและหาทางช่วยเราเอง แต่ถ้าหัวหน้าสนิทกับเพื่อนร่วมงานคนนั้น ดูแล้วมีแนวโน้มที่จะไม่เป็นกลาง และเราไม่สบายใจที่ปรึกษาด้วย ก็อาจจะต้องไปคุยกับ HR ให้เขาช่วยเราแทน
เปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ได้แสดงความคิดอย่างตรงไปตรงมา
อย่างที่เรารู้กันว่าคน Passive-Aggressive บางคนมีปัญหาด้านการแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผย พฤติกรรมแย่ ๆ ที่ออกมาอาจเป็นเพราะลึก ๆ แล้วเขาเพียงแค่อยากจะสื่อสารสิ่งที่เขารู้สึกออกมาในรูปแบบใดรูปแบบนึงโดยอาจจะไม่ทันได้คิดว่ามันจะส่งผลเสียยังไงบ้าง ดังนั้นเพื่อให้งานที่ทำมีประสิทธิภาพที่ดีและการทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น เราก็ควรจะแสดงตัวว่าตัวเองเป็นคนที่เปิดรับความคิดเห็นทุกรูปแบบ โดยจำเป็นที่จะลดอคติที่มีในใจกับคนคนนี้แล้วลองเปิดใจฟังอย่างจริงจัง เขาเองที่รู้ว่าเราพร้อมจะเปิดรับก็จะรู้สึกสบายใจที่พูดกับเราตรง ๆ มากขึ้น หรือถ้าในห้องประชุมไม่มีใครพูดอะไร จะบอกทิ้งท้ายคนในห้องประชุมว่าถ้าใครมีข้อเสนออะไรเพิ่มเติมก็เดินมาบอกเรานอกรอบหรือพิมพ์เข้ามาทางแชทโปรเจกต์งานได้เลย
ยิ่งถ้าเราเป็นหัวหน้าก็ควรสร้างวัฒนธรรมในทีมหรือในองค์กรด้วยการยอมรับความคิดเห็นและคำวิจารณ์อย่างเปิดกว้าง แจ้งกับลูกทีมว่าถ้ามีอะไรเพิ่มเติมก็สามารถทักแชทมาปรึกษาหรือเดินมาเล่าให้หัวหน้าฟังที่โต๊ะได้เสมอ หรือจะหาวิธีเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมอย่างการตั้งกล่องรับ Feedback ที่คนเขียนไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวด้วยก็ได้
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าความเป็น Passive-Aggressive ไม่ได้เป็นตัววัดศักยภาพในการทำงานของคนคนนั้น เขาอาจเป็นคนนึงที่ทำงานเก่งมากก็ได้ เพียงแค่เขายังไม่เก่งด้านการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นการจับจุดและหาวิธีดีลกับเพื่อนร่วมงานแบบนี้ให้ได้ ก็จะทำให้ทีมของเราทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
อ้างอิงจาก: https://www.reeracoen.co.th/th/articles/เพื่อน-ร่วม-งาน-ดี
https://blog.jobthai.com/career-tips/8-วิธีรับมือกับเพื่อนร่วมงาน-passive-aggressive-ดื้อเงียบ-ร้ายลึก-บอกโอเคแต่ไม่โอเค
https://www.bypichawee.co/single-post/5-types-of-coworkers
https://th.jobsdb.com/th/career-advice/article/เพื่อนร่ว%A
สิบเลขขายดีแม่จำเนียร งวด 16/12/68
ลําไยไหทองคําเผยสถานะ กับบอสอดีตเซ็นเซอร์ชาย
ชัดเจนจากแนวหน้า! กองทัพบกยืนยัน ทหารไทยยึดขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถังยุคที่ 5 “GAM-102LR” บนเนิน 500 สะเทือนดุลอำนาจชายแดน
สิ่งของที่ไม่ควรใส่ ไม่ควรซัก ในเครื่องซักผ้า
อวสานตั๋วผี "ขายรถจำนำทอง" กว้านซื้อบัตรคอนเสิร์ต เจ๊งเหยียบ 1 ล้าน
เผยยอดทหารเขมร ที่เสียชีวิต ในสมรภูมิรบกับประเทศไทย
หวยแม่จําเนียร 10 เลขเด็ดขายดียอดนิยมงวดวันที่ 16 ธันวาคม 2568
ทหารไทย เข้ายึด เนิน 677 และเนิน 500 ได้สําเร็จ
หุ่นยนต์ฮิวมานอยด์"T800" จากจีนท้าชนหุ่นยนต์ Tesla Optimus ของอีลอน มัสก์
สถานทูตไทยทั่วโลก เปิด "สมรภูมิโซเชียล" ขย้ำ ฮุน เซน
"หนุ่ม กรรชัย" ฟาดแรง "ก่อนดูถูกคนอื่น ล้างตีxตัวเองก่อน"..ด้าน "เบียร์-ปู" สวนกลับทันที
ทหารไทยยึดคืนเนิน 500 สำเร็จ เก็บอาวุธจีนของทหารกัมพูชาได้เพียบ
ทหารไทย เข้ายึด เนิน 677 และเนิน 500 ได้สําเร็จ
😉 ชวนลองเข้ามาดูความยอดเยี่ยมของธรรมชาติ ที่จะทำให้เราต้องตก ตะลึงแห่งความมหัศจรรย์นั้น 😘
ลําไยไหทองคําเผยสถานะ กับบอสอดีตเซ็นเซอร์ชาย
ขนมงาทอด
หุ่นยนต์ฮิวมานอยด์"T800" จากจีนท้าชนหุ่นยนต์ Tesla Optimus ของอีลอน มัสก์
ความเดียวดาย แต่ไม่คลี่คลายในส่วนของกำลังใจอบอุ่นของผ้าห่ม
กรรมนำมาเกิด สิ่งนี้เรานั้นยังคงใช้ได้อยู่ คนเรานั้นชีวิตไม่ได้โรยด้วยดอกไม้ของความสุข
"กาจั่น"ช่วยให้ดวงตาของคนอินเดียสวยงามไม่มีอันตรายต่อเด็กและทุกคน
ครอบครัวใหญ่ในอินเดีย ไร้การคุมกำเนิดเพียงเพราะความเชื่อในเรื่องของการห้ามการเกิดนั้นบาปยิ่งกว่า



