อย่าเสียงดัง ถ้าไม่อยากเจออาจารย์ใหญ่
การได้พบเจอกับสิ่งลี้ลับมักจะเจอได้กลับกลุ่มคนมีครู อย่างการเรียนดนตรี การเเสดง เเละศิลปะเป็นเรื่องปกติ วันนี้จะมาขอเล่าในส่วนของการพบเจอเรื่องน่าเหลือเชื่อในตอนเรียนปวช ด้านศิลปะ กับวิทยาลัยเเห่งหนึ่งในกรุงเทพ
ในตอนนั้นฉันอยู่มัธยมศึกษาปีที่3 ซึ่งอยู่ในช่วงต้องเลือกเรียนต่อว่าจะขึ้นมัธยมสายสามัญทั่วไป หรือจะต่อระดับสายอาชีพ ในตอนนั้นฉันไม่มีความคิดว่าตัวเองอยากเรียนอะไรเลยเเม้เเต่ตอน กระทั่งความชอบของตัวเองยังไม่รู้เเต่ที่รู้เเน่ๆคือไม่ชอบวิชาคณิตอย่างถึงที่สุด จึงตัดสินใจเลือกเรียนตามเกรดเเทน ว่าเกรดวิชาไหนดีที่สุด ฉันจะเลือกเรียนเเบบนั้น ถ้าวิชาพละดีที่สุดฉันจะเข้าเรียนโรงเรียนการกีฬากรุงเทพ ถ้าวิทยาศาสตร์ฉันจะเรียนต่อสามัญทั่วไป เเละถ้าศิลปะ ฉันจะเรียนศิลป์ทันที เเละใช่วิชาที่ฉันได้เกรดดีที่สุดคือศิลปะ จึงตัดสินใจบอกเเม่ว่า เเม่คะหนูขอเรียนศิลปะที่วิทยาลัย....นะคะ เเม่ฉันก็ตกลง พาฉันไปสมัคร เมื่อไปถึงในขณะที่ฉันคิดว่าศิลปะที่จะเรียนมันก็คงทั่วๆไป เเต่ที่ไหนได้ มันมีเเผนกวิชาเเยกออกมาอีกต่างหาก ทั้งวิจิตรศิลป์ การออกเเบบ สถาปัตย์ ฉันลังเลระหว่างวิจิตรศิลป์กับออกเเบบมาก เเต่เมื่อคิดๆดูเเล้ว จึงตกลงเรียนออกเเบบทันทีเเละคิดว่ามันคงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เเล้ว
จนกระทั่งเมื่อฉันได้เข้าเรียนจริงๆ ถึงได้รู้ว่าออกเเบบมันมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด เพราะยังอยู่ในช่วงของการเรียนปรับพื้นฐาน จึงต้องเรียนเเทบทั้งหมด ทั้งออกเเบบผลิตภัณฑ์ ออกเเบบภายใน ออกเเบบนิเทศศิลป์ ออกเเบบกราฟฟิค ซึ่งเรียนเยอะมากๆ ทำให้ฉันมีความสนใจในการเรียนมากขึ้น
เมื่อเรียน1อาทิตย์ วิชาที่ต้องเจอคือการเรียนวาดภาพเหมือน เเละในห้องๆนั้นมีสิ่งที่ฉันไม่คิดฝันว่าจะเจอ นั่นคือโครงกระดูกคู่นึง หรือก็คือครูใหญ่ที่อุทิศตนเพื่อการเรียนรู้ของนักศึกษา
ด้านอาจารย์ประจำวิชาเล่าว่า ครูใหญ่คู่นี้เป็นคู่ชายหญิง ซึ่งเป็นคู่รักกัน เเต่เพราะโดนกัดกันทางความรัก ทำให้ทั้งคู่เลือกจบชีวิตตนเองเเละขอให้ทั้งคู่ได้ทำประโยชน์ในการเรียนรู้ต่อไป เเต่ว่าก่อนจากไปทั้งคู่ได้ขอไว้ว่าเป็นที่สงบๆ ห้ามเสียงดังเเละหยาบคายเป็นอันขาด ทำให้ทั้งอาจารย์เเละนักศึกษาปฏิบัติตามมาตลอด
อ่ออีกอย่างนึงอาจารย์มักจะพูดว่าที่วิทยาลัยเเห่งนี้มีเรื่องเล่าอีกเรื่องนั้นคือนักเรียนเเต่ละรุ่น จะสลับกันมาตลอด เช่นรุ่นพี่ปี3เกเร ปี2เด็กดี เเละปีของฉัน เด็กเกเร มักจะสลับกันเเบบนี้เรื่อยมาปีไหนมีเด็กเกเร ปีนั้นมักมีเรื่องต่อยตีอยู่เสมอทำให้ครูอาจารย์มักจะเข้มงวดกับปีที่มีเด็กเกเรอยู่เสมอ ซึ่งมันก็ตรงกับปีของฉันที่เคยถึงขั้นเข้ารพ.มาเเล้ว
กลับมาที่เรื่องครูใหญ่กันดีกว่า ครูคู่นี้มักจะไม่ค่อยมีใครพบเห็น มากสุดเเค่อาจมีเสียงเหมือนคนทำอะไรหล่นเท่านั้น ยกเว้นปีของฉัน
ในวันนึงหลังจากทานข้าวกันเสร็จ กลับมีเวลามากกว่าครึ่งชมก่อนเข้าเรียนในรอบบ่าย ซึ่งตรงกับวิชาวาดภาพเหมือน จึงทำให้พวกเราทั้งหมดตัดสินใจที่จะขึ้นไปนั่งรอในห้อง เเต่เมื่อขึ้นไปเเล้วกลับพบว่าห้องยังคงลงกุญเเจล็อคไว้อยู่ ต้องรอให้อาจารย์มาไขเปิดประตูให้ พวกเราจึงนั่งรอกันที่หน้าห้องเเทน
ในตอนช่วงเเรกพวกเราก็นั่งกันเงียบๆเเต่เมื่อผ่านไปสักพักนึง เพื่อนอีกกลุ่มกลับกำลังพูดคุยด้วยเสียงที่เริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเเละดังขึ้น รวมทั้งมีการพูดคำหยาบคาย ทั้งไอ้เห้.. ไอ้สั.. ไอ้ค... เเละอื่นๆอีกมาก ในตอนเเรกฉันก็เตือนไปครั้งนึงเเต่ไม่มีใครฟังฉันเลยคิดถึงเเม้ฉันจะอยากเตือนเพื่อนๆกลุ่มนั้นให้ฟังคำเตือนของอาจารย์ไว้บ้างมากเเค่ไหน เเต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดมันออกไป ได้เเต่พูดขอขมาครูใหญ่ที่อยู่ในห้องในใจ
ในระหว่างนั้นเองได้มีเสียงเหมือนของหล่นดังขึ้นมาจากในห้อง ทำให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบอยู่สักพักนึง เเต่ก็ไม่นานเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เสียงของหล่นเเต่อย่างใดเเต่เป็นเสียงเหมือนเคาะประตูห้องเรียนเลยนะสิ คราวนี้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบมากกว่าเดิม ทุกคนได้เเต่มองกันไปมา เเละรู้สึกเย็นๆหนาวๆวูบวาบ นั่นอาจเป็นคำเตือนจากครูใหญ่ในห้องนี้ก็ได้
ทุกคนก็รู้กันใช่ไหมว่าเด็กมักจะดื้อมากเเค่ไหน ใช่ ทุกคนกลับไม่สนใจคำเตือนนั้นเเละยังคงพูดคุยกันต่อไป ในระหว่างนั้นฉันยิ่งรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ขอขมาจากใจหวังว่าครูใหญ่จะรับรู้ เเละตอนนั้นเองเพื่อนกลุ่มนั้นได้พูดอย่างกับตลาดเเตก ทำให้ครูใหญ่คงหมดความอดทนกับเสียงพูดคุยนี้เเล้ว
กึงๆๆๆๆ ปังๆๆ
เสียงที่ดังขึ้นมามาฉับพลัน ทำให้คนอื่นๆเเหงนมองที่มาของเสียงนั้น ซึ่งมันคือเสียงของคนเขย่าลูกกรงบนประตูห้องเรียน เมื่อเห็นว่าเสียงนั้นมาจากอะไร เหล่าคนที่เเหงนมองก็กรี๊ดร้องเสียงดัง เเล้วรีบลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว เเต่ฉันในตอนนั้น กลับไม่สามารถเเหงนมองได้เพราะเหมือนมีคนจับล็อคคอฉันไว้ ด้วยความตกใจในเสียงกรี๊ดของเพื่อนเเละเห็นท่าทางขวัญผวาของเพื่อนเเล้วทำให้ฉันตัดสินใจที่จะวิ่งตามไป เเต่ก่อนจะวิ่งลงบันได ฉันได้หันมามองสุดทางซึ่งนั่นคือทางที่ฉันได้วิ่งมาเเวบนึง ก่อนจะหันหลังวิ่งลงบันไดตามเพื่อนคนอื่นๆ
เมื่อฉันลงมาถึงก็เห็นเพื่อนๆบางคนร้องไห้ บางคนเล่าเหตุการ์ณให้อาจารย์ฟัง เเละมีเหล่ารุ่นพี่ที่ยังคงอยู่ในโรงอาหารหันมามองพวกฉัน ในตอนที่เพื่อนกำลังเล่านั้นฉันจับใจความได้ว่า ตอนที่เพื่อนเเหงนมองข้างบนประตูได้เห็นครูใหญ่ผ่านลูกกรงกำลังมองมาที่เพื่อนคนนั้นเเละใช้มือตีที่ลูกกรงด้วยความโกรธเกรี้ยว ทำให้ตนเองกรี๊ดร้องออกมาสุดเสียงก่อนจะออกตัววิ่งซึ่งในขณะนั้นมีเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มนั้นได้มองตามเเละเห็นเเบบเดียวกันก่อนจะวิ่งตามเเละกรี๊ดเช่นกัน
อาจารย์จึงถามว่าได้ทำอะไรที่เป็นข้อห้ามไหม ซึ่งมันก็ใช่ ทั้งคุยเสียงดัง คำหยาบที่มากมายนั้น เมื่ออาจารย์รู้สาเหตุเเล้วจึงได้หันมามองฉันว่าในฐานะที่เป็นหัวหน้าห้อง ให้เป็นตัวเเทนนำพวงมาลัย2พวงไปขอขมาครูใหญ่ทั้งคู่ ซึ่งอาจารย์จะเป็นคนกล่าวนำให้ ในตอนนั้นฉันจึงซื้อพวงมาลัยเเละเดินตามอาจารย์ขึ้นไปที่ห้อง เพื่อนคนอื่นๆก็เดินตามหลังฉันมาอีกทีนึง ตอนที่เปิดประตูเข้าไปเเล้วหันมองไปที่ครูใหญ่ท่าของทั้งสองอยู่ในสภาพที่เหมือนถูกคนนำออกมาจากที่เเขวนเเละใส่กลับเข้าไปอย่างลวกๆ เเขนทั้งคู่พันกัน ขาไปคนละทาง หัวหันมาทางประตูทางเข้า อาจารย์ที่เห็นภาพนั้นจึงเข้าไปจัดท่าทางให้ใหม่ทั้งหมด เเละหันมาพูดกับพวกฉันว่า ท่านทั้งสองคงโกรธมากจริงๆถึงขนาดออกมาได้ถึงขนาดนี้ เเละไม่เคยมีใครเจอเหตุการ์ณเเบบนี้มาก่อน พวกฉันคือกลุ่มเเรก เเละอาจจะเป็นกลุ่มเดียวก็ได้
นับเเต่นั้นมาพวกฉันไม่เคยมีใครพูดเสียงดังหรือพูดคำหยาบในขณะที่นั่งอยู่ในห้องหรือรอหน้าห้องอีกเลย เเม้กระทั่งเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกฉัน ยังนำไปเล่าให้เหล่ารุ่นน้องๆรุ่นถัดไปได้รับรู้ว่า การไม่ทำตามข้อห้ามจะเกิดอะไรขึ้น