ปวดท้อง ตำแหน่งไหนบอกโรคอะไรบ้าง ?
ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรคได้
อาการปวดท้องใครๆ ก็เป็นได้ บางท่านปวดท้องเป็นประจำซื้อยามาทานก็หายจึงละเลยการใส่ใจสุขภาพ หากมีอาการปวดท้องลักษณะต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์
- ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมงแล้วอาการเป็นมากขึ้น
- ปวดจนกินอาหารไม่ได้
- ปวดท้องและอาเจียนอย่างมาก มากกว่า 3-4 ครั้ง
- ปวดท้องมากขึ้นเมื่อขยับตัว
- ปวดที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา
- ปวดท้องรุนแรง นอนไม่ได้
- ปวดร่วมกับเลือดออกจากช่องคลอด
- ปวดท้องมีไข้ร่วมด้วย
นอกจากนี้ อาการปวดท้อง และตำแหน่งที่ปวดก็สามารถบอกถึงโรคหรืออาการผิดปกติของอวัยวะและการรักษาที่แตกต่างกันด้วย มาดูกันค่ะว่าอาการปวดท้องตำแหน่งไหนบอกโรคอะไร?
ตำแหน่ง 1 ปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา
เป็นจุดของตับและถุงน้ำดี หากกดแล้วเป็นก้อนแข็งๆ บวกกับอาการตัวเหลือง หมายถึงความบกพร่องของตับและถุงน้ำดี หากปวดมากควรรีบพบแพทย์
ตำแหน่ง 2 ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่
- ปวดใต้ลิ้นปี่ร่วมกับเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก อาจจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร หากปวดรุนแรงหรืออาเจียนด้วยอาจเป็นตับอ่อนอักเสบ
- หากคลำเจอก้อนเนื้อขนาดใหญ่ และแข็งแสดงว่าตับโต หรือหากคลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ อาจเป็นกระดูกลิ้นปี่
- หากอืดแน่นท้องเป็นๆ หายๆ เป็นเวลานาน อาจเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
ตำแหน่ง 3 ปวดบริเวณชายโครงซ้าย
จะตรงกับตำแหน่งของม้าม อย่ามัวรีรอรีบไปพบแพทย์
ตำแหน่ง 4,6 ปวดบริเวณบั้นเอวขวาหรือซ้าย
- ตำแหน่งตรงกับท่อไตพอดี
- ปวดเอวหรือมีปัสสาวะเป็นเลือดอาจจะเป็นนิ่วที่ไต จะเป็นข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้างก็ได้ ซึ่งจะมีอาการปวดมากจนเหงื่อออก
- ปวดร้าวถึงต้นขา การเริ่มต้นของการเป็นนิ่วในท่อไต
- อาการปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น เป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อรีบไปพบแพทย์
ตำแหน่ง 5 ปวดบริเวณรอบสะดือ
ตรงกับตำแหน่งลำไส้เล็ก มักจะมีอาการปวดบิด ถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน หากกดแล้วปวดมากอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ ปวดจนทนไม่ไหวให้พบแพทย์ทันที
ตำแหน่ง 7 ปวดบริเวณท้องน้อยขวา
- เป็นตำแหน่งไส้ติ่ง ท่อไต ปากมดลูก และรังไข่ขวา
- ปวดเกร็งเป็นระยะๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา เป็นอาการกรวยไตอักเสบ หรือนิ่วท่อไต ควรรีบพบแพทย์
- ปวดเสียด บีบ ตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมากบริเวณท้องน้อยด้านขวาอาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมมีไข้สูง มีตกขาว อาการของปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาการก้อนไส้ติ่งอักเสบ หรือรังไข่ผิดปกติ
ตำแหน่ง 8 ปวดท้องน้อย
- ตรงตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะ และมดลูก
- ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปวดเวลาปัสสาวะ อาจเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดท้องน้อย มีไข้สูง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น อาจจะเป็นมดลูกอักเสบ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน มีอาการปวดเรื้อรัง แสดงว่ามดลูกมีปัญหาควรรีบพบแพทย์
ตำแหน่ง 9 ปวดท้องน้อยซ้าย
- ตำแหน่งปีกมดลูกและท่อไต รังไข่ด้านซ้าย ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
- ปวดเกร็งเป็นระยะๆ ร้าวมาที่ต้นขา เป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น และมีตกขาว อาการของมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ เป็นอาการของลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ เห็นอุจจาระมีมูกปนเลือด ท้องผูกสลับกับท้องเสีย น้ำหนักลด อาจเป็นอาการเนื้องอกในลำไส้
อาการร่วมที่จะต้องมาพบแพทย์ ที่ไม่ใช่เพียงอาการปวดท้อง
ไม่ว่าอาการปวดท้องตรงกลางที่เป็นอยู่จะบอกถึงโรคอะไรก็ตามแต่ ในกรณีที่ปวดท้องบ่อยๆ ปวดเป็นๆ หาย ๆ ก็ไม่ควรชะล่าใจ ยิ่งหากมีอาการปวดท้องร่วมกับความผิดปกติอื่น ๆ
- ปวดนานมากกว่า 6 ชั่วโมงแล้วอาการเป็นมากขึ้น
- ปวดจนกินอาหารไม่ได้
- ปวดท้องและอาเจียนอย่างมาก มากกว่า 3-4 ครั้ง
- ปวดท้องมากขึ้นเมื่อขยับตัว
- ปวดที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา
- ปวดท้องรุนแรง นอนไม่ได้
- ปวดร่วมกับเลือดออกจากช่องคลอด
- ปวดท้องมีไข้ร่วมด้วย
วิธีการตรวจคัดกรองอาการปวดท้อง ร่วมกับ ความผิดปกติอื่นๆ
วิธีการตรวจคัดกรองอาการปวดท้อง ร่วมกับ ความผิดปกติอื่นๆ สามารถตรวจได้ดังนี้
- การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นการใช้กล้องที่มีลักษณะ เป็นท่อขนาดเล็ก ปรับโค้งงอได้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ที่ปลายกล้องจะมีเลนส์ขยายภาพ ปลายอีกข้างหนึ่งต่อเข้ากับเครื่องกำเนิดแสงและส่งภาพมายังจอรับภาพ ส่องเข้าไปในปาก ผ่านหลอดอาหารลงไปในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อการวินิจฉัยโรคหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ในกรณีที่มีอาการปวดท้องเรื้อรัง ปวดท้องจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ ร่วมกับมีอาการกลืนลำบาก อาเจียนเป็นเลือด แสบท้อง เป็นต้น
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการใช้กล้องที่มีลักษณะเป็นท่อขนาดเล็ก โค้งงอได้ ที่ปลายกล้องมีเลนส์ขยายภาพ ปลายอีกด้านหนึ่งต่อเข้ากับเครื่องกำเนิดแสง แล้วส่งภาพมายังจอรับภาพ ส่องเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจดูลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่วนกลาง ส่วนต้นและลำไส้เล็กส่วนปลาย ตรวจในกรณีที่มีอาการปวดบั้นเอวซ้าย ร่วมกับการมีอาการขับถ่ายอุจจาระผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสียเป็นประจำ หรือท้องผูกสลับท้องเสีย มีการถ่ายอุจจาระปนเลือด ถ่ายเป็นเลือดหรืออุจจาระมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ หรือผู้ที่มีก้อนในท้อง น้ำหนักลดและอ่อนเพลีย เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอาการทางเดินอาหารและตับที่สัมพันธ์กับอาการปวดท้องร่วมด้วย ได้แก่ ภาวะไขมันพอกตับ สืบเนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป เช่น การรับประทานของทอด ของมัน แป้ง น้ำตาล และอาหารไขมันสูง ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ นำไปสู่การเกิดไขมันสะสมที่ตับ กลายเป็นภาวะไขมันพอกตับ จนนำไปสู่การเกิดพังผืดที่ตับซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคตับแข็งและเสี่ยงต่อมะเร็งตับได้ในที่สุด
ซึ่งภาวะไขมันพอกตับสามารถตรวจได้ด้วยเครื่องไฟโบรสแกน(Fibroscan) เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยประเมินปริมาณไขมันในตับรวมถึงระดับพังผืดในเนื้อตับ และตับแข็งโดยเฉพาะ โดยจะใช้เวลาเพียงแค่ 10-15 นาทีเท่านั้น ในขณะตรวจอาจจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับปลายหัวตรวจเล็กน้อยเท่านั้น