ฉีดแล้วจบ กับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่าทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ ถึงปีละ 250,000 – 500,000 คน ในขณะที่ประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีประมาณ 50,000 คน ในปีที่มีการระบาดมากจะพบได้ถึง 70,000 คน
ไข้หวัดใหญ่จะมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดปกติ ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่จะมีความเสี่ยงต่ออาการโรคประจำตัวกำเริบและภาวะแทรกซ้อน ซึ่งรวมถึงภาวะปอดบวม หลอดลมอักเสบ หรือมีผลกระทบรุนแรงต่อระบบหัวใจ หลอดเลือด และระบบประสาทจนถึงขั้นเสียขีวิตได้
รู้จักเชื้อไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่สาเหตุคือ ไวรัสที่มีชื่อว่า “อินฟลูเอนซ่าไวรัส (Influenza virus)” ที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย และติดต่อผ่านการไอ จาม หรือหายใจรดกัน เมื่อติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบนแล้ว จะทำให้มีไข้สูง ไอ น้ำมูก คัดจมูก จาม มีอาการปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลียคล้ายกับไข้หวัด แต่อาการจะมากกว่าในเด็กเล็กน้อยกว่า 2 ขวบ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังอาจเกิดอาการที่รุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดอักเสบและสมองอักเสบ นอกจากนั้นยังทำให้โรคประจำตัวมีอาการกำเริบจากการติดเชื้อ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับตับและไต
มารู้จัก วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ มีอะไรบ้าง
วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะมีส่วนประของไวรัส Influenza Virus 4 สายพันธุ์ คือ
- สายพันธุ์ A แบ่งย่อย 2 สายพันธุ์ คือ H1N1, H3N2
- สายพันธุ์ B แบ่งย่อย 2 สายพันธุ์ คือ Yamagata, Victoria
ซึ่งสายพันธุ์ที่บรรจุในวัคซีนจะเปลี่ยนแปลงไปทุกปี
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ มีประโยชน์อย่างไร
การศึกษาถึงประโยชน์จากการฉีด วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent Influenza vaccine) ในต่างประเทศพบว่า
- ในประเทศอังกฤษ พบว่าการใช้ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่โดยเฉพาะสายพันธุ์ B มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 18%
- ในประเทศอเมริกา หากมีการใช้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ทดแทน วัคซีนชนิด 3 สายพันธุ์ จะช่วยลดผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 1.3 ล้านราย/ต่อปี ลดการเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 12,472 ราย /ต่อปี และลดการเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 663 ราย /ต่อปี
- ในอเมริกา หากมีการใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ในโปรแกรมสาธารณสุขพื้นฐานของประเทศในช่วง 20 ปีข้างหน้า พบว่ามีความคุ้มค่า จะช่วยลดผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 13.3 ล้านราย ลดการเข้ารพ.ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 113,000 ราย และลดการเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 13,200 ราย ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มขึ้น 31,000 ล้านดอลลาร์ ลดค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มขึ้น 600 ล้านดอลลาร์
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ใครบ้างที่ควรฉีด
- บุคคลทั่วไป สามารถฉีดได้ทุกช่วงอายุ
- กลุ่มเสี่ยงที่ควรต้องฉีด
- เด็กเล็กอายุ 6-23 เดือน
- เด็ก หรือผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด หัวใจ ตับ เบาหวาน ปอดเรื้อรัง โรคไต โรคเลือด ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือต้องรักษาด้วยยาแอสไพริน เป็นประจำนานๆ
- หญิงตั้งครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป หรือหลังคลอดไม่เกิน 4 สัปดาห์
- นักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางไปต่างถิ่นที่อาจมีการระบาด
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กก./ตรม.
ใครไม่ควรฉีดวัคซีนหรือควรเลื่อนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน
- ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วมีอาการแพ้อย่างรุนแรง
- หากมีไข้ เจ็บป่วยเฉียบพลัน หรือโรคประจำตัวมีอาการกำเริบควบคุมไม่ได้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน กรณีเป็นหวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ สามารถรับการฉีดวัคซีนได้
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการฉีดวัคซีน
- อาการเฉพาะที่บริเวณที่ฉีด เช่น ปวด บวม แดง เกิดภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังฉีด แต่อาการจะหายไปเองภายใน 2-7 วัน
- หลังฉีดบางรายจะมีไข้ต่ำๆ รู้สึกไม่สบายตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ อาจเริ่มมีอาการภายใน 6-12 ชั่วโมง และอาจเป็นนาน 1-2 วัน โดยไม่ต้องรับการรักษา
ข้อควรปฏิบัติภายหลังการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- ไม่ควร นวด คลึง บริเวณที่ฉีด
- หากมีอาการไข้ รู้สึกไม่สบายตัว ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ปวดศีรษะ สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
- หากมีอาการผิดปกติรุนแรงหรือสงสัยในการปฏิบัติตัวเพิ่มเติม แนะนำให้มาพบแพทย์