เขาศาลา ..ป่าผีเฮี้ยน
เขาศาลา เขตพื้นที่ชายแดนไทยที่อยู่ติดกับประเทศเขมร ตั้งอยู่ ณ ต.จรัส อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ เป็นอุทยาน ฯ ป่าไม้ ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมมากกว่า 1 หมื่นไร่ และเป็นเขตอนุรักษ์ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นที่มาของเรื่องเล่าลี้ลับต่าง ๆ มากมาย
ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ผมเองได้มีโอกาสบวชพระที่วัดสายธรรมยุติแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณเขาศาลา วัดนี้เป็นวัดที่เงียบสงบและอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง สถานที่แห่งนี้เน้นสอนในเรื่องของธรรมะ และการปฏิบัติกรรมฐานภาวนาอย่างเคร่งครัด การบวชครั้งนี้ของผม ถือว่าเป็นการบวชครั้งแรกในชีวิตของผมเองก็ว่าได้ ผมยอมรับตรง ๆ แบบลูกผู้ชายเลยว่า "กลัว จนปอดแหก..ขี้ขึ้นสมอง จริง ๆ" เนื่องจากทางวัดได้ปล่อยให้พระบวชใหม่ทุกรูปได้จาริกเข้าไปในป่าลึก เพื่อเดินธุดงค์เพียงตามลำพัง เพื่อฝึกจิตให้กล้าแข็ง หาความวิเวก และอยู่ป่าเป็นวัตรตามข้อกำหนดของพระธรรมวินัย
เรื่องเล่าลี้ลับ ณ ป่าแห่งนี้มีมากมายเกินสาธยายได้ทั้งหมด ทั้งเรื่องของเมืองลับแล หรือเมืองบังบด, ดินแดนพญานาค , อาถรรพ์ต้นตะเคียน ตลอดจนกระทั่งในเรื่องของวิญญาณผีเฮี้ยน ภูติผีปีศาจต่าง ๆ ที่อยู่ในป่า ซึ่งตัวผมเองก็พอที่จะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยประสบพบกับตัวเองเลย
จวบจนกระทั่งวันนั้นก็ได้มาถึง วันที่ท้องฟ้ามืดมิดเป็นสีดำ ครอบคลุมบริเวณป่าเขาศาลาเกือบทั้งหมด มีฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แบบกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือนี่จะเป็นบททดสอบของพระบวชใหม่ ?? ผมได้แต่นั่งภาวนาในกลดที่ปักอยู่หน้าต้นตะเคียน ซึ่งมีอายุมากกว่า 300 ปี ลมพายุเริ่มพัดอย่างรุนแรงเหมือนมีใครมาสั่นกลด และฝนก็ได้เริ่มเทลงมาเรื่อย ๆ ผมจำได้ว่า หลวงพ่อเคยสอนไว้ ถ้าเจอสถานการณ์อย่างนี้ให้เรานิ่ง และกำหนดจิตให้แน่วแน่ ทำสมาธิต่อไปเรื่อย ๆ แล้วสุดท้าย ให้อุทิศผลบุญและแผ่เมตตาให้เหล่าภูติผีปีศาจต่าง ๆ หลังจากนั้น เหตุการณ์ทุก ๆ อย่างก็เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์เหนือธรรมชาตินั้น มีอยู่จริง !!)
คืนนั้นเอง.. หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จเรียบร้อย ผมเองก็ได้เดินออกมาจากกลด เพื่อเตรียมตัวที่จะเดินจงกรมในบริเวณทางเดินจงกรม ที่ผมได้ทำไว้ตั้งแต่แรก ยาวประมาณ 15 เมตร ซึ่งอยู่ห่างจากกลดที่ปักอยู่ไปไม่ไกลมาก ผมเริ่มเดินจงกรม โดยดูที่ปลายเท้าและภาวนาพุทโธไปเรื่อย ๆ ประมาณ 15 นาทีเห็นจะได้ เริ่มมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏตัวต่อหน้าผม นั่นคือ มีแสงสีแดง กลม ๆ ลอยอยู่ตรงหน้า และได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อย ๆ หรือนั่นจะเป็น "ผีป่า" ที่เขาว่ากันหนอ
ผมเองไม่รอช้า หยุดเดินจงกรมโดยทันที แล้วกลับมานั่งสมาธิภาวนาที่กลดตามเดิม เริ่มภาวนาไปได้ไม่นาน ก็เกิดนิมิตขึ้นมาในสมาธิว่า แสงสีแดงที่เห็นนั้น คือ ดวงวิญญาณของคนเขมร ซึ่งมีผมสีทอง (ชาวบ้านละแวกนั้น เรียกว่า "ไอ้หัวทอง") ที่ชอบแอบลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในประเทศไทย แล้วนำไปขายที่เขมร จนมาวันหนึ่งทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับได้ และได้มีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ไทย จนกระทั่งถูกวิสามัญ และตายเป็นผีเฝ้าป่า ซึ่งตัวพวกเขาเอง ได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก เพราะยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดสักที ดังนั้น เมื่อเห็นมีพระธุดงค์เข้ามาในป่าเมื่อไหร่ ก็จะปรากฏตัวให้เห็นตลอด เพื่อให้เราอุทิศผลบุญและแผ่เมตตาไปให้เขา ซึ่งก็ได้ผลจริง ๆ หลังจากแผ่เมตตาเสร็จสิ้น ผมเองก็ไม่เคยเจอพวกเขาอีกเลย วันถัดไป ผมเองก็ได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงพ่อ และบรรดาพระใหม่ทั้งหมดได้ฟัง จึงเป็นที่มาของ "เขาศาลา .. ป่าผีเฮี้ยน"