การสะสมยุทโธปกรณ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โพสท์โดย Seed
สถานการณ์การสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันขีดความสามารถของยุทโธปกรณ์ทางน้ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นได้ก้าวล้ำขีดจำกัดเดิมไปมาก ซึ่งเป็นการสร้างความกังวลต่อการสะสมอาวุธและส่งผลให้เป็นการจุดชนวนข้อพิพาทระหว่างนานาประเทศ ไม่ว่าจะโดยพิธีทางการทูต การข่มขู่ รวมไปถึงการแสดงอำนาจในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์โลกแล้วเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการสะสมอาวุธและการรวบรวมกำลังพลทางทหารนั้นได้ผ่อนคลายลงมากตั้งแต่ปลายยุคสงครามเย็น ดังนั้น เมื่อหลายประเทศได้เริ่มทำการสะสมอาวุธอีกครั้งโดยมิได้นัดหมายจึงนำไปสู่การศึกษาถึงประเด็นปัญหาของการสู้รบที่อาจเกิดขึ้น โดยทุกฝ่ายต่างก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสะสมอาวุธของทุกประเทศนั้นจะเป็นเพียงการสะสมเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่คนในชาติ มากกว่าที่จะเป็นการสะสมเพื่อนำมาใช้งานจริง โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่าการสะสมยุทโธปกรณ์นั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายอิทธิพลทางทะเลของจีน และขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ส่งผลให้มีความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตย และผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออุปสงค์ของกองทัพมีมากขึ้น ตลาดผู้ค้าอาวุธในภูมิภาคจึงมีการตื่นตัวและเตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม
กองทัพเรือของสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ต่างอ้างว่ากองกำลังยุทโธปกรณ์ทางน้ำของตนนั้นแข็งแกร่ง ทางด้านฟิลิปปินส์เองก็ประกาศแผนการที่จะพัฒนาความสามารถของยุทโธปกรณ์ใต้น้ำให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัน โดยเรือดำน้ำที่นิยมนำเข้ามานั้นมักจะเป็นของปลดระวางจากกองทัพยุโรปทั้งสิ้น เช่นประเทศสิงค์โปรที่ซื้อเรือดำน้ำ Challenger จากประเทศสวีเดน ประเทศมาเลเซียซื้อเรือดำน้ำ Scorpène จากประเทศฝรั่งเศส ประเทศอินโดนีเซียซื้อเรือดำน้ำ Type-209 จากประเทศเยอรมัน และ ประเทศเวียดนามที่ซื้อเรือดำน้ำ Kilo-class จากรัสเซีย โดยนักวิชาการต่างมองว่าการเคลื่อนไหวในรูปแบบดังกล่าวนี้คือการสะสมอาวุธนั่นเอง
นักวิชาการได้ให้คำอธิบายว่าการสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ของประเทศต่าง ๆ นั้นมีไว้เพื่อปรับสมดุลทางทหารระหว่างรัฐและประชาคมโลก บางรายยังสันนิษฐานว่าการแข่งขันสะสมอาวุธของกองทัพเรือในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อถ่วงดุลอำนาจทางทหารกันระหว่างชาติอาเซียนด้วยกันเอง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง กิจกรรมทางทหารที่มุ่งจะถ่วงดุลระหว่างองค์กรระดับภูมิภาคและประเทศที่แข็งแกร่งนั้นเป็นพฤติกรรมที่พบได้ยาก แม้อาเซียนจะให้ความสำคัญในเรื่องความร่วมมือในการรักษาความปลอดภัยเป็นลำดับรอง แต่พฤติกรรมดังนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่ผิดแผกไปของธรรมเนียมปรกติของประชาคมอาเซียน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสถาบันระหว่างประเทศที่มีการจัดการองค์กรและความสัมพันธ์ที่ดีองค์กรหนึ่ง ในการที่ประเทศสมาชิกอาเซียนจะมีกองทัพที่มีการขยายตัวขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังมีกองทัพที่พร้อมจะตรึงกำลังชาติอื่นๆไว้ในมือ โดยจะสังเกตได้จากอัตราซื้อขายในตลาดอาวุธของโลกในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง
การสะสมอาวุธในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในยุคสงครามเย็น โดยสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์เพื่อแสดงแสนยานุภาพระหว่างกัน แต่ความแตกต่างระหว่างยุคสงครามเย็นกับยุคปัจจุบันคือประเด็นทางสังคมวัฒนธรรม เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังสงวนท่าทีของตนกับจีนอยู่ ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า การสะสมอาวุธของชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดประสงค์เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับประเทศมหาอำนาจอย่างจีน แม้จะยังไม่ต้องการให้เกิดการสู้รบก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น นักวิชาการยังเชื่อมโยงการเพิ่มกำลังพลทางทหารของนานาประเทศว่าเป็นการแสดงท่าทีต่อต้านประเทศจีนอันสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะเวียดนามมีชนวนขัดแย้งกับประเทศจีนในการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะพาราเซล และ สแปรตลีย์ โดยฝ่ายประเทศจีนอ้างการครอบครองดินแดนครอบคลุมพื้นที่โดยการหยิบยก “แผนที่เส้นประ 9 เส้น” ซึ่งกินอาณาบริเวณหลายร้อยกิโลเมตรจากทางตอนใต้และตะวันออกจากมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้สุดของจีน โดยรัฐบาลจีนแถลงว่า สิทธิในการครอบครองพื้นที่บริเวณนี้มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษกว่า 2,000 ปีแล้ว ในขณะที่เวียดนามก็แย้งว่าจีนไม่เคยกล่าวอ้างอธิปไตยเหนือหมู่เกาะทั้ง 2 ในช่วงก่อนปี 1940 โดยเวียดนามยืนยันว่าเวียดนามอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองทั้งหมู่เกาะพาราเซล และ สแปรตลีย์ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยมีเอกสารพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วย
เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงในตลาดอาวุธยุทโธปกรณ์นี้มีประเด็นมากกว่าแค่การซื้อเรือดำน้ำ ผลการวิจัยจากสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (Stockholm International Peace Research Institute : SIPRI) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอิสระที่ค้นคว้าเรื่องการลดอาวุธและความมั่นคงในระดับนานาชาติ ได้มีผลสรุปว่าทวีปเอเชียมีการนำเข้าอาวุธสงครามมากที่สุดในโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา ประเทศสมาชิกอาเซียนรวมถึงไทยได้มีการจัดสรรงบประมาณทางทหารเพิ่มขึ้นเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ และยังรวมถึงการฝึกทดลองประสิทธิภาพอาวุธกันอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ ภาพรวมค่าใช้จ่ายด้านการทหารของกลุ่มประเทศอาเซียนมีอัตราเติบโตสูงขึ้น ซึ่งอินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชามีการจัดสรรงบทหารเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าร้อยละ 80 ถึงแม้ว่าตัวเลขค่าใช้จ่ายจะสามารถสะท้อนถึงขนาดและความทันสมัยของกองทัพได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถบ่งชี้สถานการณ์การแข่งขันสะสมอาวุธได้ชัดเจนนัก เนื่องจากยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกันไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารายเดือน รายปี ค่าใช้จ่ายสำหรับการฝึกอบรม ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้กล่าวไว้ว่าสถานการณ์ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันสะสมอาวุธหรือ Arms Race ได้นั้น ควรมีส่วนประกอบสำคัญ ๓ ส่วนคือ
(๑) ประเทศเหล่านั้นต้องเป็นอริศัตรูกัน
(๒) การเพิ่มจำนวนของอาวุธยุทโธปกรณ์ในอัตราที่สูงฉับพลัน
(๓) เป็นลักษณะเชิงตอบโต้กัน
โพสท์โดย: การเวลา
อ้างอิงจาก: สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อ้างอิงจาก: สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: การเวลา
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เฮ! เงินไร่ละพันยังมาต่อเนื่อง! ชาวนารับเงินช่วยเหลือ ธ.ก.ส. กันอยู่หรือเปล่า? มาอัปเดตกันหน่อย!รีบมา! คืนนี้วันสุดท้ายแล้ว "ตำรวจตกน้ำ" ไวรัลสุดเสียวกาชาด 2567 หล่อ เปียก ฮา พุ่งกระจาย!