(นิยาย) Romance Of Chaotic ลิขิตรัก แม่ทัพวายร้าย ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 พ่อและลูกสาว
“คุคุคุ ช่างน่าแปลกใจที่เจ้ามาหาข้ากลางดึกแบบนี้” หวังซินมองลูกสาวด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกว่าเธอต่างออกไปจากปกติมากทีเดียว
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดกับท่านค่ะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง คิ้วหนาของชายวัยกลางคนเลิกสูงอย่างสงสัย
“สำคัญถึงขนาดที่เจ้าต้องมาหาข้ากลางดึกแบบนี้เชียวหรือ” คำถามย้อนกลับทำเอาอ้ายประหม่าและอึกอักเล็กน้อย
เขาจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูดหรือ เขาจะต้องว่าเธอพูดจาแปลกประหลาดหรืออาจจะหาว่าเธอบ้าไปแล้วก็ได้…แต่ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอก็ไม่ใช่คนที่มีตรรกะความคิดปกติเช่นกัน เขาจะไม่หัวเราะในสิ่งที่เธอกำลังจะบอกออกไปแน่นอน อย่างมากเขาคงคิดว่าลูกสาวตนเองเสียสติหรือหัวได้รับการกระทบกระเทือนเลยพ่นประโยคแปลกๆ ออกมา ค่อยน่าโล่งใจหน่อย..ซะที่ไหนกันเล่า!
“ว่าไง เจ้ามีอะไรอยากจะบอกกับข้ากันล่ะ หรือว่าเจ้าอยากจะย้อนวันวานนอนด้วยกันกับพ่อคนนี้ คุคุคุ”
“สิ่งที่ข้าจะพูดท่านอาจจะไม่เชื่อ…ไม่สิ…มันไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว แต่ข้าก็อยากที่จะบอกท่าน” ชั่วครู่อ้ายมีท่าทีลังเล แต่เมื่อเห็นว่าหวังซินกำลังตั้งใจฟังตนเองมันก็ทำให้เธอกล้าที่จะพูดออกมา เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มต้นเล่าสิ่งที่ต้องการ
...เวลาผ่านไปเกือบ 30 นาทีที่เด็กสาวปล่อยให้คำพูดทุกอย่างพรั่งพรูออกมา สีหน้าของหวังซินเรียบเฉยอ่านได้ยากยิ่ง เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยคำถามใดขัดการเล่าของเธอเลย เรียกได้ว่าเป็นผู้ฟังที่ดีจนน่าขนลุกเลยทีเดียว กระทั่งเมื่อเด็กสาวพูดจบ เธอมองหน้าอีกฝ่ายเพื่อจะดูปฏิกิริยาของเขาต่อจากนี้ เด็กน้อยกำมือแน่นเตรียมรับทุกคำพูดที่เขาจะเอ่ยออกมา
“อย่างนั้นหรือ” เขาว่าสั้นๆ พลางลูบเคราที่ถูกผูกแยกเป็นสองแฉกอย่างใช้ความคิด “หือ เจ้าเป็นอะไรหรือ” เขามองใบหน้าของลูกสาวด้วยความฉงน เพราะเธออ้าปากค้างน้อยๆ ดวงตาเบิกกว้าง
“ท่าน-ท่านไม่คิดมันน่าเหลือเชื่อเหรอ ไม่สิ! ท่านต้องคิดว่าข้าแต่งเรื่องประหลาดๆ อะไรมาเล่าให้ท่านฟัง ข้าต้องเสียสติหรือได้รับความกระทบกระเทือนที่หัว หรือ--”
“ปกติเจ้าก็ทำตัวให้ข้าประหลาดใจได้อยู่แล้ว ถึงเรื่องที่เจ้าพูดจะดูน่าเหลือเชื่อ แต่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าจะต้องไปนั่งแต่งเรื่องพวกนี้มาหลอกข้าด้วยล่ะ คุคุคุ” มือใหญ่ยื่นไปลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“เจ้าเป็นลูกสาวของข้า ข้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด แววตาของเจ้าไม่มีความโกหกเจือปนอยู่เลย แม้เจ้าจะเก่งเรื่องพวกนี้โดยธรรมชาติก็ตาม” คำปลอบใจที่ทำให้คนฟังรู้สึกแปลกๆ นี่เป็นคำชมผสมด่าซึ่งทำเอาเธอสะอึกจนไม่อาจเถียงได้
“ถ้าอย่างนั้นท่านไม่หวนคืนได้มั้ยคะ ท่านไม่จำเป็นต้องออกไปรบ ให้ท่านพี่ถิงเซียวทำหน้าที่นั้นไปไม่ได้หรือคะ”
“เจ้ากำลังกลัวอะไรอยู่หรือ” ประโยคสวนของผู้เป็นพ่อทำให้เธอชะงัก สิ่งที่อ้ายซินเล่านั้นมีเพียงเรื่องที่ว่าเธอมาจากต่างโลก โลกนี้เหมือนกับนิยายที่เธอเคยอ่านทำให้รู้เรื่องราวหลักๆ ผ่านมุมมองของตัวเอกดำเนินเรื่อง ทว่าเธอรู้เพียงบางส่วนเท่านั้น…แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหวังซินเธอไม่ได้พูดมันออกไปทั้งหมดหรือเธอควรจะบอกเขากันดีล่ะ
“ท่านพ่อ ตัวท่าน” ไม่ทันที่อ้ายจะได้พูดสิ่งที่ต้องการ คนตรงหน้าก็ยกมือแตะปากของเธอพลางส่ายหน้าน้อยๆ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่าง” เหมือนเขาจะรับรู้ในสิ่งที่เธอต้องการสื่อ มือใหญ่ถอนออกช้าๆ รอยยิ้มอ่อนโยนใจดียังคงเปื้อนอยู่บนใบหน้าของผู้เป็นพ่อ
“10 ปีที่เราอยู่ด้วยกัน จะว่าสั้นก็สั้น จะว่านานก็นาน ข้าว่าตัวเองนั้นมีชีวิตที่ดีแบบที่ข้าในสมัยก่อนไม่อาจจินตนาการได้ แต่ข้าคงไม่สามารถลืมสนามรบในเมื่อข้าเกิดและโตมาในตระกูลนักรบ”
“ข้าไม่ได้อยากให้เจ้ามีชีวิตแบบข้าเลย แต่ดูเหมือนว่าความหวังนั้นค่อนข้างริบหรี่นะ คุคุคุ”
“ฮะฮะ มันไม่ทันมาตั้งนานแล้วค่ะ ก็ข้ากลายเป็นคนฝั่งนั้นแล้วนี่” เด็กสาวหัวเราะน้อยๆ
“คุคุคุ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ข้าต้องเป็นห่วงและนึกเสียดายเลยจริงๆ” หวังซินลูบเคราราวกับต้องการให้เด็กสาวสังเกตเห็นมัน เพราะสมัยเด็กเธอชอบแยกเคราของผู้เป็นพ่อเล่นเสมอ และเขายอมที่จะตามใจให้เธอจัดการมันได้อย่างเต็มที่
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องที่อยากขอร้องท่านค่ะ” ประกายความมุ่งมั่นฉายชัดอาบดวงตาของเด็กสาวทำเอาผู้เป็นพ่อรู้สึกสนใจไม่น้อย เวลาที่เจ้าหล่อนมีสีหน้าจริงจังเขาไม่อาจคาดเดาได้ถึงสิ่งที่เธอปรารถนาเลย
…ข้าหวังว่าสิ่งที่เจ้าขอจะเป็นเรื่องที่น่าสนุกนะ ลูกสาวของข้า
2 ปี หลังจากแม่ทัพหวังซินหวนคืนตำแหน่ง หลายแคว้นกำลังตื่นตัวกับภัยคุกคามแห่งอดีตกาล โดยเฉพาะคู่ปรับเก่าอย่างเว่ย พวกเขาเองก็มีแม่ทัพที่เก่งกาจซึ่งถูกเรียกว่า 4 ขุนพลเทพ ทว่าการกลับสู่สมรภูมิครั้งนี้ของหวังซินถูกเลื่องลือจากผลงานการรบที่จัดการศัตรูได้อย่างราบคาบ และการปรากฏของกองรบอิสระอันแข็งแกร่งของเขา หน่วยทหารที่ใช้เวลาสร้างชื่อเสียงเพียง 1 ปีกว่า ทหารชั้นยอดระดับนายกอง 100 นาย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ร้อยทหารม้าแห่งฉางซาน (ฉางซานคือพื้นที่ที่หวังซินครอบครอง) แต่ผู้นำที่แท้จริงของกองร้อยนี้คือชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่า เฮยหลง เพราะเขามีง้าวลวดลายมังกรสีดำและลือกันว่าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของหวังซิน ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของชายหนุ่ม เจ้าตัวมักจะสวมเกราะหนักสีดำและใส่หมวกครึ่งหน้า บ้างก็ว่าเขามีใบหน้าอัปลักษณ์จึงต้องปกปิดมันไว้ หรือเขาอาจจะซ่อนแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัวจากสงครามก็เป็นได้
ร้อยทหารม้าจะฟังคำสั่งจากเฮยหลงเพียงเท่านั้น พวกเขาแข็งแกร่งและโหดเหี้ยม เป็นได้ทั้งนักรบและนักฆ่าในเวลาเดียวกัน
“คำพูดของผู้คนลามไปไวเหมือนไฟลามทุ่ง ท่านคิดว่าอย่างนั้นหรือไม่…ท่านพี่” รอยยิ้มของเด็กหนุ่มซึ่งอ่อนกว่าเพียง 1 ปี นั้นใสซื่อและดูมีอะไรในเวลาเดียวกัน ขณะที่เขากำลังวางหมากสีขาวของตนเองลงบนกระดาน
“ดูเจ้าจะชอบใจมันไม่น้อยเลยนะจิ้ง” มือเรียววางหมากสีดำล้อมหมากสีขาวอย่างไม่ยี่หระ คนถูกล้อมยิ้มจางลงชัดเจน
หากเป็นตามนิยาย…เราคงไม่มีทางได้มานั่งเล่นหมากล้อมกับเด็กคนนี้หรอก ในเมื่อเราเป็นตัวตนใหม่นี่นา ใครจะไปคาดคิดละว่า 2 ปีก่อนท่านพ่อจะพาเรามารู้จักกับเขา พระรองของเรื่อง อ๋องจิ้ง และเรากับจิ้งก็เข้ากันได้อย่างน่าประหลาด คงด้วยวัยใกล้เคียงกัน นอกจากพระเอกของเรื่องอย่าง เซิน แล้ว จิ้งก็ไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันอีกเลย…เด็กสาวนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอได้รู้จักกับพระเอกและพระรองของเรื่อง เมื่อหวังซินพาเธอมาเข้าเฝ้าอ๋องจิ้งอย่างลับๆ เลยทำให้เธอได้เจอพวกเขาทั้งคู่
ตามนิยายนั้น เซินได้ช่วยชีวิตของจิ้งจากนักฆ่าที่ลอบทำร้ายเมื่อครั้งจิ้งลอบออกจากวังเพื่อมาดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนในเมืองตอนอายุได้ 9 ขวบ และผู้อยู่เบื้องหลังก็คือเสนาบดีฝ่ายขวาซึ่งถูกเปิดโปงความชั่วร้ายนี้ด้วยความร่วมมือของหลายๆ ฝ่าย เซินจึงได้เลื่อนสถานะจากไพร่ขึ้นมาและสมัครเป็นทหารเข้าร่วมการรบ ซึ่งเขาเองได้ร่วมกับทัพของหวังซิน 2 ครั้งและรู้สึกชื่นชมในฝีมือของแม่ทัพใหญ่เป็นอย่างมาก
จิ้งอายุน้อยกว่าเซินกับอ้าย เซินซึ่งมีอายุเท่ากับอ้ายแต่เรียกเธอว่าพี่สาวเช่นกัน เรื่องที่ลูกสาวของแม่ทัพใหญ่มีหน้าตาแบบไหนนั้นทั้งคู่ถูกขอให้ปิดปากเงียบแม้เซินอยากจะพูดมันออกมาแค่ไหนก็ตาม เพราะข่าวลือกับเรื่องจริงช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวเสียเหลือเกิน มีเพียงคนสนิทของจิ้งคือเสนาบดีฝ่ายซ้ายเท่านั้นที่รู้จักหน้าค่าตาของเด็กสาว
“ข้าได้ยินมาว่าศึกที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้ 1 ใน 4 ขุนพลเทพของเว่ยที่ชื่อหลงหวนจะเป็นคนนำทัพ เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการก้าวเข้ามาเป็นแม่ทัพที่…หือ ท่านพี่เป็นอะไรหรือ” จิ้งมุ่นหัวคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซีดลงชัดเจน ดวงตาสีนิลกาฬฉายชัดถึงความกังวลจนไม่อาจปกปิดได้
“เจ้าว่าใครเป็นแม่ทัพนะ” อ้ายถามย้ำเสียงแผ่ว หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก
“แม่ทัพหลงหวน” สิ้นคำของจิ้ง หมากในมือของเด็กสาวก็ร่วงหล่นใส่กระดาน เธอลุกขึ้นคว้าผ้าคลุมและหันหลังออกวิ่งไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกตะลึงของจิ้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้พูดอะไรที่ผิดพลาดออกไปหรือไม่
ไม่จริงน่ะ! มันถึงเวลานั้นแล้วเหรอ! ทำไมเราไม่รู้เลย ท่านพ่อ—ท่านอย่าพึ่งไปนะ ได้โปรด
เด็กสาววิ่งไปตามเส้นทางทอดยาวสู่สถานที่ที่เธอแน่ใจว่าจะต้องได้พบกับผู้เป็นพ่อซึ่งรอเธออยู่ เขาจะไม่ออกเดินทางหากยังไม่ได้เจอหน้าของลูกสาวคนสำคัญ มันมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ…
“ท่านพ่อ!” อ้ายซินตะโกนเรียก หวังซินหันมามองพร้อมรอยยิ้ม
“ได้โปรด อย่าไป” เธอบอกด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“คุคุคุ ถึงเวลานั้นแล้วหรือ” เขายังคงมีท่าทีผ่อนคลาย
“รู้แบบนั้นแล้วท่านยังจะไปอีกหรือ! ท่านจะทิ้งลูกสาวคนเดียวของท่านไปได้อย่างไร ทำไมท่านไม่พาข้าไปด้วย!” เด็กสาวตัดพ้อทุบอกผู้เป็นพ่อรัว เขายังคงยิ้มมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนไม่ต่างจากปกติ
“เจ้าเติบโตมาเป็นเด็กสาวที่สง่างามและแข็งแกร่งตามที่ข้าคาดหวังจริงๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถดูแลตัวเองได้แม้ข้าไม่อยู่แล้วก็ตาม”
“ท่านจะต้องกลับมา—ท่านพ่อ ท่านจะนำชัยชนะกลับมาหาข้า จริงสิ! ร้อยทหารม้า ท่านต้องพาพวกเขาไปด้วย พวกเขาจะปกป้องท่านได้” อ้ายเสนออย่างมีความหวัง ทว่าร้อยทหารม้าไม่ได้ถูกเรียกตัวให้ร่วมการรบครั้งนี้
“อย่าร้องไห้เลยลูกข้า ข้าจะกลับมาหาเจ้าแน่นอน” หวังซินกอดลูกสาวของตนแน่น อ้อมกอดของเขาอบอุ่นและน่าใจหายในเวลาเดียวกันสำหรับเธอ รอยยิ้มของผู้เป็นพ่อช่างดูมีความสุขจนทำให้เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉายาที่ผู้คนตั้งให้กับเขา…แม่ทัพผู้แปลกประหลาด…เธอไม่เคยเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของเขาแม้แต่ครั้งเดียว
“อย่ายึดติดกับเรื่องราวมากจนเกินไป เจ้ายังจะต้องพบเจอกับผู้คนอีกมากมาย จงขีดเขียนเส้นทางชีวิตของตนเองอย่าให้ใครมากำหนดมัน ข้าไม่ได้หายไปไหนแต่จะอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ ลูกรักของข้า…พ่อขออวยพรให้เจ้าโชคดี แม้เราจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันก็ตาม แต่ข้าก็รักเจ้าไม่ต่างจากลูกแท้ๆ ของข้า” หวังซินคลายอ้อมแขนของตน เขาปาดน้ำตาที่พรั่งพรูจากดวงตาที่เริ่มบวมช้ำของร่างเล็กก่อนจะผละออกไปอย่างช้าๆ
อ้ายซินกลั้นสะอื้นพลางใช้หลังมือเช็ดหน้า ริมฝีปากสั่นระริกถูกสะกดอย่างยากลำบาก แม้จะรู้ดีว่าเวลานี้จะต้องมาถึงในสักวัน แต่มันก็ยากที่จะทำใจให้ยอมรับได้ เมื่อคนสำคัญของตนกำลังจะจากไปไกลโดยไม่มีวันหวนคืนกลับมา
“ข้าจะไม่พูดว่าลาก่อน เพราะท่านจะอยู่ในใจข้าตลอดไป” จบคำพูดพร้อมรอยยิ้มบางส่งท้าย เด็กสาวก็เดินหันกลับไปตามทางที่ตนพึ่งผ่านมาโดยไม่ย้อนกลับไปมองเบื้องหลังอีกเลย