นุ่มสบายกับ “น้ำยาปรับผ้านุ่ม”
เชื่อว่าในยุคนี้หลายคนเวลาซักผ้าแล้วก็มักจะต้องใส่ “น้ำยาปรับผ้านุ่ม” (Fabric Softener หรือ Fabric Conditioner) ลงไปด้วยเพื่อปรับสภาพของผ้าหลังจากการซักด้วยผงซักฟอกแล้ว เพื่อให้ผ้าเมื่อนำไปตากแล้วยังคงมีความนุ่มฟู ไม่แข็งกระด้าง นอกจากนั้นแล้ว น้ำยาปรับผ้านุ่มก็ยังช่วยในเรื่องอื่น เช่น ช่วยลดรอยยับ หรือทำให้ผ้าหอมไม่มีกลิ่นอับ ได้อีกด้วย
จุดเริ่มต้นของน้ำยาปรับนุ่มนั้นมีมาตั้งแต่ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 แล้ว แต่ในตอนแรกนั้นจะยังใช้เฉพาะในอุตสาหกรรมผ้า เนื่องจากพบว่าเมื่อผ้าผ่านการย้อมสีแล้วจะมีผิวกระด้างแข็งขึ้น โดยสูตรของน้ำยาปรับนุ่มที่ใช้กันทั่วไปในยุคนั้นประกอบด้วย สบู่ 3 ส่วน น้ำ 7 ส่วน และน้ำมัน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด หรือไขมันจากสัตว์ 1 ส่วน อย่างไรก็ตาม สารผสมเหล่านี้ก็ไม่ได้ว่าใช้ได้กับผ้าทุกชนิด บางชนิดก็สามารถใช้ได้ดีกับผ้าฝ้าย แต่ใช้ไม่ได้กับผ้าใยสังเคราะห์อย่างไนลอนหรือโพลิเอสเทอร์ ต่อมาจึงมีการพัฒนาสารเคมีสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสารปรับความนุ่มทดแทนสารผสมดังกล่าว
น้ำยาปรับผ้านุ่มเริ่มมีการนำออกมาจำหน่ายในตลาดเมื่อต้นทศวรรษที่ 1960 อย่างไรก็ตาม น้ำยาปรับผ้านุ่มในยุคแรกยังมีข้อเสียคือ เข้ากับผงซักฟอกไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถเติมลงในเครื่องซักผ้าได้จนกว่าจะล้างเอาผงซักฟอกจากเสื้อผ้าจนหมดแล้ว หรือพูดง่าย ๆ คือจะต้องซักผ้านั้นสองครั้ง ครั้งแรกซักกับผงซักฟอก แล้วจึงค่อยเอามาซักกับน้ำผสมน้ำยาล้างผ้านุ่มอีกรอบ ต่อมาในทศวรรษที่ 1970 มีการประดิษฐ์ “แผ่นอบผ้า” เพื่อช่วยให้สามารถใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในขั้นตอนของการอบผ้าแทน ทำให้ลดปัญหาการต้องซักผ้าสองครั้งไปได้ จนกระทั่งเมื่อประมาณทศวรรษที่ 1980 จึงเริ่มมีน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้เติมในระหว่างการซักผ้าน้ำสุดท้ายได้ เพื่อให้สามารถใช้เครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ที่สามารถซักและปั่นแห้งในตัวโดยไม่จำเป็นต้องเข้าเครื่องอบผ้าอีกครั้ง ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นกว่าเดิม
น้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยทำให้ผ้านุ่มฟูได้ด้วยกลไกทางไฟฟ้าเคมี ในระหว่างการซักผ้าโดยเฉพาะในช่วงการปั่นแห้งนั้น เนื้อผ้าจะถูกกดอัดให้ติดกันแน่นและเสียดสีกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนประจุขึ้น ส่งผลทำให้ผ้าเกาะติดกัน น้ำยาปรับผ้านุ่มที่นิยมใช้ทั่วไปจะเป็นแบบประจุบวก ซึ่งจะประกอบด้วยโครงสร้างไฮโดรคาร์บอนสายยาวที่ปลายข้างหนึ่ง และอีกปลายจะเป็นหมู่ฟังก์ชันที่สามารถแตกตัวให้เกิดประจุบวก เช่น Diethyl ester dimethyl ammonium chloride (DEEDMAC) triethanolamine quat (TEAQ) เมื่อโมเลกุลแตกตัว ปลายที่เป็นขั้วบวกจะเกาะยึดอยู่กับผิวของเนื้อผ้า น้ำยาชนิดนี้จะเหมาะกับเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย
อย่างไรก็ตาม น้ำยาปรับผ้านุ่มบางชนิดก็อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้สำหรับผู้สวมใส่ได้ ดังนั้นจึงควรจะใช้งานในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้มีน้ำยาปรับผ้านุ่มตกค้างอยู่บนเนื้อผ้าหลังจากซักและตากแห้งมากเกินไป
อ้างอิงจาก: https://washingclothes.me/blogs/news/the-fabric-softener-and-its-history
และ https://www.whirlpool.com/blog/washers-and-dryers/what-is-fabric-softener.html
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
สภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่น
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่น
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ



