"สภาองค์กรของผู้บริโภค" กับ ปฏิบัติการ “ลิงแก้แห”

สภาพ! สภาผู้บริโภค ไม่เป็นกลางรวมทรู-ดีแทค ยิ่งถลำยิ่งพันคอตัวเอง

สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ที่มี “สารี อ๋องสมหวัง” เลขาธิการฯ เป็นแกนนำ ตั้งหน้าตั้งตาคัดค้านการรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคมาตั้งแต่ต้น ชนิดที่ว่าไม่มีทั้งเวลาทั้งใจไปทำงานอื่นที่ผู้บริโภคตัวจริงเดือดร้อนส่งข้อร้องเรียนเข้าไป เชื่อไม่เชื่อก็ไปย้อนดูในสื่อของสอบ. เองที่ก่อนหน้านี้มีแต่กิจกรรมคัดค้านการรวมกิจการโทรคมนาคม (ซึ่งผู้บริโภคตัวจริงไม่ได้รับผลกระทบหรือร้องเรียน) มากกว่ากิจกรรมการช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนที่แท้จริงของผู้บริโภค อย่างปัญหาแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ ปัญหาค่าไฟแพง หรือปัญหาการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสินค้าและบริการต่าง ๆ เป็นต้น

แต่เพิ่งจะมาระลึกได้ว่าควรจะทำหน้าที่เพื่อผู้บริโภคเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากโดนสะกิดแรง ๆ จากหลายฝ่าย รวมถึงล่าสุด เมื่อ 1-2 วันก่อน ที่วุฒิสภาได้อภิปรายรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2564 ที่หลายคนได้หยิบยกประเด็นบทบาทและคุณภาพการทำงานของสอบ. เข้าไปพูดถึง เป็นต้นว่า งานของสอบ. มีมากมายที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้บริโภค ตามเจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งปัจจุบันมีข้อร้องเรียนเข้าไปเป็นหมื่น ๆ เรื่อง แต่ยังไม่เห็นสอบ. พิสูจน์ตัวเองได้ว่าทำงานคุ้มค่ากับงบประมาณที่รัฐควรจะจัดสรรให้ แถมไม่ได้วางตัวเป็นกลางให้สมกับเป็นหน่วยงานอิสระของรัฐ ที่รธน. มาตรา 61 ระบุว่าสอบ. จะต้องทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการให้ข้อมูลที่เป็นจริง ด้านความเป็นธรรมในการทำสัญญา เป็นต้น ซึ่งการจะพิสูจน์ว่าพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคที่แท้จริง ก็คือการวางตัวเป็นกลาง ที่ในความเป็นจริงกับหลายกรณี เช่น การรวมกิจการของบริษัทสื่อสารโทรคมนาคม ที่สอบ. ไม่ได้ทำตัวให้เป็นกลาง แต่กลับเลือกที่จะไปยืนอยู่กับข้างใดข้างหนึ่ง โดยละทิ้งความต้องการของผู้บริโภคอีกข้างหนึ่งไปอย่างสิ้นเชิง    

ถึงเวลาที่สอบ. ควรต้องทบทวนบทบาทหน้าที่ ผลงาน และฝีมือการทำงานของตัวเองขนานใหญ่ เพราะนอกจากจะไม่มีผลงานดี ๆ ให้ผู้บริโภคได้ชื่นใจแล้ว ที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มเป็นตัวตั้งตัวตีในการคัดค้านการรวมกิจการระหว่างทรู-ดีแทค ที่หวังว่าจะสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ก็ยังตีปีบไม่ดัง แม้ภายหลังจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์หันไปพึ่งพาพันธมิตรหน้าเดิม ที่มีทั้งอดีตกสทช. อกหัก นักเศรษฐศาสตร์อ้างทฤษฎีที่ไม่เป็นปัจจุบัน และนักการเมืองสาวขยันสร้างตัวตน (ผู้ซึ่งออกมายอมรับว่า หากมีประเด็นไหนร้อนๆ เช่น การควบรวมทรูและดีแทค ก็ต้องรับสายออกสื่อมากขึ้น) ก็ยังจุดกระแสไม่ติด

ที่สำคัญนอกจากจะทำงานในหน้าที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักเรื่องเดียวแล้ว เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงก็ยังดันทุรังไม่เลิกราอีก ล่าสุดริอ่านจะสอนมวยศาลปกครอง เข้าไปก้าวก่ายกระบวนการการทำงานของศาล จากกรณีที่สอบ. ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ขอให้สั่งเพิกถอนมติกสทช. ที่รับทราบการรวมธุรกิจทรู-ดีแทค พร้อมกับยื่นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ซึ่งศาลฯ ได้ยกคำร้องการขอคุ้มครองชั่วคราวฯ เพราะพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ยังไม่มีเหตุไม่ชอบด้วยกฏหมาย จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาฯ

ถ้อยแถลงของศาลฯ ก็ชัดเจนตามข่าวที่หลายสำนักเสนอกันไปแล้ว เพราะพิเคราะห์ทุกประเด็นที่สอบ. ร้องเข้าไป แต่ละข้อท่านให้เหตุผลประกอบมาหมด แทนที่จะเข้าใจเจตนาของศาลฯ และหยุดความไร้สาระไว้เพียงเท่านั้น แต่สอบ. กลับกัดไม่ปล่อยในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง ยังดันทุรังขออุทธรณ์คำสั่งศาลฯ อีก คราวนี้อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะศาลฯ ส่งคำวินิจฉัยให้ล่าช้า ทำให้ฝ่ายตนไม่มีโอกาสชี้แจงข้อโต้แย้งของฝ่ายที่ถูกฟ้อง (กสทช.) และผู้ร้องสอด (ทรู-ดีแทค) เรียกว่า เล่นกับเนื้อหาสาระไม่ได้ ก็ไปเล่นกับระบบ ไม่ต่างกับพวกขี้แพ้ชวนตี เด็กงอแงจะเอาดั่งใจ ไม่ฟังเหตุฟังผล

ตามกระบวนการแล้ว เมื่อสอบ. ส่งเรื่องร้องเรียนเข้าไป ศาลฯ ก็ต้องแจ้งผู้ถูกฟ้อง (กสทช.) ให้รับทราบว่าคุณกำลังถูกฟ้องจากใคร เรื่องอะไร แล้วศาลฯ ก็ต้องให้โอกาสผู้ถูกฟ้องส่งคำชี้แจงมา เพื่อศาลฯ จะได้มีข้อมูลของทั้งสองฝ่ายในการพิจารณา และเมื่อเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ศาลฯ ก็ต้องแจ้งให้บุคคลที่เกี่ยวข้อง (ทรู-ดีแทค) รับทราบและส่งข้อชี้แจงมาประกอบการพิจารณาของศาลฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อศาลฯ ได้รับข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ก็นำไปพิจารณา เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว ศาลฯ ก็ต้องแจ้งกลับไปยังทุกฝ่ายให้รับทราบผลการพิจารณา ก็ถือว่าจบสิ้นกระบวนการ

แต่ที่ไม่จบคือ สอบ. ยังอ้างว่าเป็นผู้ฟ้องที่ไม่ได้รับเอกสารแจ้งจากศาลฯ ในเวลาที่ควรจะได้รับ ทำให้ไม่สามารถโต้แย้งข้อชี้แจงของผู้ถูกฟ้องได้ จุดนี้เป็นการก้าวล่วงกระบวนการทำงานของศาลฯ เพราะเมื่อศาลฯ ได้รับข้อมูลของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว หากมีข้อสงสัยประการใด ศาลฯ จะเรียกชี้แจงเป็นเอกสารหรือตัวบุคคลเอง แต่หากได้ข้อมูลครบ ไม่มีคำถามข้อสงสัย ศาลฯ ก็สามารถดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยได้เลย ตรงนี้สอบ. ยังจะอ้างเรื่องการชี้แจงโต้แย้งอะไรอีก เพราะไม่ใช่อำนจหน้าที่ของสอบ. ผู้ฟ้องคดี แต่เป็นอำนาจโดยสมบูรณ์ของศาลฯ

ยังมิวายแค่นั้น สอบ. ยังบังอาจเล่นใหญ่ ชี้ความผิดว่า ศาลฯ ใช้เวลาในการพิจารณาน้อยเกินไป และไม่เรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมไปพิจารณา จึงร้องเรียนให้ส่งเรื่องไปพิจารณากันใน “ที่ประชุมใหญ่ในศาลปกครองชั้นต้น” เรียกว่า หัวไม่หลุด ไม่หยุดเห่า

เรื่องนี้ศาลฯ ได้ให้ข้อมูลไว้ครอบคลุมครบถ้วนทุกมิติแล้ว การที่ยังไม่ยอมหยุด เจตนาชัดว่าไม่มีความเคารพศาลฯ หรือต้องการทำตัวเป็นศาลเตี้ยเสียเอง ทางนี้ไม่ได้ ก็จะเอาทางนั้น ดิ้นหาทางออกเป็นลิงแก้แห แต่ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง จะพันคอตัวเองตายสักวัน

ใครที่ติดตามเรื่องนี้อย่างมีใจเป็นกลาง ก็คงได้แต่ร้อง เฮ้อ! เอือมระอากับพฤติกรรมที่ไม่เป็นสาระ ทำงานไม่ได้เรื่อง ไม่ว่างานในหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญหรืองานเสริม ชี้ชัดว่าขาดคุณภาพอย่างรุนแรง สมแล้วที่ได้รับงบประมาณล่าช้า จริง ๆ แล้วสภาไม่ควรเสียเวลามานั่งพิจารณางบประมาณให้กับองค์กรไร้คุณภาพเยี่ยงนี้ และควรจะมีทัณฑ์บนให้ว่า ถ้าไม่สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ในการช่วยเหลือผู้บริโภคบรรเทาความเดือดร้อนโดยตรง ก็ควรจะยุบองค์กรไปเลยดีกว่า หรือหาคนคุณภาพที่รู้บทบาท รู้หน้าที่ เข้ามาบริหารแทน