เสือโคร่งตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่าในประเทศไทย
เสือโคร่ง สัตว์ป่าคุ้มครองของประเทศไทย เลี้ยงลูกด้วยนมและเป็นสัตว์กินเนื้อ แม้จะดูดุร้ายเกรี้ยวกราดเพียงใด ความน่ากลัวเหล่านี้กลับไม่ได้ทำให้ใครหวาดกลัวได้เลย เห็นได้จากจำนวนประชากรเสือโคร่งที่ลดลงจากการถูกล่า, อาหารที่ลดน้อยลง หรือการสูญเสียพื้นที่แหล่งอาศัย จากการสำรวจพบว่า ประชากรเสือโคร่งในประเทศไทยมีอยู่ในธรรมชาติ ราวๆ 140 - 180 ตัวเท่านั้น
เนื่องจากประชากรเสือโคร่งที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช วางแผนในการอนุรักษ์ประชากรเสือโคร่งเพื่อให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การวิจัยและติดตามเสือ การคุ้มครองถิ่นที่อยู่อาศัย และอีกประการคือการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) ที่นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกันกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในการเก็บข้อมูล สำรวจ ตรวจวัด อีกทั้งยังสามารถนำมาวิเคราะห์จัดการและป้องกันป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในเดือนกรกฎาคม 2565 พบว่าแม่เสือโคร่งอภิญญาที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการติดตั้งปลอกคอดาวเทียม เพื่อติดตามชีวิตความเป็นอยู่ตั้งแต่ตั้งท้อง ได้กำเนิดลูกกลางป่าห้วยขาแข้ง จำนวน 2 ตัว จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า พื้นที่ป่าห้วยขาแข้งแห่งนี้ มีเสือโคร่งสายพันธุ์อินโดจีนอยู่ถึง 100 ตัว ถือได้ว่าเป็นแหล่งพันธุกรรมเสือโคร่งสายพันธุ์อินโดจีนแห่งสุดท้ายของโลกอีกด้วย เนื่องจากข้อมูลนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 เสือโคร่งสายพันธุ์อินโดจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศเวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา ไม่มีการเพิ่มจำนวนอีกเลย และมีแนวโน้มลดลง
อีกหนึ่งกรณีที่น่าสนใจคือ น้องขวัญ ลูกเสือโคร่งที่มีอายุเพียง 2 เดือน ถูกลักลอบซื้อขายในราคา 400,000 บาท ซึ่งตำรวจ กก.1 บก.ปทส., ตำรวจ กก.2 บก.ปทส, มูลนิธิด้านการสืบสวนการค้าสัตว์ (WJC), ชุดปฏิบัติการพิเศษ 1362, สำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า ชุดปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดด้านสัตว์ป่าและพืชป่า (ชุดเหยี่ยวดง) ได้ร่วมวางแผนจับกุมผู้ต้องหา เมื่อ 5 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา เบื้องต้นน้องขวัญถูกนำส่งไปไว้ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก และศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก ซึ่งปัจจุบันน้องมีร่างกายที่แข็งแรง มีพัฒนาการที่ดี เพราะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดนั่นเอง
ด้านกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เอาจริงกับผู้กระทำความผิด ดังเช่นกรณีข้างต้นจะมีความผิดตามมาตรา 17 ฐาน “มีสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี” มีอัตราโทษตามมาตรา 92 จำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 29 ฐาน “ค้าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” มีอัตราโทษตามมาตรา 89 จำคุกไม่เกินสิบปี ปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประกอบมาตรา 112 และ มาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพราะฉะนั้นแล้วหากอยากเห็นผืนป่าที่สมบูรณ์ มีสัตว์ป่านานาชนิด เราต้องหยุดการล่า การค้า เพื่อให้พวกเขาได้มีชีวิตอยู่ตามวิถีทางธรรมชาติ และเพื่อให้ลูกหลานได้มีโอกาสในการศึกษาและเรียนรู้ต่อไป
















