ทีมนักวิจัยค้นพบเชื้อโรคที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ทำลายอารยธรรมยุคสัมฤทธิ์กว่าสี่พันปีก่อน
ทีมนักวิจัยค้นพบเชื้อโรคที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ทำลายอารยธรรมยุคสัมฤทธิ์กว่าสี่พันปีก่อน
ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ย่อมมีวันเปลี่ยนแปลงไปตามกาล เวลาเชื้อโรคร้ายที่ทำลายวัฒนธรรม อารยธรรมยุคสัมฤทธิ์ หรือ: Bronze Age เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งที่มนุษย์รู้จักใช้โลหะสัมฤทธิ์
เป็นช่วงหนึ่งที่มีโรคระบาดหนัก
และมันอาจจะทำให้อารยธรรมต่างๆในยุคนั้นให้สูญสลายไปได้ เพราะวิทยาการการรักษาพยาบาลอาจจะยังไม่พัฒนาเหมือนยุคปัจจุบัน..ก่อนที่จะมีการฟื้นฟูอีกครั้ง...เชื้อโรคที่ว่านั้นอาจจะเป็นเชื้อโรคร้ายดังเช่นคล้ายไวรัสโควิดที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ได้
มันน่าจะเป็นวัฏจักรของโลกเมื่อมีคนมากขึ้นโลกก็จะจัดระบบระเบียบใหม่เป็นไปตามกลไกของ ธรรมชาติ..
อารยธรรมแห่งยุคราชอาณาจักรเก่าของอียิปต์ ล่มสลายลงเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล
อาณาจักรโบราณหลายแห่งในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ในยุคราชอาณาจักรเก่าหรือจักรวรรดิอักคาเดียน ต้องล่มสลายลงเพราะเชื้อกาฬโรคและไข้ทัยฟอยด์ชนิดที่ไม่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน
ผลวิเคราะห์ดีเอ็นเอของจุลินทรีย์ที่อยู่ในฟันมนุษย์ยุคสัมฤทธิ์ ซึ่งค้นพบที่ถ้ำสุสานแห่งหนึ่งบนเกาะครีต (Crete) ของประเทศกรีซ ชี้ว่ามีเชื้อแบคทีเรียสองชนิดได้แก่ Yersinia pestis ที่ทำให้เกิดกาฬโรค และ Salmonella enterica ที่ทำให้คนป่วยด้วยไข้ทัยฟอยด์ แต่เชื้อดังกล่าวเป็นสายพันธุ์เก่าแก่ที่สูญสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว
รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Biology ระบุว่า การที่พบเชื้อโรคระบาดในโครงกระดูกของผู้คนจากอาณาจักรใหญ่ ซึ่งมีประชากรหนาแน่นและมีการติดต่อไปมาหาสู่กันอย่างกว้างขวางเมื่อราว 4,000 ปีก่อน ทำให้เชื่อได้ว่ายุคนั้นมีการแพร่กระจายตัวของเชื้อก่อโรค จนอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อารยธรรมต่าง ๆ ในแถบตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนพากันล่มสลายลง ในช่วง 2,200 - 2,000 ปีก่อนคริสตกาล
ทีมนักพันธุศาสตร์เชิงโบราณคดีของสถาบันมักซ์พลังก์เพื่อการศึกษามานุษยวิทยาวิวัฒนาการ (MPI-EVA) บอกว่า แม้งานวิจัยใหม่ ๆ มักกล่าวโทษการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อาณาจักรโบราณล่มสลาย เนื่องจากเกิดการโยกย้ายถิ่นฐานและแย่งชิงทรัพยากร แต่การค้นพบล่าสุดของพวกเขากลับชี้ว่า โรคระบาดก็น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งด้วย
ภาพขยายเชื้อกาฬโรค Yersinia pestis (สีเหลือง) บนตัวเห็บหมัด (สีม่วง)
หากมีเชื้อกาฬโรคแพร่กระจายในยุคสัมฤทธิ์จริง จะนับว่าเป็นการระบาดที่มีมาก่อนบันทึกการระบาดใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งตรงกับรัชสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ เมื่อราว ค.ศ. 541 แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานที่ชี้ว่า ผู้คนอาจเริ่มติดเชื้อกาฬโรคมาตั้งแต่ช่วงยุคหินใหม่แล้ว
ทีมผู้วิจัยอธิบายว่า เป็นเรื่องยากที่จะประเมินถึงระดับความรุนแรงของการระบาดในยุคสัมฤทธิ์ ทั้งยังไม่อาจทราบได้ว่าเชื้อที่สูญพันธุ์ไปแล้วแพร่กระจายตัวด้วยวิธีใด และมีฤทธิ์ร้ายแค่ไหนเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นเชื้อกาฬโรคนั้นมีวิวัฒนาการ โดยเปลี่ยนจากการใช้เห็บหมัดบนตัวหนูเป็นพาหะติดต่อสู่คน มาเป็นกาฬโรคปอดที่สามารถแพร่กระจายเชื้อไปกับละอองลอยในอากาศได้
ส่วนเชื้อไข้ทัยฟอยด์สายพันธุ์โบราณที่ค้นพบในครั้งนี้ ไม่มีลักษณะสำคัญทางพันธุกรรมซึ่งปกติจะทำให้เกิดอาการรุนแรงถึงแก่ชีวิตในมนุษย์ได้ นอกจากนี้ทั้งกาฬโรคและไข้ทัยฟอยด์นั้นไม่ทิ้งรอยโรคใด ๆ ไว้บนกระดูกของผู้ป่วยเลย ทำให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคระบาดที่ล่มอาณาจักรโบราณอันยิ่งใหญ่หลายแห่ง ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
สาระข้อมูลเพิ่มเติม เราต้องมาทำความเข้าใจคำว่ายุคสำริดเพิ่มเติมกันอีกสักนิดนะครับ
สะกดว่า สำริด (อังกฤษ: Bronze Age) เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ยุคหนึ่งที่มนุษย์รู้จักใช้โลหะสัมฤทธิ์ ในบางพื้นที่ได้เข้าสู่ช่วงก่อนมีตัวอักษร และบางพื้นที่อารยธรรมเมืองได้เริ่มก่อร่างขึ้น ยคสัมฤทธิ์เป็นยุคที่สองในระบบสามยุคหิน-สัมฤทธิ์-เหล็ก ซึ่งเสนอโดย Christian Jürgensen Thomsen สำหรับจำแนกและศึกษาสังคมยุคโบราณ ยุคสัมฤทธิ์โดยทั่วไปเกิดขึ้นหลังยุคหินใหม่ โดยมียุคทองแดงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน
สัมฤทธิ์เป็นโลหะที่เกิดจากทองแดงหลอมกับดีบุก ตะกั่วหรือโลหะอื่น สังคมในยุคดังกล่าวอาจผลิตโดยการหล่อโลหะขึ้นเองหรือค้าขายเแลกเปลี่ยนจากแหล่งผลิตที่อื่น ทั้งนี้ สัมฤทธิ์มีความแข็งและทนทานกว่าโลหะอื่นที่มีอยู่ในเวลานั้น
ทำให้อารยธรรมที่รู้จักใช้สัมฤทธิ์มีข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยี ส่วนเหล็ก แม้ว่าจะมีอยู่มากในธรรมชาติ แต่ด้วยจุดหลอมเหลวที่สูงทำให้ไม่มีใช้กันแพร่หลายจนปลายสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ส่วนเตาเผาภาชนะดินเผาซึ่งมีอายุถึง 6,000 ปีก่อนคริสตกาลสามารถผลิตความร้อนเพื่อหลอมดีบุกกับทองแดงได้แล้ว
วัฒนธรรมยุคสัมฤทธิ์แตกต่างกันในการพัฒนาการเขียนขึ้นครั้งแรก จากหลักฐานดีทางโบราณคดีพบว่าวัฒนธรรมในเมโสโปเตเมีย (อักษรคูนิฟอร์ม) และอียิปต์ (ฮีโรกลิฟ) เป็นผู้พัฒนาระบบการเขียนที่มีใช้แห่งแรก
อ้างอิงจาก: วิกิพีเดีย และ google