ทำความเข้าใจเตาเผาศพทางมลมิษในเมืองอย่างไร?
พิธีการฌาปนกิจศพ หรือเผาศพ เป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดในงานศพของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เนื่องจากเป็นพิธีอำลาและแสดงความอาลัยครั้งสุดท้ายให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตก่อนที่จะเข้าสู่เชิงตะกอน สาเหตุที่บอกว่าการเผาศพก่อให้เกิดมลพิษในอากาศ เพราะเดิมทีใช้ไม้ ฟืน ถ่านเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงวัสดุตกแต่งโลงศพ พวงหรีด กระดาษเงินกระดาษทอง ที่ประกอบด้วย สี พลาสติก โฟม โลหะหนัก เป็นต้น วัสดุเหล่านี้ก่อให้เกิดทั้งฝุ่นละออง เขม่าควัน กลิ่นเหม็น, โลหะหนัก (แคดเมียน ตะกั่ว ปรอท ไดออกซินและฟิวแรน), กลิ่นจากการสลายตัวของสารอินทรีย์ในศพ, ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์, ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นต้น ซึ่งศพหนึ่งศพ จะใช้เวลาในการเผาประมาณ 1 ชั่วโมง หรืออาจจะนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายของผู้เสียชีวิต และความเปียกแห้งของศพนั้นๆ โดยสัปปะเหร่อจะอุ่นไฟให้อุณหภูมิร้อนได้ที่ในช่วงแรก เพื่อลดควันที่จะเกิดขึ้น และเร่งไฟให้สูงในช่วงหลัง ยิ่งศพมีขนาดใหญ่ก็จะต้องรุมไฟ เร่งไฟเพิ่ม ปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นมักเกิดในช่วงต้นของการเผา โดยตามประเพณีจะมีการเผาโลงไปพร้อมกับการเผาศพ ซึ่งในช่วง 30 นาทีแรก มักเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์หรืออุณหภูมิไม่สูงพอ ทำให้เกิดสารมลพิษ เบื้องต้นมีแนวทางการปฏิบัติเพื่อลดมลพิษจากการเผาศพ ดังนี้
- ควรใช้เตาเผาศพชนิด 2 ห้องเผา (ห้องเผาศพ, ห้องเผาควัน) ใช้น้ำมันดีเซล หรือก๊าซเป็นเชื้อเพลิง มีการควบคุมอุณห๓มิและระยเวลาในการเผา มีระบบควบคุมและบันทึกข้อมูลการทำงานของเตาเผา มีประสิทธิภาพในการควบคุมมลพิษในระดับดี ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ กทม. ส่วนใหญ่ใช้เตาเผาชนิดนี้
- คัดแยกวัสดุที่ไม่ควรเผาออก เช่น พลาสติก โฟม กระดาษเงิน กระดาษทอง วัสดุแต่งโลงศพ
- อุ่นห้องเผาควัน (ห้องเผาสุดท้าย) ก่อนติดไฟห้องเผาศพ และควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ต่ำกว่า 850 องศาเซลเซียสตลอดเวลาเผา
- ติดไฟห้องศพ (ห้องเผาแรก) และควบคุมอุณหภูมิไม่ให้ต่ำกว่า 700-900 องศาเซลเซียส
- ตรวจสอบว่าเกิดการเผาไหม้สมบูรณ์หรือไม่ โดยสังเหตเขม่าควันที่ปลายปล่อง หากมีเขม่าควันเกิดขึ้นต้องทำการปรับอุณหภูมิและ/หรืออัตราการจ่ายเชื้อเพลิงเพื่อไม่ให้เกิดเขม่าควันการเผา
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาเว็บไซต์ "ราชกิจจานุเบกษา" เผยแพร่ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้เตาเผาศพ เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2565 โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงการกำหนดให้ เตาเผาศพเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้เตาเผาศพเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2546
ข้อ 2 ในประกาศนี้
"เตาเผาศพ" หมายความว่า สถานที่ที่จัดไว้สำหรับเผาศพ ตามกฎหมายว่าด้วยสุสานและฌาปนสถาน
"ค่าความทึบแสง" หมายความว่า จำนวนร้อยละของแสงที่ไม่สามารถส่องผ่านเขม่าควันจากปล่องเตาเผาศพ
ข้อ 3 ให้เตาเผาศพเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม
ข้อ 4 ห้ามมิให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองเตาเผาศพปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมเว้นแต่จะได้ทำการควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐานค่าความทึบแสงของเขม่าควันจากปล่องเตาเผาศพที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานค่าความทึบแสงของเขม่าควันจากปล่องเตาเผาศพ แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ใช้วิธีทำให้เจือจาง (Dilution)
ข้อ 5 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับกับเตาเผาศพในเขตพื้นที่ ดังต่อไปนี้
5.1 ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาลนครและเขตเทศบาลเมือง ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
5.2 ในเขตพื้นที่อื่นนอกเหนือจากข้อ 5.1 ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามปี นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 6 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
การทำพิธีฌาปนกิจศพหรือการเผาศพนั้น เป็นเรื่องของประเพณีหรือพิธีกรรมที่สืบทอดกันมา แต่มลพิษที่เกิดขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในสังคม ชุมชน และส่วนรวม ดังนั้นจึงเป็นการดีอย่างยิ่งที่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ดี และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย