รักในร้านหนังสือ
รักในร้านหนังสือ
โดย : อักษราลัย
ผมเหลือบตามองเธอเป็นครั้งที่ล้านภายในระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงของการปรากฏตัวของเธอในสถานที่แห่งนี้ ใจอยากจะบังคับขาของตัวเองให้ก้าวเดินเข้าไปหาเธอเพื่อพูดคุย แต่ใจกลับไม่กล้า เพราะคงดูจะเป็นเจ้าของร้านหนังสือที่ขี้หลีไปหน่อยหากทำตามใจตัวเองแบนั้น
ร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งนี้ของผมตั้งอยู่ในตำบลเล็ก ๆ ของจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ หลังจากที่ผมหอบความฝันของการเป็นนักเขียนไปไต่เต้าอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่วัยรุ่น เมื่อได้มีผลงานตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารบ้าง ผมก็รู้สึกว่าอาชีพที่ผมจะทำนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากการเป็น "นักเขียน" แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมรู้แล้วว่าการจะได้เป็นนักเขียนนั้นไม่ง่าย การได้มีผลงานลงตีพิมพ์บ้างไม่ใช่การการันตีว่าผมจะเดินไปบนเส้นทางที่วาดฝันนี้ได้ และเมื่อผมอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการส่งผลงานเข้าประกวดในเวทีต่าง ๆ ซ้ำซ้อนอย่างต่อเนื่อง ผมจึงต้องซมซานกลับมาหลบเลียแผลใจยังบ้านเกิด แปรเปลี่ยนความฝันจากการเป็นนักเขียนมาเป็นนักอ่าน แม้จะยังไม่เลิกส่งผลงานเข้าประกวด แต่ผมก็ต้องหาวิธีดำรงชีพด้วยวิธีอื่นนอกเหนือจากรายได้จากการเขียน ที่ผมไม่อาจทำได้อย่างสม่ำเสมอ นั่นแหละร้านหนังสือ "ชวนอ่าน" จึงได้ถือกำเนิดขึ้นบนบ้านเกิดที่ผมขอแบ่งพื้นที่มาจากร้านชำของแม่ และแน่นอนรายได้จากร้านหนังสือก็ดีกว่ารายได้จากการเขียนแค่เพียงนิดหน่อยเท่านั้น จนแม่จากไป ผมจึงควบรวมกิจการร้านชำของแม่และร้านหนังสือเข้าด้วยกัน กลายเป็นร้าน "ชวนซื้อ" โดยมีผมเป็นเจ้าของอย่างเต็มตัวเพียงลำพัง
เธอมักจะมาปรากฏตัวที่ร้านหนังสือของผมในทุกบ่ายของวันจันทร์ แรก ๆ ผมไม่ได้สนใจอะไรเธอมากนัก นอกไปจากชื่นชมที่เธอรักตัวหนังสือเช่นเดียวกับผม เพราะหลัง ๆ มานี้รายได้ส่วนใหญ่ของผมมาจากของกินของใช้เสียมากกว่าหนังสือ แต่ผมก็ยังคงมีความสุขกับการได้หยิบจับหนังสือต่าง ๆ เข้าชั้น จัดเรียงเป็นหมวดหมู่ ได้สูดกลิ่นหมึกจากกระดาษทสัมผัสจากหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ แม้จะไม่เคยมีชื่อผมบนหนังสือเล่มใดในร้านของผมเลยก็ตาม
นิ้วเรียวที่ไล่ไต่ไปตามชั้นต่าง ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ออกมาดู ขยับแว่นสายตาที่ทำให้หน้าของเธอดูบ้องแบ๊วให้เข้าที่ก่อนจะไล่อ่านคำโปรยจากด้านหลังของหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า เพื่อจะเลือกติดมือกลับไปเพียงหนึ่งเล่มในแต่ครั้ง
"ผมห่อปกให้นะครับ" ผมกุลีกุจอห่อปกหนังสือที่เธอเลือกมาอย่างบรรจง ถ่ายทอดความรักจากใจผ่านมือของผมไปสู่หนังสือที่กำลังห่อ เพียงเพื่อหวังว่าเมื่อเธอได้หยิบหนังสือมาอ่านคราใด ไอกรุ่นความรักของผมจะแทรกซึมผ่านมือเธอเข้าไปถึงหัวใจเธอได้บ้าง เธอยิ้มเห็นลักยิ้มบุ๋มข้างแก้มก่อนจะตอบรับคำเบา ๆ
"ขอบคุณค่ะ"
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานจากสัปดาห์ผ่านเดือน ล่วงผ่านปี ก่อนที่ผมคิดว่าจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ในวันนี้ที่เธอจะมา เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเธอชื่อ "แก้มใส" และเราเริ่มคุยทักทายกันมากกว่าคำว่าผมห่อปกให้นะครับ กับคำว่า ขอบคุณค่ะ มาระยะหนึ่งแล้ว นั่นไงเธอเดินข้ามถนนตรงมาแล้ว ผมยาวสลายสีดำสลวยคลอเคลียข้างแก้มตามลมที่พัดทำให้เธอดูน่ารักกว่าทุกวัน เสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งที่ผมคล้องไว้ที่ประตูดังทันทีที่เธอผลักประตูเข้ามาด้วยรอยยิ้มสดใส
"สวัสดีค่ะคุณดิน หนังสือที่แก้มสั่งไว้มารึยังคะ"
"ยังเลยครับ น่าจะอีกวันสองวัน เดี๋ยวถ้ามายังไงผมจะไลน์ไปบอกนะครับ"
"ค่ะ" พูดจบเธอก็เดินไปเลือกหนังสือตามชั้นหนังสือเหมือนเคย ผมเหลือบสายตาแอบลอบมองเธออย่างเพลิดเพลิน จนเธอหยิบหนังสือเดินมาวางไว้ให้ตรงหน้า
"แก้มคงจะไม่ได้มาสักสองสามอาทิตย์นะคะ" เธอพูดขณะหยิบเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ตามราคาจากหน้าปก ก่อนจะหยิบซองสีชมพูหวานแหววตามออกมาด้วย ผมมีอาการมือเท้าเย็นทันทีที่เห็นซองนั้น
‘มันต้องเป็นการ์ดแต่งงานแน่ ๆ’ ผมคิดอยู่ในใจขณะที่มือยังคงห่อปกหนังสือให้เธอเหมือนเคย พลางนึกสงสัยว่าความรักของผมส่งไปไม่ถึงใจเธอหรืออย่างไร เอื้อมมือไปรับซองสีชมพูนั้นด้วยใจที่สั่นระรัว สมองมีอาการมึนงง อยากจะวิ่งหนีจากไปจากความเป็นจริงตรงหน้า แต่ก็ทำไม่ได้ ค่อย ๆ หยิบซองนั้นขึ้นมาเปิดการ์ดด้านในออกอ่าน ข้อความที่ระบุว่า
"ขอเรียนเชิญคุณไอดินร่วมเป็นเจ้าภาพในงานอุปสมบถของนาย…" สายตาผมพร่าเลือนไปจนไม่สนใจแล้วว่าชื่อนั้นจะเป็นใคร รอยยิ้มเปิดกว้างกว่าที่เคย ก่อนจะตอบกลับไปว่า
"ได้สิครับ แต่วันนี้แก้มว่างพอที่จะไปนั่งดื่มกาแฟกับผมที่ร้านฝั่งตรงข้ามไหมครับ"
เธอยิ้มกว้างเช่นเดียวกันกับผม ก่อนจะตอบกลับมาว่า
"นึกว่าชาตินี้จะไม่ชวนซะแล้ว" แล้วเราก็หัวเราะให้กัน ด้วยเสียงที่ดังกังวานกว่าทุกคราว …