คำพิพากษา
พิษเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 หลายบริษัทปิดตัวลง หลายคนล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว หลายคนตกงาน ชมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ชมไม่ได้ตกงานเพราะพิษเศรษฐกิจเหมือนคนอื่น ๆ ชมตกงานเพราะชมทำงานไม่ได้ ชมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอย่างกะทันหัน อาการของมันรุนแรงระดับสิบคือระดับสูงสุดของโรค ชมต้องขอลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ในกรุงเทพ ถึงไม่ขอเขาก็คงต้องให้ออกอยู่แล้วล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องการไปทำงานหรอก แค่การตื่นมาทำกิจวัตรประจำวันอย่างการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ยังต้องใช้แรงกายแรงใจอย่างมหาศาล ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันหายไปไหน เหมือนใครมาแอบสูบพลังงานไปยามเราหลับ
เก็บข้าวของกลับบ้านนอกซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบน มาอยู่บ้านนอกได้ไม่นานชมก็ไปถ่ายบัตรประชาชนใหม่ที่อำเภอ ณ ที่นั่นชมก็ได้พบรักกับสัสดีอำเภอหนุ่มใหญ่ที่เพิ่งย้ายมารับตำแหน่งได้ไม่นาน ความรักของเราเป็นรักแรกพบ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ชมอยากขอให้เราไม่เคยได้พบกัน เพราะการพบกันของเรามันคือหายนะของชีวิตเราทั้งคู่ แต่เป็นของชมเสียส่วนใหญ่ ทุกวันนี้เวลาได้ยินเพลง “พบรักที่หน้าอำเภอ” ความทรงจำเก่า ๆ ก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ
หมู่บ้านที่ชมอยู่เป็นบ้านนอก สมัยนั้นน้ำกิน น้ำดื่มยังต้องเอารถเข็นไปเข็นเอาที่บ่อบาดาลในวัด หรือบ่อตามท้องไร่ปลายนา น้ำประปายังเข้าไม่ถึง แต่ไฟเข้าถึงนานแล้ว อาชีพของชาวบ้านก็ทำไร่ไถนา
ชมเรียนจบปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ จบแล้วก็เข้าทำงานที่สำนักงานแห่งหนึ่ง ทำไปได้เกือบปี เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คือตื่นเช้ามาวันหนึ่งชมไม่มีเรี่ยวแรงเลย ชมขวัญเสียอย่างหนักอยากนอนอยู่อย่างนั้นอย่างเดียว ไปทำงานไม่ได้ รู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด น้ำตาเจ้ากรรมไม่รู้มาจากไหนไหลไม่ยอมหยุด คิดอยากตายอยู่ตลอดเวลา วนเวียนอยู่อย่างนั้น
ตอนนั้นชมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร มารู้ทีหลังหลายปีต่อมาว่ามันคืออาการของโรคซึมเศร้า ชมลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้านนอกแห่งนี้ที่การข่มเหงรังแกจากแม่และญาติ ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป (ชมป่วยเป็นโรคนี้เพราะแม่และญาติ physical, emotional and psychological abuse มาตั้งแต่จำความได้ค่ะ) ชมมองหาทางออกเสมอ ทางออกทางแรกที่คิดคือการฆ่าตัวตาย ด้วยความที่ชมไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา ชมก็เห็นตลอดว่าพ่อใช้ยากำจัดวัชพืชหลายชนิด แต่มีอยู่ชนิดหนึ่งที่แม่บอกว่ามันออกฤทธิ์แรงและเร็ว ทรมานไม่ถึงห้านาทีก็ตาย ชมก็เลยตัดสินใจเลือกทางนี้ เคยคิดจะกระโดดน้ำตาย ไปนั่งอยู่ที่ขอบสระตั้งนานสองนานก็ไม่กล้ากระโดด เลยต้องหาวิธีการใหม่ เอาละ....กินยาฆ่าหญ้านี่แหละคือทางเลือกที่ดีที่สุด ทรมานแค่ไหนไม่รู้ แต่คงได้ตายสมใจแน่นอน
ชมไปตลาดไปซื้อยาฆ่าหญ้าชนิดนี้มา เอาขวดเล็กที่มีความเข้มข้นสูงสุด ยาชนิดนี้ไม่มีสีไม่มีกลิ่น ชมจะเอาไปผสมกับโค้กที่ชมโปรดปราน แล้วก็จะดื่ม และก็จะได้ไปให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่นี้เสียที แต่วินาทีที่ชมจะยกขึ้นดื่มนั้น มือชมสั่นเทา น้ำตาไหลพราก ความคิดในหัวตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น หลักความเชื่อของศาสนาที่ชมศรัทธาก็แวบเข้ามาในหัว พระเจ้าจะไม่รับดวงวิญญาณของคนที่ฆ่าตัวตาย จะไม่ได้ไปอยู่ในเมืองบรมสุขเกษมกับพระองค์ จะได้ไปสู่แดน นรกภูมิที่เต็มไปด้วยไฟที่ลุกโชนไม่มีวันดับ ชมมองผ่านม่านน้ำตาของตัวเอง เห็นชายใส่ชุดคลุมสีขาวยาวกรอมเท้าคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้า สักครู่ชายนิรนามคนนี้ก็นั่งลงสวมกอดชมเอาไว้หลวม ๆ ความอบอุ่นแผ่ซ่านถึงขั้วหัวใจที่แห้งผากมาเนิ่นนานจนเกินไป จำไม่ได้ว่าชมนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน มารู้สึกตัวอีกทีน้ำตาหยุดไหลไปไม่ทันรู้ตัว
ชายผู้อบอุ่นคนนั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้คือเรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไปกับชีวิต แล้วชมก็สวดมนต์ภาวนาต่อ พระเจ้าของชมว่า
“พระเจ้าที่รัก ถ้าพระเจ้าต้องการให้ชมอยู่ต่อ ชมขอได้ไหมคะ ขอความหวังคืนมาให้ชมเพราะการอยู่แบบคนสิ้นหวังมันทรมานเกินทานทน ขอเรี่ยวแรงกำลัง ขอการทรงนำทางต่อจากนาทีนี้ ขอให้ชีวิตของชมเป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ไม่ใช่ให้คนเขาเรียกว่า “ผีบ้า” ถ้าลูกต้องอยู่ ขอคืนเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นคนให้ลูกด้วยเถิด”
ทางเลือกที่สองก็คือแต่งงานออกเรือนไป จะได้พ้นไปจากนรกขุมนี้เสียที อาจจะไปเจอขุมใหม่ก็ไม่รู้ แต่ ณ ตอนนั้นคืออยากไปจากจุดนี้ก่อน
การพบรักกับสัสดีหนุ่มใหญ่ผู้ที่อ้างตัวว่าตกพุ่มม่ายนั้นคือความหวังครั้งยิ่งใหญ่ของชม นอกจากความรักที่ชมมีให้เขาแล้ว เขายังนำความมีหน้ามีตามาสู่ครอบครัวของชมด้วย คนบ้านนอกถ้าบ้านไหนได้ลูกเขยข้าราชการ บ้านนั้นจะมีเกียรติขึ้นมาทันที แม่ชมก็เริ่มหันมาพูดดี ทำดีกับชม ชาวบ้านที่เคยประณามว่าชมเป็น “ผีบ้า” เพราะพวกเขาไม่รู้จักว่าชมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าก็หันมาเป็นมิตรกับชม จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้ที่หาว่าชมบ้าเพราะชมเองตอนนั้นก็ไม่รู้จักโรคนี้เหมือนกัน เพิ่งมารู้จักเมื่อไม่นานมานี้เอง ช่วงที่พวกคนดังฆ่าตัวตายเพราะป่วยด้วยโรคนี้ ตอนนั้นชื่อโรคชมยังไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ
ชมอายุยี่สิบสี่ปี สัสดีอำเภอสุดหล่อของชมอายุสามสิบห้าปี การคบหาของเราอยู่ในสายตาผู้ใหญ่เสมอ เขาไปมาหาสู่ชมเป็นเวลาเกือบปี เราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ ตอนกลางคืนก็ไปดูหมอลำหรือการแสดงต่าง ๆ ที่มีการจัดขึ้นตามหมู่บ้านใกล้เคียง ด้วยความที่ชมได้รับการปลูกฝังจากสังคมว่าต้องรักษาพรหมจรรย์จนกว่าคืนแต่งงาน ชมถึงไม่ยอมมีอะไรกับเขาแม้ว่าร่างกายจะเรียกร้องต้องการ และแม้ว่าเราจะอยู่กันสองต่อสองและพี่เขาก็พยายามตลอด
จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจเข้าหาพ่อแม่ชมเพื่อพูดคุยเรื่องการหมั้นหมาย การแต่งงาน และสินสอดทองหมั้น พ่อกับแม่ของชม ดีใจมาก ชมเองก็ดีใจจนพูดไม่ออก ชมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ เมื่อมั่นใจแล้วว่าเขาจริงจังขนาดไปขอกับพ่อแม่ ชมก็เลยปล่อยตัวปล่อยใจตกเป็นของเขาในคืนหนึ่ง เขาบอกว่า
“ยอมเป็นของพี่เถอะ ไหน ๆ เราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว จะมาหวงเนื้อหวงตัวกับพี่อยู่อีกทำไม พี่รอมาเกือบปีแล้ว จะใจร้าย ใจดำให้พี่รอไปถึงไหนกัน ชมไม่รักพี่หรืออย่างไร”
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาผิดปกติไป เขาเงียบหนักเหมือนมีเรื่องคิดไม่ตก ชมคาดคั้นเขาเลยบอกมาว่า
“ ชม...พี่ขอโทษนะ พี่ไม่คิดว่าชมยังเป็นสาวบริสุทธิ์ ก็เห็นว่าไปร่ำไปเรียนถึงกรุงเทพฯ กรุงไท การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เปรี้ยวเอาการอยู่ พี่เลยคิดว่าจะจีบเล่น ๆ สนุก ๆ ขำ ๆ แต่จริง ๆ แล้วพี่มีภรรยาแล้ว มีลูกแล้วสองคน พี่ย้ายมากินตำแหน่งว่างเฉย ๆ”
เหมือนฟ้าผ่าลงตรงกบาลกลางวันแสก ๆ น้ำตาไหลอาบแก้มยังกับฟ้าถล่มดินทลาย พี่เขายังคงพูดอะไรต่อมิอะไรอีก แต่ชมไม่ได้ยิน....
นอกจากจะสูญเสียพรหมจรรย์ที่หวงแหนมากว่ายี่สิบสี่ปีแล้ว ยังถูกทิ้งในชั่วข้ามคืน พี่เขาขอย้ายด่วนภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง และชมยังตกเป็นจำเลยของชาวบ้านอีก คุ้มเหนือ คุ้มใต้ คุ้มตะวันออก คุ้มตะวันตก คุ้มวัด คุ้มโรงเรียนรู้กันในชั่วข้ามวันโดยมีน้าสาวและน้าสะใภ้ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชมมาตลอดเป็นผู้กระจายข่าวคาวนี้อย่างเมามัน แยกกันไปคนละคุ้ม เสร็จภารกิจแล้วก็มาเจอกันที่บ้านซึ่งชมกำลังทำกับข้าวรออยู่ เรียกว่าเป็นภารกิจเร่งด่วนถึงด่วนที่สุด
เขาหาว่าชมเป็นผู้หญิงไม่ดี แรดร่าน อยากมีผัวเป็นข้าราชการจนตัวสั่น สุดท้ายโดนหลอก สมน้ำหน้า ดูเหมือนว่าชาวบ้านจะมีความสุขมากบนโศกนาฏกรรมของชม เวลาเดินไป ซื้อของที่ร้านชำประจำหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ชมจะเห็นคนจับกลุ่มซุบซิบนินทา พยักเพยิดมาทางชม อันนี้พอรับได้ แต่ที่ หนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก เห็นจะเป็นบางคนที่เดินมาใกล้ ๆ แล้วพูดลอย ๆ กระทบกระเทียบเปรียบเปรยนี่สิ มันเจ็บร้าวไปทั่วร่างเลย อยากจะมุดดินแห้งเป็นขอมดำดินให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ชมเคยคิดนะว่าชมก็ไม่ได้ไปทำร้ายหรือไปทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่คดีความของชมอุกฉกรรจ์ข้อหาเทียบเท่าฆ่าคนตายก็ไม่ปาน
ชมเสียพรหมจรรย์ที่เฝ้าถนอมรักษาในคืนนั้น ส่วนตอนเข้าของวันเดียวกันชมก็เสียคนรักไป เขาไปแบบไม่ลาด้วย แล้วชมต้องเจ็บเพราะถูกพิพากษาตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเลว เลวเพราะไม่มีพรหมจรรย์แล้วอย่างนั้นหรือ คุณค่าของชมไม่เหลือแล้วใช่ไหม มันหมดไปพร้อมกับเยื่อบาง ๆ ที่ขาดไป ที่เป็นรอยหยดเลือดติดผ้าปูที่นอนนั่นใช่ไหม สังคมตัดสินตีตราชมแค่นั้นหรือ
แม้สังคมจะพิพากษาว่าชมเป็นคนไร้ค่า ชมไม่ยอมรับคำตัดสินนั้น เพราะค่าของคนไม่ได้อยู่ที่เยื่อบาง ๆ ความเป็นคนของชมยังมีอยู่เต็มเปี่ยมในทุกอณูของร่างกายชม อาจจะมีมากกว่าคนที่พรากความบริสุทธิ์ของชมไป หรือมีมากกว่าคนที่จ้องพิพากษาชมก็ได้
ไม่มีใครตีตราสัสดีอำเภอคนนั้นว่าเลว กลับยกย่องว่าเขาเก่งกาจ สามารถมาลวงเอาความสาวของชมไปได้ ชมอยากรู้ว่ามันมีอะไรให้ต้องชื่นชมกันนักกันหนา ชายชาติทหารที่ลงทุนเทียวไล้เทียวขื่อหญิงสาวอยู่เกือบปี ลงทุนเข้าหาพ่อแม่เพื่อพูดเรื่องแต่งงาน เพื่อให้หญิงสาวยอมพลีกายถวายตัวให้ มันมีความเก่งกาจสามารถที่ควรค่าแก่การชื่นชมตรงไหน ชมอยากรู้จริง ๆ เขาสิควรได้รับการประณาม
คุณค่าของชมยังอยู่ แม้ว่าใครจะเห็นหรือไม่ก็ตาม “ชมเห็นเป็นพอ”
ติดตามผลงานได้ที่ https://www.facebook.com/Auksaralai