คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบครอบในเรื่องธุรกิจ
ในยุคที่ทุกวินาทีนั้นแทบจะเปลี่ยนทุกอย่างได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงแค่พริบตาเดียวอาจสามารถล้มยักษ์หรือล้มกระดานได้ ในแง่ของเรื่องธุรกิจและการค้าที่ตลาดนั้นมีให้เลือกได้อย่างหลากหลายและมากมาย เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกรูปแบบ แม้ว่าความเสี่ยงที่ตามมาจะมีมากเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เมื่อเราสามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆมาต่อยอดสร้างความเชื่อมั่นได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบดิจิตอลในเรื่อง supply chain หรือจะเป็นการใช้ blockchain ที่ฟังดูจะเหมือนเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช่ได้อย่างมากมาย และเพิ่มความเชื่อมั่นในด้านการตลาดและธุรกิจเพิ่มขึ้นอีกด้วย
การดำเนินงานในเรื่องธุรกิจที่ต้องใช้ทั้งทักษะ และประสบการณ์ รวมไปถึงการทำคู่สัญญาและกฎหมายทางการค้าที่เราควรทรายรายละเอียด ทั้งเรื่องสิทธิบัตรและ Patent Thailand อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีและการดำเนินธุรกิจยุคใหม่นั้นเว็บไซต์ คิดค้า.com ได้แชร์ไว้ว่า A = AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ คือ โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถทำความเข้าใจ เรียนรู้ วิเคราะห์ และประมวลผลต่างๆ อย่างอัตโนมัติ จึงกล่าวได้ว่า AI ถือกำเนิดขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์มีความสามารถที่จะเรียนรู้ (Machine Learning) ซึ่ง AI แบ่งออกเป็นหลายระดับตามความสามารถหรือความฉลาดเมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์ โดยผู้เชี่ยวชาญ ได้อธิบายว่า AI มีรูปแบบการทำงาน 5 ลักษณะ ได้แก่ การวิเคราะห์และอธิบายเบื้องต้น (Describe) การพยากรณ์ (Predict) การทำงานอัตโนมัติ (Automate) การจัดประเภท (Classify)การให้คำแนะนำ (Prescribe) ตัวอย่างการใช้งานในภาคธุรกิจ ในปัจจุบันมีการนำ AI มาใช้เพื่อลดการทำงานบางส่วน อาทิ Chatbot ในการตอบคำถามลูกค้า การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับลูกค้า โดย AI จะมาช่วยเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าให้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น รวมทั้งวิเคราะห์แนวโน้มการตลาดและการลงทุน B = Blockchain คือ ระบบการกระจายฐานข้อมูล (Distributed Ledgers) ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล รวมทั้งการมีสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) ช่วยให้ดำเนินการตามสัญญาอย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการหลอกลวง ป้องกันหรือแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างกันได้มากขึ้น เพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการ โดยข้อมูลที่จัดเก็บแบบกระจายทำให้ยากต่อการเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนข้อมูล สามารถตรวจสอบที่มาหรือติดตามข้อมูลการทำธุรกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตัวอย่างการใช้งานในภาคธุรกิจ ภาคการเงินการธนาคารเป็นกลุ่มที่มีการเริ่มต้นใช้เทคโนโลยีนี้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Thailand Blockchain Community Initiative (BCI) ซึ่งเป็นการร่วมกลุ่มจัดตั้งบริษัทระหว่างธนาคารพาณิชย์ 22 แห่งของไทย ในการให้บริการหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนระบบบล็อกเชน นอกจากนี้เทคโนโลยีบล็อกเชนยังถูกนำไปใช้ในธุรกิจหลากหลายประเภท อาทิ ธุรกิจเพลงออนไลน์ และการ traceability สินค้าใน Supply Chain เป็นต้น C = Cloud คือ การให้การบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้อย่างอิสระ มีความยืดหยุ่นสูง และคิดค่าใช้บริการตามการใช้งานจริง สามารถใช้งาน Cloud ผ่านอินเตอร์เน็ต ดังนั้น Cloud จึงเป็นการบริการที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำกัดสถานที่ เวลา มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานตามความเหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย