หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ว่าด้วยกรรม 12 / หลวงปู่พุทธะอิสระ

โพสท์โดย มารคัส

ว่าด้วยกรรม 12 / หลวงปู่พุทธะอิสระ
//////

พึงเข้าใจเถิดว่า​ มนุษย์​และสัตว์​โลก​ล้วนเป็น​ไปตามกรรม​

แต่จะเป็นไปตามกรรมแบบไหนเล่าที่พระพุทธ​เจ้าทรงสอนว่า​ "กัมมุนา​ วัตตติ​ โลโก​ ... สัตว์​โลก​เป็น​ไปตามกรรม"

.....

เชื่อกรรมตามวิถีพุทธ​

เป็นไปตาม​กรรม​อย่างไรจึงจะถือว่า​ เราเชื่อกรรมตามวิถีแห่งพุทธ​

ไม่ใช่เชื่อกรรมตามลัทธิ​นอกพระพุทธ​ศาสนา​ ซึ่งเชื่อกรรมแบบชนิดปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม​

คือ​ไม่ขวน​ขวาย​ เพราะไหนๆ​ กูมีกรรมแล้วนี่​ ชีวิตเราเป็นไปตามกรรม​ ก็ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม​ ไม่ต้องอะไรเยอะ​ ไม่ต้องไปขวนขวาย​ เดือดร้อน​ ทุรนทุราย​ เพราะยังไงๆ​ ก็หนีกรรมไม่พ้น

ถ้าเชื่อแบบนี้​ เขาเรียกว่า​ เชื่อตามลัทธิ​นอกศาสนา​ พระพุทธ​เจ้า​ไม่ทรงสรรเสริญ

แต่ถ้าเชื่อกรรมโดยการเรียน​รู้​ ศึกษา​ และทำความเข้าใจ​ว่า​ ... สัตว์​โลก​เป็นไปตามกรรม และกรรมจำแนกสัตว์​ให้ดีชั่วเลวหยาบ​

ถ้าเชื่อกรรมแบบนี้แล้วจะทำให้ชีวิต​ของ​มนุษย์​ผู้ที่เชื่อในกฎของกรรมดีขึ้นได้อย่างไร

กรรม​ คือ​ อะไร? กรรม​คือการกระทํา
แล้วใครเป็นผู้กระทำ? คือ ตัวเรา
ซึ่งก็สอดคล้อง​กับคำสอน​ "อัตตาหิ​ อัตโนนาโถ​ ตนเป็นที่พึ่ง​ของ​ตน​"

แล้วเชื่อสิ่งที่ตนกระทำ
ทำอย่างไร​ต้องรับผลอย่างนั้น
ทำดีรับผลดี​ ทำชั่วต้องได้รับผลชั่ว

เท่ากับว่า​ พระพุทธเจ้า​ทรงสอนให้เชื่อตัวเองอย่างชาญฉลาด​ มีสติปัญญา​ นั่นเอง

.....

บทสรุปของการเชื่อกรรม​ และอัตตาหิ​ อัตโนนาโถ

เมื่อเอา​ 2 อย่างมาผนวกกัน​ จะทำให้​เห็น​ว่า​ พระพุทธเจ้า​ไม่ได้ทรงสอนเลอะเทอะ​ เปรอะเปื้อน​ แต่ทรงสอนให้เชื่อตัวเองที่เต็ม​พร้อม​ เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพของความมีสติปัญญา

.....

วิถีแห่งพละ 4

ถ้าเชื่อในมนุษย์​ว่าสามารถดำรงชีวิต​อยู่​อย่างมีศักยภาพ​ มีความรู้​ความสามารถ​ มีความเจริญ​รุ่งเรือง​ มั่งคั่ง​ มั่นคง​ได้ ก็จงเชื่อตน​เองในวิถีแห่งพละ​ ๔​

ที่มี​ปัญ​ญา​ วิริยะ​ ซื่อตรง​ มีจาคะ​
อยู่ร่วมกันด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย​
แบ่งปัน​ เกื้อกูล​กัน​ มีน้ำใจ​ ให้อภัย​ ไม่เห็นแก่ตัว​​ และมีปฏิสัมพันธ์​อัน​ดี​กับ​คนรอบข้าง​
แล้วชีวิต​จะเป็นสุข ปลอดภัย ผ่อนคลายโปร่ง​ เบา​ สบาย​ และเจริญ​ได้​

เราจะมีชีวิตอยู่​ในโลกใบนี้อย่างไม่ทุกข์​มากไป​ ไม่ทรมาน​เยอะไป​ และมีพัฒนา​การ​อันดีงาม​ คือ​ มีปัญญาเป็นตัวหลัก

......

พละ 5

ถ้าเชื่อในพละ​ 5 คือ​ เชื่อว่า​มนุษย์​ผู้นั้นจะสามารถ​หลุดพ้นจากการครอบงำของ​ รูป​ รส​ กลิ่น​ เสียง​ สัมผัส​ และรัก​ โลภ​ โกรธ​ หลง​ได้​

นั่นคือ​มี​ศรัทธา​ วิริยะ​ สติ​ สมาธิ​ ปัญญา​ คือ​ เชื่อในวิถีแห่งการพัฒ​นาตนเองให้หลุดพ้นจากอัตภาพ​แห่งความเป็นมนุษย์​และโลกนี้ไปได้

นี่คือ​ การเชื่อกรรมแบบมีที่มาที่ไป​ มีเหตุมีผล​

เชื่อแบบนี้แหละ​ พระ​พุทธ​เจ้าทรงเรียกว่า​
กัมมุนา​ วัตตติโลโก​ สัตว์​โลกเป็นไปตามกรรม​ เชื่ออย่างมีหลักการ​ มีเหตุมีผล

.....

กรรมที่พระพุทธศาสนาสอนนั้นไม่ใช่สอนให้คนเชื่อ แล้วปล่อยชีวิตเป็นไปตามกรรม โดยไม่ขวนขวาย ไม่มุ่งมั่นพัฒนา เฉกเช่น ผู้ที่ยอมรับชะตากรรม โดยไม่คิดจะทำอะไร

ในพระพุทธศาสนาสอนให้ศึกษากรรมโดยแบ่งกรรมและการให้ผลของกรรมไว้ 12 ลักษณะ คือ

(1) ชนกกรรม
กรรมที่นำมาให้เกิดหรือกรรมที่ตกแต่งให้เกิด หาได้เกิดในชาติภพอย่างเดียวไม่ แม้ก่อกำเนิดให้เกิดกรรมทางกาย วาจา และใจ ทั้งในทางดีและชั่วได้ด้วย

กระบวนการ​ทำงานแห่งกรรมจึงไม่ได้มีเฉพาะแค่ภพใดภพหนึ่ง​ ชาติใดชาติ​หนึ่ง​ แต่มีแม้กระทั่งที่มีอยู่ในขณะหนึ่งๆ​ เช่น​ วันนี้เราต้องการจะปฏิบัติธรรม เรามีจิตศรัทธา​ประกอบด้วยความเพียร​ สติ​ สมาธิ ปัญญา คือ​ ทุกอย่างมาจากเหตุปัจจัย

พระพุทธ​เจ้า​ทรงสอน​ว่า

"เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา คือ​ ธรรมทั้งหลาย​เกิดแต่เหตุ​"

ไม่ใช่อยู่ดีๆ​จะมาปฏิบัติธรรม โดยไม่คิด​ ไม่วิเคราะห์​ ไม่คำนวณ​ ไม่วางแผน​ ไม่มีอารมณ์​ศรัทธา​อยู่ก่อน ... มันเป็นไปไม่ได้

ชนกกรรม​ จึงหมายถึง​ กระบวนการ​ที่ทำให้เราได้ทำกระบวนการ​นั้นๆ​สำเร็จ​ประโยชน์

ต้องมีศรัทธา​ มีความเพียร​ มีขันติ​ มีความอดทน​ มีปัญญา​ มีสติ​ จึงจะถึงคำว่า​ มีการบำเพ็ญ​ปฏิบัติธรรมได้

จึงสรุปได้ว่า​ การทำงานของชนกกรรมนั้นให้ผลแม้ขณะหนึ่งๆ​ ขณะจิตหนึ่งๆ ขณะอารมณ์​หนึ่ง​ๆ ... นี่ก็เป็นกระบวนการ​แห่งชนกกรรม​

(2) อุปัตถัมภกกรรม
กรรมที่คอยสนับสนุน เลี้ยงดู รวมทั้งให้การอุปถัมภ์ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ให้ส่งผลอย่างสม่ำเสมอ

อุปัตถัมภกกรรม​ เหมือนกับพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูก​ เราจะปฏิบัติธรรมโดยมีศรัทธา​อย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีกระบวนการ​มาอุปถัมภ์ด้วย

คือต้องมี 'ความเพียร​' เอาความเพียร​เข้ามาอุปถัมภ์​ความศรัทธา​ที่ตั้งมั่น​/ตั้งใจไว้ให้มันสำเร็จ​ประโยชน์

ต้องมีขันติ​ในการปฏิบัติธรรม มีความอดทน

กระบวนการ​เหล่านั้น​เรียก​ว่า อุปัตถัมภก​กรรม​ ทำให้กิจกรรม​ที่เราตั้งความหวังว่าจะทำสำเร็จ​ประโยชน์

ชนกกรรมก็ดี​ อุปัตถัมภกกรรมก็ดี​ มีแต่ฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล​

คนคิดจะไปปล้นเขา​ อยู่ดีๆ​ จะหยิบมีด​ หยิบปืนไปมั้ย? ต้องโลภก่อน​ ต้องโง่ก่อนด้วยนะ​

เพราะ​ "โง่" เป็นปัจจัย​หลักของคนทำกรรมชั่ว​ ส่วนปัจจัย​หลักของคนทำความดี​ คือปัญญา หรือความฉลาด

คนทำความดีต้องมีปัญญา​ นั่นคือ​ ปัจจัย​หลักในการทำความดี​ เพราะเห็นคุณ​ เห็นประโยชน์​ในการกระทำความดี​ว่า​ ทำแล้วไม่มีโทษ​ ไม่มีผลส่งให้เกิดความทุกข์​ทรมาน

เหล่านี้แหละ​ เรียกว่า​ อุปัตถัมภกกรรม

ฉะนั้น​ อุปัตถัมภกกรรมของกุศลกรรม​ คือ​ ​ความฉลาด​ ความเพียร​ มีศรัทธา​ ความเชื่อในสิ่งที่​ทำ​ เหล่านี้คือ​ องค์ประกอบ

ถ้าเข้าใจพุทธธรรม​ก็จะเข้าใจว่า​ เอา​ "เหตุ" เป็นตัวตั้ง​ ธรรมใดเกิดแต่เหตุ​ ทุกอย่าง​เป็นกระบวนการ​ของเหตุทั้ง​หมด​ แล้วค่อยมาสรุปผลตรงที่​ "ผล" ออกมาอย่างไร

ดังนั้น​ อุปัตถัมภกกรรม​ ไม่ใช่อุปถัมภ์​กรรมดีอย่างเดียว​ แม้แต่กรรมที่ตกแต่งให้เกิดแล้วทำชั่ว​ เรียก​ว่า​ อกุศล​ ก็จัดว่า​ เป็นอุปัตถัมภก​กรรมเหมือนกัน​ และ​การอุปถัมภ์​ให้กรรมนั้นสำเร็จ​ประโยชน์​ จึงจัดว่า​เป็นอุปัตถัมภกกรรมทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว

(3) อุปปีฬกกรรม
กรรมที่บีบคั้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ทำหน้าที่บีบคั้นจากชั่วให้เป็นดี และบีบคั้นจากดีกลายเป็นชั่ว รวมทั้งบีบคั้นให้ไม่ได้ ไม่ชั่ว เป็นกลางๆ ได้ด้วย

อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นอุปสรรค​ขวางหนาม​ หรือที่ทำให้เราไม่ได้ดั่งหวัง​ เขาก็เรียกว่า​ อุปปี​ฬกกรรม​ ... กรรมที่บีบคั้นให้เปลี่ยนแปลง​ผลที่จะเกิดจากจุดมุ่งหมาย​ที่กระทำ

จะเป็นอุปปีฬกกรรม​ได้ ต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ​ จากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง จึงจะเรียกว่า​ อุปปีฬกกรรม

(4) อุปฆาตกกรรม
กรรมที่ทำหน้าที่กัดกร่อน ตัดรอนในทุกกรรม ไม่ว่าจะดีหรือเลว โดยไม่มีกาลเวลา แม้ที่สุดกำลังจะดี ก็ทำให้ตายได้ด้วย

ส่วนใหญ่​ อุปฆาตกรรม​ เป็นกรรมหนัก​ มาเร็ว​ และแรง​ ทำให้ขาดสูญ​ หวังผลไม่ได้อีกต่อไป​ เขาจะใช้คำว่า​ อุปฆาตกรรม.. ทำให้เสื่อม​และหลุดพ้น​ เช่น​ อยู่ดีๆ​ หลุดพ้นจากอำนาจที่เราดำรงอยู่​ อย่างนี้มีอุปฆาตกรรม.. เป็นรัฐมนตรี​อยู่ดีๆ​ แว็บเดียวไปติดคุกแล้ว.. เป็นพระอยู่ดีๆ​ แว็บเดียวไปติดคุกแล้ว​ อย่างนี้เรียกว่า​ อุปฆาตกรรม​ คือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปทันที.. จากมีชีวิต​ที่สดสวย​ เหมือนบ้านเพิ่งปลูกใหม่​ อยู่ดีๆ​ ไฟไหม้​

อุปปีฬกกรรม​ เหมือน​กับไฟช็อต​ในบ้านหลังใหม่​ มองเห็นควันไฟ​ เราไปดับได้ทัน​ นี่เรียก​ อุปปีฬกกรรม​ ทำให้เสื่อม​ ตัด​รอน​ ไม่ให้เจริญ

แต่อุปฆาตกรรม​ ทำให้ฉิบหาย​วายป่วง​ ทำให้บรรลัย​ หาย​ ขาดสูญไปเลย​

ตั้งแต่ข้อ 1-4 เป็นกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่
ไม่มีใครจะดลบันดาลให้เกิด

จำไว้​นะในกรรม​ 4 หมวดนี้​ ไม่มีใครเป็นผู้ดลบันดาล​ให้เกิด นอกจากตัวเราเอง

ฉะนั้น​ เมื่อตัวเราเองเป็นผู้ทำให้เกิดกรรมทั้ง​ 4 แล้ว ใครเป็นผู้รับกรรม?

ตัวเราเป็นผู้รับกรรม​ แล้วกรรมทั้ง​ 4 มีหน้าที่​ที่จะส่งผลให้ผู้กระทำกรรมทั้ง​ 4 นั้น​ ไม่ใช่คนอื่นดลบันดาล​ให้ส่งผล

กรรมทั้ง​ 4 จึงจัดเป็น​กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่​ ไม่มีใครมาดลบันดาล​ บังคับ​ ขู่เข็ญ​ ขอร้อง​ อ้อน​วอน​ หรือทำให้ส่งผล

ตัวเราเองนั่นแหละ ถ้าทำมาก​ ทำเร็ว​ ทำบ่อย​ ทำถี่​ ก็จะส่งผลเร็ว​ ส่งผลมาก ส่งผลถี่​

ถ้าทำช้า​ ทำไม่บ่อย​ นานๆทำที แม้กรรมทั้ง​ 4 มีหน้าที่​ต้องให้ผลก็ให้ผลตามกระบวนการ​กระทำ​ คือ ให้ผลช้า​ นานๆ​ ให้ที​ ไม่ได้ให้ผลถี่

ในกรรมทั้ง​ 4 ถ้าเราเลือก​ที่จะทำเฉพาะกรรมฝ่ายกุศล​ เรียกว่า​ ฉลาด​แล้วทำกรรม​ แล้วทำบ่อยๆ​ ทำเรื่อยๆ​ ทำถี่ๆ​ ไม่ใช่นานๆ​ ทำที​ มันก็ให้ผลตามหน้าที่​ของมัน​

คือ​ จะให้ผลดี​ ให้คุณประโยชน์​ ให้​ผล​เป็นสุข​ เป็นความสำเร็จ​ รุ่งเรือง​ เจริญ​ บ่อยๆ​ ถี่ๆ

เพราะ​ฉะนั้น​ กรรมทั้ง​ 4 จึงจัดว่าเป็นกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่​

ถ้าอยากจะได้​ "ผล" แห่งกรรม​ดีอันเป็นกุศลบ่อยๆ​ ส่งผลให้เกิดความรุ่งเรือง​ เจริญ​ มั่งคั่ง​ มั่นคง​ สุขภาพ​แข็งแรง​ อายุ​ยืน​ยาว​ วาสนาดี บารมี​มาก​มาย​

ก็ต้องทำกรรมทั้ง​ 4 ถี่ๆ​ บ่อยๆ​ เร็วๆ​ ไม่ใช่นานๆ​ ทำที​ และต้องเป็นกรรมทั้ง​ 4 ที่อยู่ในกุศลกรรมเท่านั้น

......

หลักของกุศลกรรม

ต้นเหตุแห่งการทำ​กุศล​กรรม​ คืออะไร? รากฐานเลย​ คือความฉลาด

คนฉลาด​ ทำกุศล
คนโง่​ ทำอกุศล

กรรม​ 12 จึงต้องเรียนรู้​ ศึกษาให้แจ่มชัด​ ไม่​ใช่เชื่อกรรมแบบไม่มีคำอธิบาย​ แล้วปล่อย​ชีวิต​ให้เป็น​ไป​ตามยถากรรม​ อันนั้น​เรียกว่า​ เชื่อตามลัทธิ​นอกศาสนา

*******

(5) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน หมายรวมไปถึงปัจจุบันขณะด้วย ซึ่งก็มีทั้งกรรมดี​ กรรมเลว และวางเฉย

กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน​

ประเภทที่ 1 คือ​ กรรมอะไรที่ทำแล้วเกิดผลกระทบต่อส่วนรวมโดยมาก​ และเป็นต้นแบบ/เยี่ยงอย่าง​ ที่ไม่ดีต่อส่วนรวมได้เยอะ​ ทำให้คน/สัตว์​ ตกทุกข์ทรมานได้มาก​ กรรมชนิดนั้นจะให้ผลในปัจจุบัน​ เรียกว่า​ "อะยัมภะทันตา"​ ตามให้ผลแบบชนิดปัจจุบัน​ทันด่วน​ ใกล้เคียงกับกรรมอันหนักที่เรียกว่า​ ครุกรรม​ นี่ประเภทที่​ 1 ของกรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน

ประเภทที่​ 2 คือ​ ทำในปัจจุบัน​แล้วให้ผลในนาทีนั้น​เลย ไม่ต้องรอชาติหน้า

ดังนั้น​ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน​ คือ​ ทำแล้ว
คนอื่นเดือดร้อน​มาก​ สังคมเป็นทุกข์​มาก​
สิ่งแวดล้อม​เสียหายมาก​ และเป็นต้นแบบที่ไม่ดี​เลวร้ายต่อมนุษยชาติ​ได้มากๆ​ จะเกิดการให้ผลในปัจจุ​บัน​ โดยไม่ต้องรอนาน

ประเภทสุดท้าย​ คือทำกรรมไว้เมื่อไหร่กูก็ไม่รู้​ แต่อยู่ดีๆ​ บ้าน​ ไฟไหม้..ลูกโดนรถชนตาย..เราประสบอุบัติเหตุ​ขาหัก​/แขนหัก​ทั้งที่ไม่เคยไปทำร้ายทำลายใครเลย​ แต่ส่งผล​ เรียกว่า​ "อดีตกรรม" ส่งผลให้รับผลในปัจจุบันกรรม

ประเภท​สุดท้าย​นี้เรียกว่า​ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม.. รวมหมายถึง​ 'ทุกขณะ'ด้วย

ขอขยายความคำว่า "ทุกขณะ" ว่าเป็นกรรมที่เกี่ยวกับ 'ใจ' ที่ให้ผลในปัจจุบันดังนี้

ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เป็นผลฝ่ายครุกรรม​ คือ​ เห็นด้วยตาจับต้อง​/สัมผัส​ได้ด้วยมือ​ รู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสปสาทะทั้ง​ 5 ตา​ หู​ จมูก​ ลิ้น​ กาย​

แต่​กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันนั้น บางที​ไม่ได้เกิดกับ "กาย" แต่กลับไปเกิดกับ "ใจ" แทน

คืออยู่ดีๆใจเราก็ทุรน​ทุราย​ ร้อนรุ่ม​ ว้าวุ่น​กลัด​กลุ้ม​ ฟุ้งซ่าน​ หงุดหงิด​ รำคา​ญ ซึมเศร้าขึ้นมาเฉยๆ ... นี่ก็เป็นกรรมที่ให้ผลในปัจจุบันเช่นกัน

เพราะกรรมมี​ 3 อย่าง​ คือกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

กรรม​ที่ให้ผลโดยที่กายเรา​ไม่ได้รับรู้
วจีเรา​ไม่ได้รับผลกระทบ
แต่​ มโน​ คือ​ใจรับรู้​ได้ทันที​ คือ​ กรรมที่กระทำโดย​ "มโนกรรม" อันนี้​เป็นไปโดยทุกขณะ​ เช่น​

โลภ​-อยากได้ของเขา
พยาบาท​- ปองร้ายเขา
เห็นผิดจากทำนองคลอง​ธรรม​ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ถ้ากระทำลงไปแล้ว​ ไม่ต้องรอชาติหน้า​ให้ผล​หรอก เพราะมันให้ผลในปัจจุบันทันที

ฉะนั้น​ถ้าจะอธิบายว่า​ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันโดยตรง​ คือ​ มโนกรรม​ ก็ได้​

เพราะ​มโนกรรม​ นี่คนอื่นทำให้เรามั้ย? เราต้องทำกับคนอื่นมั้ย? ไม่​เลย

แค่เกลียด​ มันก็ให้ผลแล้ว
แค่โลภ-อยากได้ของเขา​ มันก็ให้ผลแล้ว​ ความโลภทำให้เราทุรน​ทุราย​ นอนไม่หลับ​ กระสับกระส่าย
แค่มักมากในกามคุณ​ รูป​ รส​ กลิ่น​ เสียง​ สัมผัส​ จิตเราก็ไม่สงบแล้ว กรรมให้ผลในปัจจุบันแล้ว

กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันขณะได้​ คือ​ กรรมที่เกิดจากมโน​กรรม

(6) อุปปัชชเวทนียกรรม
กรรมที่ให้ผลในอนาคต หมายถึง นาทีหน้าและ ชั่วโมงต่อๆ ไปจนถึงวันต่อๆ ไป เดือนต่อไปและปีต่อๆ ไป

ถ้าให้ผลในชาติต่อๆ​ไปจะเรียกว่า อปราปริยเวทนียกรรม​ คือ​ กรรมที่ให้ผลในภพภูมิต่อไป

เราจะเห็น​ว่า​ กรรม​เหมือนคนวิ่งผลัด.. วิ่งมาแล้วมึงรับไม้ต่อ​ ไม่​มีคำว่า​ วิ่งมาแล้วรับมึงทำไม้ตก.. ไม่มีนะ​ ส่วนมันจะเร็วจะแรง​ ก็อยู่กำลังของ​แต่ละ​คนที่วิ่งไม้​

นั่นหมายถึง​ อยู่ที่กำลังของกรรมที่กระ​ทำ​ จะส่งผลเร็ว​ ส่งผลแรงอย่าง​ไร​ขึ้นอยู่กับกรรมของผู้กระทำนั้น​ ว่า​ทำโดยเจตนา​อันแรงกล้า​ เบาบาง​ หรือแทบไม่ได้เจตนา

แต่อย่างน้อยไม้นั้นไม่เคยตกมือ​ แสดงว่า​ กรรมนั้นไม่เคยร่วงไปไหน​ ต้องถึงปลายทางในที่สุด​ และเราเป็นผู้ยืนอยู่ไม้สุดท้าย

อันที่จริง​ เราอยู่กับไม้คนแรก​ แล้วมาอยู่กับคนที่​ 2 คนที่ 3 และสุดท้าย​เราไปอยู่กับคนที่วิ่งไม้สุดท้าย

สรุป​แล้ว​ เรารับไม้มาทุกช่วง

เพราะ​ฉะนั้น​ อปราปริยเวทนียกรรม​ หรือกรรมให้ผลในภพภูมิ​ต่อๆ​ ไป​ จึงไม่เข้ามาวุ่นวาย​อยู่กับอุปปัชชเวทนียกรรม​ หรือ กรรมที่ให้ผลในอนาคต​ คือ​ ทำวันนี้​ พรุ่งนี้ให้ผล คือให้ผลใน "นาทีหน้า​ ชั่วโมง​ต่อไปจนถึงวันต่อๆไป​ เดือนต่อๆไป"

ทำชั่ววันนี้​ เราอาจจะไม่รู้สึกเดือดร้อน​อะไร​ ...​ โกงเขาไปก่อน​ โกหกเขาไปก่อน​ หลอกเขาไปก่อน​ เป็นกรรมชั่ว แต่มันยังไม่ให้ผลไง​ เลยยังไม่เป็นไร

แล้วเมื่อถึงวันมันให้ผล​ เขาเรียกว่า​ อุปปัชชเวทนียกรรม​ คือ​ ยืนยัน​กรรมนี้ว่า​ ไม่ว่าคุณ​จะทำแล้วได้ผล​/ไม่ได้ผล​ ในเวลาปัจจุบัน​ก็​ตาม​ แต่สุดท้าย​ อนาคตคุณ​จะต้องเป็นผู้รับกรรมนั้นอยู่ดี​

ข้อนี้เขาอธิบาย​ความแบบนี้​ แม้ปัจจุบัน​ คุณ​จะโกหก​ จะโกง​ จะขโมยเขา​ เขาไม่รู้​คุณทำร้าย​ เขาจับคุณ​ไม่ได้​ เรารู้สึกไม่เป็นไร​ แต่จริงๆแล้ว​ ไม่ใช่! เราจะต้องใช้หนี้กรรมในอนาคตอยู่​ดี​

(7) อปราปริยเวทนียกรรม
กรรมที่ให้ผลในภพภูมิต่อๆไป ซึ่งถูกส่งผลต่อเนื่องมาจาก​อุปปัชชเวทนียกรรม จนปรากฏในภพภูมิต่อๆ ไป

กรรมชนิดใดบ้างที่ให้ผลในภพภูมิ​ต่อๆ​ ไป

หนึ่ง : กรรมที่เกิดจากการ "ทุศีล"
ศีลย่อมทำให้สู่สุคติ
ศีลย่อมยังให้เกิดโภค ทรัพย์
ศีลย่อมยังให้สู่พระนิพพาน

ฉะนั้น​ ผู้ที่ทุศีล​ แม้นปัจจุบัน​ เราไม่รู้สึกเดือดร้อนกับมัน​ เหมือน​กับ​​คนยุคปัจจุบัน​นี้​ ทุศีล​กันเป็นว่าเล่น​ พูดโกหก​ ตอ​แหล​ หลอกลวง​ ปลิ้น​ปล้อน​ กะล่อน​ มดเท็จ​ หยาบ​ ถ่อย​ สถุล ด่าพ่อล่อแม่ออกสื่อเต็มไปหมด​

ผิดศีลมั้ย? ผิดแน่นอน

ทุศีลไปบ่อยๆ​ ไปเรื่อยๆ​ มันหายไปมั้ย?
วันนี้ไม่เห็น​ แต่ชาติภพต่อไปจะเห็น​ผลแน่

ฉะนั้น​ ศีล​ คือ​ ตัวกำหนดผลแห่งกรรมที่ตัวเองทุศีลจะแสดงผลในอนาคต​ คือ​ ภพภูมิ​ต่อๆ​ ไป

ทุศีลมากๆเช่น​ฆ่าสัตว์มากๆ​ เราไม่มีสิทธิ์​เป็นมนุษ​ย์​ เพราะไม่ได้ไปสู่สุคติ​ เพราะ​ภูมิมนุษย์​เป็นสุคติ ถ้าไม่ไปสู่สุคติ​ ก็จะไปเจอแต่ทุคติ

สีเลนะ​ โภคะสัมปะทา​
อยากร่ำรวย​ในภพภูมิ​หน้า​ ต้องรักษาศีล​

ศีลต้องเป็นตัวนำในการที่จะส่งผลข้ามภพภูมิ​ เหมือนกับพ่วงแพ
ถ้าเราทำให้แพรั่ว​ ก็ไปไม่ถึงฝั่ง

ฉะนั้น​ กรรมที่กระทำ​ ส่งผลในภพภูมิ​หน้า​ คือ​ กรรมอะไร? คือการผิดศีล​
แล้ว​ ศีล​ มีอะไร​บ้าง?

ไม่ฆ่าสัตว์​ ไม่ลักทรัพย์​ ไม่ประพฤติ​ผิดในกาม​ ไม่พูดเท็จ​ ไม่เสพของมึนเมา

เมื่อใดที่เราทำอย่างหนึ่ง​อย่าง​ใดใน 5 อย่าง ถือว่าเป็นการทุศีล/ผิดศีล

และยังแยกอีกว่า​ ผิดศีลข้อไหน​ จะส่งผลไปกี่ภพกี่ชาติ​ แต่ท่านสอนไว้ว่า​ ผิดศีลข้อสุดท้าย​ ส่งผลให้เกิดทุกภพทุกชาติ​

ข้อสุดท้าย​ คืออะไร? เสพของมึนเมา มันทำให้ขาดสติ

ขาดสติ​ คือ​ โง่

พอโง่แล้ว​ ทำชั่วไหมล่ะ? มันก็ส่งผลให้ทุกภพทุก​ชาติ​เลย​ เราจะโง่ตลอดไปเลย​ เพราะเป็นคนเสพเครื่อง​ดองของมึนเมา

พอขาดสติ​ ก็ทำชั่ว/ทำกรรมฝ่ายอกุศล​ไปแล้ว​ เข้าใจมั้ย?

เรียนกรรม 12 ไปเรื่อยๆ​เถิด เดี๋ยว​บรรลุเอง

( อโหสิกรรม
กรรมที่ล้มเลิกการให้ผล หรือกรรมที่หยุดยั้งการให้ผล

เพราะอโหสิกรรม​นี่แหละ​ จึงมีคำสอนในบทโศลก ​ว่า​

"รู้จัก​​เผื่อ​แผ่​ อย่าเห็นแก่ตัว​ เสียสละ​ แบ่งปัน​ รู้จักให้​ แม้ให้ที่สุด​ คือ​ ให้อภัย อภัยทาน​ อภัยธรรม"

การให้อภัย​เป็น​การ​ให้ที่สุดยอด​ เพราะจะหยุดยั้งกรรมทั้งหลาย​ได้​

อนึ่ง กรณีของคำว่า​ อโหสิกรรม​ เป็นอโหสิกรรม​ของตัวเอง​ แต่ไม่ใช่อโหสิกรรม​ให้กับคนอื่น โดยที่ตัวเองรับกรรม

การให้อภัยคนอื่น​ ตัวเองจะไม่ต้องรับกรรมใดๆจากคนๆ​ นั้นทำกับเรา

แต่ถามว่า​ คนๆ​ นั้นต้องรับกรรมมั้ย? ก็ยังต้องรับอยู่

ฉะนั้น​ การอโหสิกรรม​ เป็นการหยุดยั้ง​กรรมที่จะเกิดกับตน​ แต่ไม่ใช่หยุดยั้งกรรมที่จะเกิดกับคนทำผิด​ เพราะคนทำผิดยังมีกรรมอยู่​

แล้วใครจะเป็นผู้ชี้ถูก​ชี้ผิดได้?

คนๆ​ นั้นต้องเป็น 'บัณฑิต​' จริงๆเท่านั้น​ จึงจะไม่ได้รับผลกรรมที่บัณฑิต​นั้นกระทำต่อผู้​ที่ควรจะรับกรรม​

กรรมตั้งแต่ข้อ 5-8 นี้ผลัดกันให้ผลต่างเวลาไป

กรรมข้อ 1-4 ให้ผลตามหน้าที่​ คือ​ พอหมด​หน้าที่​ กรรมนั้นก็หยุด​ แต่ในขณะที่ทำหน้าที่อยู่​ กรรมอื่นมาแทรกไม่ได้

แต่กรรมข้อ​ 5-8 ผลัดกันให้ผล​ คือ​ ไม่แน่​นอน​ ไม่ได้ให้ผลพร้อมๆกัน กรรมข้อ​ 5-8 จึงเป็นกรรมที่เหมือนกับถือไม้รอไว้แล้ว​พร้อมจะวิ่ง ... ในหนึ่งวัน​ อาจจะมีกรรมตั้งแต่​ 5-6-7-8 วิ่งเข้าวิ่งออก​ สลับสับเปลี่ยน​หมุนเวียนวุ่นวายไปหมด ... บัดเดี๋ยว​อยากทำร้ายมัน​ บัดเดี๋ยว​อโหสิกรรม​มัน

*****

(9) ครุกรรม
กรรมอันหนัก ซึ่งมีทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล เช่น พัฒนาตนจนได้เป็นพระอริยเจ้า หรือทำร้ายพระอรหันต์ เป็นต้น

ครุกรรม​ ในอดีต​ มี​ ๒​ ท่าน​ ยกให้เป็นต้นแบบ
ครุกรรมฝ่ายกุศล​ คือ​ พระองคุลีมาล
ครุกรรมฝ่ายอกุศล​ คือ​ พระเทวทัต

กรณีพระองคุลีมาล​ ถามว่า​ เป็นครุกรรมอย่างไร? ฆ่าคนตายเป็นพันคน​ เป็นกรรมหนักมั้ย?.. หนัก

แต่ถามว่า​ ทำไมท่านจึงไม่รับกรรมนั้นอย่างเต็มที่​ ... ไม่ใช่ไม่รับ​ แต่ไม่รับอย่างเต็มที่?

เพราะท่านมีครุกรรมอันเป็นยอดแห่งกรรมทั้งปวง​ คือ​ กุศลกรรม​ ทำให้จิตของตนพ้นจากเครื่องร้อยรัด​ทั้งปวง​ จึงเรียกว่า​ ครุกรรมฝ่ายกุศล

ฆ่าคนตายมาเป็นพัน​ หลับตาทีไร​ เห็นคนตายอยู่ตลอดเวลา​ จนไม่สามารถ​นั่งนิ่งอยู่ได้​ ต้องไปขอเฝ้าพระพุทธ​เจ้า

พระองค์​ทรงสอนวิธีกำหราบจิต​ เรียนรู้​ ศึกษา​มาแล้วมาพัฒนา​จิตจนกระทั่ง​เข้าสู่ครุกรรม​ คือ​ กรรมอันใหญ่​ยิ่ง​ จิตหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัด​จากการปรุงแต่งขันธ์​ทั้ง​ 5 ดับสูญหมด​ เข้าสู่ครุกรรมฝ่ายกุศล

ส่วนพระเทวทัต​เล่า​ ก็เข้าสู่ครุกรรม​ แต่เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล​ เพราะจิตเหิมเกริม​ อยากใหญ่​ อยากมีลาภสักการะ​ มีอำนาจวาสนา​ อวดดี​ อวดเด่น​ ตัวกู​ของกูยิ่งใหญ่​ สุดท้ายรับครุกรรมฝ่ายอกุศล​ คือ​ ธรณีต้องสูบลง

ฉะนั้น​ บุคคล​ 2 ท่านนี้​ จึงเป็นต้นแบบของครุกรรมฝ่ายกุศล​ และฝ่ายอกุศล

(10) อาจิณณกรรม
กรรมที่ทำซ้ำๆ อย่างเดียวกันเป็นเวลานานๆ จนมีผลเทียบชั้นครุกรรมทีเดียว

สมัยนี้ คนที่ปฏิบัติธรรมจริงจังหายาก​ ดุจงมเข็มในมหาสมุทร

คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ทำแต่เรื่อง​อะไรก็ไม่รู้​ ทำชีวิตให้ตกต่ำ​ หมกหมุ่น​อยู่กับความมอดไหม้​ ไร้สาระ​ ทำกันเป็นอาจิณ​

จนอดห่วงไม่ได้ว่า​ มนุษย์​ยุคนี้พัฒนา​ทางจิตยาก​ แค่ชีวิต​ประจำวัน​ก็ยากจะหลุดพ้น​ ถอนตัวเองออกจากอาจิณณกรรมทางโซเชียลมีเดียนี้ไม่ได้​

คือ​ เลือกอาจิณณกรรมในฝ่ายกุศลไม่ได้​ ก็ทำแต่อาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศล​อยู่ทางโซเชียลมีเดีย ทุกวี่ทุกวัน​ ยาวนาน​ ต่อเนื่อง​ ทุกเรื่อง​ทุกราว

คนที่เป็นโรค​เบาหวาน​ โรคไต​ โรคตับ​ ก็มาจากอาจิณณกรรม

เบาหวาน​ กินแต่ของหวาน​ๆ กลายเป็นครุโรค ... ไขมันอุดตัน​ เพราะกินแต่ของมันๆ​ จนเป็นอาจิณ​ กลายเป็นโรค​ เป็นครุกรรม

เธอเห็น​หลวงปู่มั้ย​

ฉันพยายาม​จะ​ทำชีวิต​ให้เป็นอาจิณ​กับ​ความเพียร

"วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ ... หาความเพียร​ สร้างความเพียร​ให้กับตัวเอง​ และทำ​ความเพียรให้ปรากฏ​อยู่ตลอด​ ทั้งวันทั้งคืน​ให้เกิดความเพียร​"

นี่เรียก​ว่า อาจิณณกรรม

บางคน​ วันทั้งวันเอาแต่ด่าๆ เปิดเฟซบุ๊ก​ อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ แล้วก็ ด่า ด่า ด่า ทำเป็นอาจิณ​

สุดท้าย​ ผลที่จะรับ คนอื่นรับแทนเรามั้ย?

มึงรับเอง​ มึงทำร้ายตัวเอง​ ทรมานตัวเอง​ ทำให้ตัวเองต้องเสื่อมทราม​ ตกต่ำ ด้อยค่า

มนุษย์​สมัยนี้​คิดอะไร​ ฉันเริ่มไม่เข้าใจ​ ... ไม่เข้าใจ​ชีวิต​มนุษย์​สมัยนี้​ว่าเกิดมาได้ยังไง? งง

เพราะฉะนั้น​ อาจิณ​ณกรรม​ ทุกคนทำมั้ย? (ทำ)​ แล้วจะเลิกได้มั้ย?

ถ้าทำเป็นอาชีพน่ะพอเข้าใจ

อาจิณ​ณกรรมฝ่ายอาชีพ​ เขามีนะ​ เช่น​ ช่างทอง​

ในสมัยก่อน​ครั้งพุทธ​กาล​ มีอาจิณณกรรมที่ส่งผล

ลูกชายนายช่างทองมาบวชกับพระสารี​บุตร​ ซึ่งให้กรรมฐานกี่ข้อๆ​ ลูกชายนายช่างทองเรียนไม่ได้​ ไม่รู้​

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู​ หมายถึง ผู้รู้อดีต​ อนาคต ปัจจุบัน​ ...

ทรงรู้ว่า​ ลูกชายนายช่างทอง ทำทองเป็นอาจิณ​มา​ 500 ชาติ​ จะชอบของสวยๆ​ งามๆ​ อารมณ์​สุนทรี​ ละเอียดอ่อน​ ละเมียด​ละไม​ จะให้กรรมฐานหยาบๆ​ ทำไม่ได้​ เพราะไม่คุ้นชินกับอาจิณณกรรมที่ตนสะสมมา 500 ชาติ

พระองค์​ก็ทรงเนรมิต​ดอกบัวทองคำให้ลูกชายนายช่างทอง​พิจารณา​ จนทำให้ดอกบัวทองคำกลายเป็นดอกบัวเหี่ยว​ ค่อยหล่นทีละกลีบๆ​ จนแตกสลาย

อาจิณณกรรมที่เคยจับจ้องแต่สีทองคำ​ เห็นสีทองคำหมองหม่น​ไปเรื่อยๆ​ จิตก็เปลี่ยน​ไปตามสีที่หมองหม่น​ เพราะอาจิณณกรรมนั้นเป็นนิมิต/เครื่อง​หมายของจิตนั้นมา​ 500 ชาติแล้ว​ พอเปลี่ยน​ไปก็รู้สึกได้ว่า​มันเปลี่ยน

โอ้หนอ​ ขนาดทองคำยังเปลี่ยนสีได้​ เราไม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลง​ขนาดนี้​ ตามดูต่อไปเรื่อยๆ​ จนมันหลุดร่วง​ ย่อยสลายเป็นผุยผง​

จิตหลุดพ้นจากขันธ์​ทั้งปวง​ การยึดติดในขันธ์​ทั้งปวงหายไป​

นั่นคือ​ อาจิณณกรรมส่งผล​ เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอาชีพ

ฉะนั้น​ คนทุกคนมีอาจิณณกรรมมั้ย?

พระอรหันต์​ทุกรูปที่มีมาแล้วในอดีต​ และจะมีต่อไปในปัจจุ​บัน​ ก็มีอาจิณ​ณกรรม​ และเป็นอาจิณณกรรมในฝ่ายกุศล​ จึงได้เป็นอรหันต์​ได้​ ไม่ใช่อาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศล

พระโมคคัลลานะก็มีอาจิณณกรรม​ ถามว่า​ เพราะอะไร?

ในอดีต​ ตัวเองชอบสะสม​ เรียนรู้​ ศึกษา​สรรพวิทยา​ วิชาการ​ ฤทธิ์​เดช​ เวทมนตร์​ มงคลต่างๆ​ จนสั่งสมอุปนิสัย​กลายเป็น​คนรักที่จะแสดงฤทธิ์​ แสดงเดช​ อย่างนี้เป็น​ต้น

ฉันมาเทียบกับมนุษ​ย์ยุคปัจจุบัน​ ฉันก็ไม่รู้อาจิณ​ณกรรมแบบนี้​ ชาติหน้ามันจะออกมาเป็นอะไร?

ไม่ต้องไปดูชาติสุดท้าย​ เอาชาติหน้า​แล้ว​กัน​ ก็มองไม่ออก​ เดี๋ยว​มันก็เป็นเดรัจฉาน​เป็นเทวดา​ เป็นมนุษ​ย์​ เดี๋ยว​ก็เป็นยักษ์เป็นมาร เป็นเปรต​ เป็นอสุรกาย​

แต่ที่เป็นมากที่สุดคือ​ สัตว์​เดรัจฉาน​กับสัตว์​นรก​ ... แล้วจะไปแสวงหาความเจริญ​ได้อย่างไร​ เพราะอาจิณ​ณกรรมมันทำแบบนั้น

ฉะนั้น​ อย่าไปดูแคลนอาจิณ​ณกรรมนะ​ เป็นสิ่งสำคัญ​ที่สั่งสม​นิสัย​ เขาเรียกว่า​ "อนุสัย" มีผลจนถึงอนุสัยเชียวนะ

อนุสัย​ คือ​ สิ่งที่ฝังอยู่ในกมลสันดาน​ จะลบ​ล้างมันได้ต่อเมื่อหลุดพ้นเท่านั้นแหละ

หลุดพ้น​ คือ​ เป็นพระอรหันต์​เท่านั้น

พระโสดาบัน​ สกิทาคามี อนาคามี ยังล้างอนุสัยไม่ได้​ ต้องเป็นอรหันต์​เท่านั้น

ฉะนั้น​ สิ่งที่จะสามารถ​ลบล้างอาจิณณกรรมได้​ เวลากินอาหาร​ บางคนสารพัดชอบ​ แต่บางคนชอบของมันอย่างนั้นๆ ต้องหวานนะ​ ต้องเผ็ดนะ​

นั่นคือ​ การสร้าง​อาจิณณกรรม
ฉะนั้น​ ต้องกินให้หลากหลาย​

ชีวิตต้องมีหลากหลาย​ ทำอย่างหนึ่ง​อย่าง​ใดที่เป็นฝ่ายอกุศล​ไม่ได้​ ต้องเทียบด้วยว่า​ อาจิณณกรรมที่เราทำเป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล​ ต้องวิเคราะห์​ให้ได้

ถ้าเป็นฝ่ายกุศล​ ทำไปเถอะ​ ทำไปเป็นประจำ

พอมีคำว่า​ อาจิณณกรรม​ ตัวชนกกรรม​ อุปัตถัมภกกรรม​ อุปปีฬกกรรม​ อุปฆาตกรรม​ ก็ได้ทำหน้าที่​ แต่เป็นการทำหน้าที่ในฝ่ายส่วนกุศล​ ทุกกระบวนการ​จะทำหน้าที่เพราะอาจิณณกรรมเราทำนำ​ เป็นกรรมที่นำหน้ากรรมอื่นๆทั้งปวงได้

(11) อาสันนกรรม
กรรมที่เฉียดฉิว หรือ กรรมจวนเจียน หรือที่เรียกว่า เกือบไปแล้ว เช่น พฤติกรรมที่เสี่ยงตาย หรือ ลุ้นเลขหวยแล้วเฉียดฉิวใกล้ถูก แต่สุดท้ายมันก็ไกลเกินฝัน

วิธีหยุดอาสันนกรรมได้อย่างดีที่สุด​ คือ​ สติ​ และปัญญา​

สติและปัญญา​เท่านั้นที่จะหยุดอาสันนกรรมได้

"เผื่อว่า​​ อาจจะ​ ใช่มั้ง​ จวนเจียน​" จะไม่เกิดขึ้น มันจะตรงเป๊ะๆ​ ตลอดเวลา

ฉะนั้น​จงเจริญ​สติ​ รุ่งเรือง​ปัญญา​ให้อย่างต่อเนื่อง​ ยาวนานเถิด

พระพุทธ​เจ้า​ทรงสอน​ วิธีหยุดอาสันนกรรม​ คือ​ สติ​ ปัญญา​ และความไม่มัวเมา​ ประมาท

พวกนี้เป็นกรรมที่เขาเรียก​ว่า ลมเพลมพัด​ มาตามลม​ เราไปทำไว้ตั้งแต่ชาติไหน​ ไม่รู้ล่ะ​ ครั้งไหน​ ด้วยวิธีอะไร เราไม่รู้​ล่ะ

เพราะคำว่า​ ไม่รู้ล่ะ​ นี่แหละ​ก็เลยเฉียดฉิว​ จวนเจียน​ เผื่อว่า​ อาจจะ​ ใช่มั้ง​ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่​ และก็ไม่รู้ล่ะว่า​ ทำไมเราถึงตาย

และพวกตายด้วยอาสันนกรรมนี่นะ​ ที่ไปคือ​ สัมภเวสี​ และอสุรกาย ... เปรตนี่ไม่ค่อยได้เจอ

ส่วนใหญ่​จะเป็นสัมภเวสี​ อสุรกาย​ ผู้หาเรือนอยู่​ หาที่อยู่ไม่ได้​ และผู้ที่หวาดกลัว​และไม่รู้ว่า​ตัวเองตาย​ เพราะเหตุผลว่า​ เกิดมาจากเหตุแห่งความไม่รู้ล่ะ

ฉะนั้น​วิธีแก้​ คือ​ ต้องมีสติ​ มีปัญ​ญา​ และไม่ประมาท​ จึงจะหยุดยั้งอาสันนกรรมได้​

(12) กตัตตากรรม
กรรมที่กระทำโดยมิได้ตั้งใจ หรือทำด้วยเจตนาอันอ่อน กตัตตากรรมนี้จะให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมใดให้ผลแล้วจึงจะได้รับผลของกรรมนี้

ถ้าจำเป็นจะต้องได้รับผล​ นั่นหมายถึงว่า​ ไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้ว​ กตัตตากรรม​เป็นกรรมอันเบามาก​ เหมือนกับปุยนุ่น​ที่ลอยมาในอากาศ​ มันมาโดยที่ไม่มีเป้าหมาย​ มันฟุ้งไปในอากาศ

ถ้าเราไม่มีกรรมอื่นปกครอง​อยู่​ กรรมอื่นๆ​ไม่มี​ เราก็ต้องรับผลอันนั้น

แต่ถ้ายังมีกรรมอื่น​ ไม่ว่าเป็นชนกกรรม​ อุปัตถัมภกกรรม​ อุปปีฬกกรรม​ อุปฆาตกรรม​ หรือ​ ปัจจุบัน​กรรม​ อดีตกรรม​ อนาคตกรรม​ กำลังให้ผลอยู่ ... กตัตตากรรมจะไม่เข้าใกล้​

ต่อเมื่อเราว่างจากกรรมอื่นทั้งหมดแล้ว​ กตัตตากรรมจะมาทันที​ แต่จะให้ผลอ่อนๆ​ เช่น​ ทำให้เราเปลี้ย​ ป่วย​ ซึม​ ไม่สบาย​ ชีวิไม่ผ่อนคลาย​ บางทีบางครั้งมีการเปลี่ยน​แปลง​ ก็ไม่มีโทษ​อันหนัก​ เป็นไปโดยค่อยเป็นค่อยไป​ ไปเรื่อยๆ

บางคนให้ผลในบั้นปลายชีวิต​ คือ​ ป่วยตาย​ แห้งตายไปเอง​ อย่างนี้เป็น​ต้น​ ไม่ทำให้รู้​สึกว่า​ กรรมนี้กำลังจะให้ผล.. กรรมนี้กำ​ลังทรมาน​ แต่ค่อยเป็นค่อยไป​ ท่านกล่าวไว้​ เหมือนกับไฟสุมขอน​ มันไม่ลุกโชน​ แต่ไฟพวกนี้กลัวฝน​

ฉะนั้น​ ขณะที่มีฝน​ กรรมนี้จะไม่เข้าใกล้​ นั่นหมายถึงว่า​ ถ้ามีกรรมอื่นเข้ามาอยู่​ ต้องชดใช้​กรรมอื่นอยู่​ กรรมนี้รอผลไปก่อน​ แต่ไม่ได้หาย

เพราะฉะนั้น​ กตัตตากรรม​ เป็นกรรมสุด​ท้ายของมนุษย์และสัตว์​ทั้งปวงที่จะต้องชดใช้

พอชดใช้แล้ว​ ถามว่าจบมั้ย?
ต้องดูว่า​ เราไปทำ​กรรมอื่นเพิ่มมั้ย

นั่นหมายถึงว่า​ ที่บรรทุก​รถสิบล้อมาทั้งหมด​ มึงใช้หนี้เขาหมดแล้ว​ เหลืออยู่ฝุ่นละออง​บนรถสิบล้อ​ ต้องทำความสะอาด​ นั่นแหละเขาเรียก​ กตัตตากรรม​ ปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย

แต่ถ้าเอาอะไรมายัดใส่ไว้อีก​ อย่างนี้ต้องมาบริหารจัดการกันอีก

******

เราจะหยุดกรรมทั้ง 12 ได้อย่างไร?

คำตอบคือ เราต้องฉลาด​ มีสติ​ มีปัญญา​ และไม่ประมาท

เพราะคนฉลาด​จะทำกุศลกรรม
ถ้าคนโง่​จะหลงไปทำอกุศล​กรรม

กรรมตั้งแต่ข้อ 9 ถึงข้อ 12 จะให้ผลไปตามความหนัก ความรุนแรงที่ได้กระทำ

เมื่อศึกษาในกรรม 12 จนแตกฉานแล้ว เราจะเห็นเองว่า
กระบวนการแห่งกรรมหาได้ทำให้เราไม่ขวนขวาย หรือปล่อยชีวิตให้มันเป็นไปตามยถากรรม

แล้วถ้าเราจะขวน​ขวาย​ ควรขวนขวาย​แบบไหน?

เราควรเรียนรู้​ ศึกษา​กรรมแต่​ละชนิดให้แจ่มชัด​ และเลือกสรร​ที่จะทำแต่กรรมในฝ่ายกุศล​อย่างมีสติปัญญา​ ไม่มัวเมา​ ประมาท

นี่แหละจึงจะถือว่า​ เราได้ขวนขวาย​แล้วต่อการใช้ชีวิตให้สอดคล้อง​กับกระบวน​การ​ให้ผลแห่งกรรม​ ซึ่งเราเลือก​ที่จะทำแต่กุศลกรรม

คำว่า​ ขวนขวาย​ หมายถึง ต้องขวนขวาย​ที่จะทำแต่ฝ่ายกุศลกรรม​เท่านั้น ไม่ใช่ทำแต่อกุศล​กรรม​ หรือปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม

เราควรจดเอาไว้/บันทึก​เอาไว้ด้วย​ เพราะจะเป็นข้อมูลในการศึกษา​ชีวิตในปัจจุบันของเรา​

เพราะชีวิตปัจจุบัน​ทำกรรมมั้ย? ทำกันทุกคนแหละ​ หลวงปู่ก็ทำ​ แต่จะเป็นกรรมดี/กรรมชั่ว​

อยู่ที่โง่กับฉลาด
อยู่ที่เรามีสติปัญญา​ ประมาทมั้ย​

ถ้ามีสติปัญญา​ แต่ยังมัวเมา​ ประมาท​ ก็อาจจะพลาดไปทำกรรมชั่วได้อีกเหมือนกัน

ย้ำนะ​ แม้มีสติปัญญา​ แต่มัวเมา​ ประมาท​ ก็อาจจะพลาดไปทำชั่วได้เหมือนกัน

ถ้ามีสติปัญญา​ และไม่มัวเมา​ ประมาท​ ก็จะทำแต่กุศลกรรม

ฉะนั้น​ เราหนีกรรมไม่พ้น

อ่านธรรมะบ่อยๆ​ทุกวัน อ่านแล้วตีความ​ ศึกษา​ วิเคราะห์​

โดยเฉพาะ​อาจิณ​ณกรรม​ ชัดเจน​ ชัดแจ้ง​ เพราะเป็นกรรมในปัจจุบันที่เราจับต้อง​ หยิบฉวยได้

ชีวิตประจำวันทุกวัน เอา​ "กุศล" เป็นตัวตั้ง​ มีอาจิณ​ณกรรมอยู่ตรงกลาง

นี่คือการบริหารจัดการชีวิต โดยเลือกสรรกระทำกรรมที่เป็นคุณประโยชน์ที่ดีที่สุด ก็จักได้รับผลในทางดีงามเอง

ชีวิตเราต้องเป็​นไปตามอำนาจของกรรม​ ไม่ใช่ตามยถากรรม

พอเป็นไปตามอำนาจของกรรม​ เราก็เอากรรมนั้นมาบริหาร​ มาจัดการ​ จัดระเบียบ​ จัดระบบให้เข้ากับ​กฏแห่งกรรม

ถ้า(กู)​โง่​ ก็จะไปทำกรรมอกุศล
ถ้า(กู)​ฉลาด​ กูก็จะไปทำกรรมกุศล
นี่คือ​ กระบวนการ​บริหารการจัดการ

การรู้จักบริหารจัดการกรรมอย่างดียิ่ง​ คือคุณ​สมบัติ​ของความเป็นมนุษย์​สมบูรณ์​แบบ​

แม้ไม่บรรลุธรรมก็ไม่ตกนรก
แม้ยังไม่ตายก็ไม่เผชิญ​ต่อความทุกข์​เดือดร้อน

ทุกข์​มี​ 3 ชนิด คือ ทุกข์​ประจำ​ ทุกข์​จร ทุกข์​อาจิณ

ทุกข์​จร​ ไม่เกิด
ทุกข์​ประจำ​ มีแน่นอน​

เพราะร่างกายจะต้องทุพพลภาพ​ เปลี่ยน​แปลง​ มันปวด​ เมื่อย​ เจ็บ​ เป็นธรรมชาติ​ กรรมอะไรก็หยุดมันไม่ได้​ เพราะการได้มาซึ่งอัตภาพร่างกายนี้ก็เป็นชนกกรรมอย่างหนึ่ง

ที่ยังมีชีวิตอยู่นี่​ คือผลแห่งชนกกรรมอย่างหนึ่ง

อุปัตถัมภกกรรม​ ที่ทำทุกวัน​ ย่อมอุปถัมภ์​ให้ร่างกายเราให้เป็นแบบนี้ ... แก่อย่างแข็งแรง หรือแก่อย่างขี้โรค

แล้วถ้ายิ่งไปเร่งเร้า​ อุปปีฬกกรรมให้แสดงผลเร็วขึ้น​ คือ​ การเปลี่ยน​แปลง​จากหน้ามือเป็นหลังมือ​ หรือไม่ก็ค่อยๆ​ เป็นไปทีละน้อยๆ​ โดยเราไม่รู้ตัว

แล้วอุปฆาตกรรมก็มาตัดรอนให้เราเสื่อมลงอย่างชนิดหัวทิ่มหัวตำ​ หรือตายคาที่​ หรือตัดรอนให้เรารุ่งเรือง​ เจริญ​แบบชนิดอยู่ดีๆก็ถูกหวยโดยไม่ต้องซื้อหวย​ ก็จัดเป็นอุปฆาต​กรรม​เหมือนกัน​

ขึ้นอยู่กับ​ว่า​ ชนกกรรม​ อุปัต​ถัมภกกรรม​ อุปปีฬกกรรม​เราทำมาอย่างไร และขึ้นอยู่กับ​กระบวน​การกรรม​ 12

แม้ที่สุดอาจิณ​ณกรรม​ กรรมที่ทำอยู่ทุกวัน​ มันก็ย้อนไปเป็นวงกลม

กระบวนการ​กรรม​ 12 จึงเป็นวัฏจักร​ ไม่ใช่เส้นตรง​ เป็นวงกลม​ งูกินหาง​

1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11-12 ...1-2-3 วนกันอยู่อย่างนี้

รหัสนัยแห่งกรรม​ 12 นี้ ถ้าศึกษา​ให้ดี​ เราจะต้องดัดทำให้วงกลมนี้ กลายเป็น​ "เส้นตรง"ได้​ โดยอาศัยสติ​ ปัญญา​ และความไม่มัวเมา​ ประมาท​ของเรา

แต่หากปล่อยชีวิตให้มันเป็นไปตามยถากรรม ตามความเชื่อเรื่องกรรมของลัทธินอกพุทธศาสนา มันจะเหมือนกับมนุษย์หรือสัตว์ที่ตกลงน้ำแล้วไม่ขวนขวายแหวกว่ายเข้าฝั่ง รอให้น้ำพัดพาเข้าฝั่งเอง สุดท้ายก็หมดแรงจมน้ำตายในที่สุด

ปัจจุบัน​นี้​ มนุษย์สมัยนี้เหมือนอย่างนี้ มนุษย์​ยุคปัจจุบัน​เป็นแบบนี้​ คือเชื่อกรรมแบบลัทธิ​นอกศาสนา​พุทธ

พระพุทธ​เจ้า​จึงตรัส​ว่า​ ธรรมของพระองค์​เป็นเครื่องทวนกระแส​ แต่เราก็ไม่เข้าใจคำว่า​ "ทวนกระแส" คือ​ อะไร?​

คือ​ ต้องขวนขวาย

แล้วพระองค์​ทรงสอนต่อว่า​ "วิริเยน​ ทุกขมัจเจติ​ บุคคลล่วงทุกข์​ได้เพราะความเพียร"

... คนจำนวนมากก็ไม่ใส่ใจอีก

แล้ว​ ทุกข์​ เกิดจากอะไร?​ เกิดจากกรรม​ 12

เราก็ไม่ใส่ใจอีก​ ไม่คิดจะบริหาร​จัดการ​ ไม่คิดจะพัฒนา​ แก้ไข​ ฝืน.. ปล่อยไป​ให้มันพาเราหมุนวนอยู่อย่างนี้​ เป็น​ร้อยๆ​รอบ​ พันๆ​รอบแล้ว​ เราปล่อยชีวิตเราไปเป็นแบบนี้

ความจริงแค่เข้าใจ​ กรรม​ 12 อย่างแจ่มแจ้ง​ ชัดเจน​ แล้วเราจัดวางกรรมทั้ง​12 อย่างเป็นผู้รู้​ ผู้เข้าใจ​ ผู้ขวนขวาย​ พัฒนา​แล้ว​ได้

เราก็พ้นแล้วซึ่งนรกภูมิ​

ทุคติภพไม่มากล้ำกรายเราแล้ว​ แม้นในชาตินี้และชาติ​ต่อๆ​ ไป

นี่คือ รางวัล​ของ​ผู้บริหาร​จัดการ​กรรม​ 12

ถามว่า​ ชีวิตเรา​ในปัจจุบัน​เป็นผู้เชื่อลัทธิ​พุทธศาสนา​​ หรือว่า​นอกลัทธิ​พุทธศาสนา​ในเรื่องกรรม?

บอกตรง​ ๆว่า​ คนปัจจุบัน​นี้​ แม้แต่นักบวชก็เชื่อ​กรรมนอกลัทธิ​พุทธศาสนา​ ไม่อย่างนั้นจะเกิด​กรณี 2 พส.หรือ​ ใช่มั้ย?

เพราะไม่ได้เชื่อกรรมแบบชนิดที่เข้าใจกรรม​ โดยจะเลือกทำแต่เฉพาะกุศลกรรม​ และละเว้น​ไม่กระทำต่ออกุศล​กรรม​

แต่ตราบใดที่เว้นอกุศลกรรม​ไม่ได้​ เราคือ​ผู้ที่เชื่อกรรมตามลัทธิ​นอก​​ศาสนา​พุทธ

ขอย้ำว่า​

เมื่อใดที่เรายังหยุดยั้ง​กรรมในฝ่ายอกุศลกรรม​ไม่ได้​ เมื่อนั้นเราคือบุคคลที่เชื่อกรรมตามคำสอนลัทธิ​นอกศาสนาพุทธ ... เพราะไม่ขวนขวาย​ ไม่พัฒนา​ ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม​ เหมือนคนตกน้ำ​ ไม่ขวนขวาย​ที่จะว่ายทวนกระแสหาฝั่งเข้า

ทุกวันนี้​ เราไม่ต่างอะไรกับมนุษย์และสัตว์​ที่อยู่ในทะเลแห่งทุกข์​ เราก็ไปของมันเรื่อย​

ควรจะต้องเตือนให้รู้​ ให้เข้าใจ​ ให้รู้จัก​ เตือนให้ขวนขวาย​

ควรจะ​แจ้ง​ แถลง​ บอก​ ชี้แจง​

ควรจะทำให้​เกิด​การเปลี่ยนแปลง​ ให้สัตว์​ทั้งหลายได้เข้าใจว่า​ ตัวเองกำลังว่ายอยู่ในวังวนแห่งทะเลในความทุกข์​ระทม​ ในการให้ผลกดดันแห่งกรรมทั้ง​ 12

******

จงรักษาจิตไม่ให้กระทำกรรม

การเชื่อกรรมในทางผิดๆ มันจะทำให้ผู้เชื่อกลายเป็นคนไร้สาระ ไร้ประโยชน์ ไร้เหตุ ไร้ผล เป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี หาประโยชน์มิได้

ทุกเรื่องที่คิดเป็นกรรม
ทุกคำที่พูดเป็นกรรม
ทุกสิ่งที่ทำ ที่เขียน ที่โพสต์ไป ... ก็เป็นกรรมทั้งนั้น

หนีไม่พ้น ... เรื่องที่เราทำ...คำที่เราพูด..สูตรที่เราคิด​ ย่อมจัดอยู่ในกรรม​ 12

กระจายไปอยู่ใน​ 12 ห้อง ที่เรียกว่า "คลังเก็บกรรม​ 12"

ถึงเวลาก็จะจัดไป​ ผลงานของกรรมออกมาให้เราแต่ละคนรับเอาผลไป

เพราะ​ฉะนั้น​ ห้องกรรมทั้ง​ 12 ของแต่​ละคน

ถ้าจัดเป็น​ฝ่ายอกุศล​ วิหารหลังนี้ใส่กรรมทั้ง​ 12 ยังเล็กไป​ ใส่ไม่หมด​ ล้นออกประตู​ หน้าต่าง

แต่ห้องกรรมฝ่ายกุศล​ ขวดใบนี้ยังไม่เต็ม ยังพร่องอยู่เลย

แล้วหลับตาคิดดู​ เราจะหาความสุขมาจากไหนในเมื่อกรรมดีมีแค่นี้​ แต่กรรมชั่วทั้งห้อง

จะเอาความสุข​มาจากไหน​?

จะวิงวอน​เทพเจ้าองค์​ใดให้บันดาล​?

ต้นทุนมึงมาแค่นี้... เห็นมั้ย?

เพราะโทษแห่งความไม่รู้​ ไม่เข้าใจ​ โง่​ มัว​เมา​ ประมาท​ แล้วไม่ขวนขวาย​ ไม่เข้าใจ​วิถีแห่งกรรม

กูน่ะ​ อยากกลับไปอยู่บ้านกูจริงจริ๊ง​ บ้านกูที่มีแต่แสงสว่าง​เรืองรอง​ มองใครก็มีใบหน้าสดใส​ มีกุศลกรรม​อำไพ มีจิตใจโปร่ง​ เบา​ ใส​ สบาย

ลงมาอยู่บ้านหลังนี้แล้ว​ โอ๊ย​ ทึบ​ มืดตึ๊บ​ มองที่ไหนก็มึนตึ๊บ​ ไม่เห็นแสง​ อับเฉา​ ต๊าย​ ตายๆๆ ...

******

เมื่อกี้เราพูดแต่เรื่องกุศลกรรม​กับอกุศล​กรรม​ แต่มาปิดท้ายตรงคำว่า​ เฉยๆ

ข้อ​นี้น่าจะวิสัชนาให้แจ่มชัด

กรรม​ "เฉยๆ" มี​ ๒​ อย่าง

เฉยๆ​ เพราะสันหลัง​ยาว

เฉย​ๆ เพราะ​รู้ชัดตามความเป็นจริง​ แล้วไม่สร้างเวรกรรมต่อ​ ไม่สืบต่อกรรมนั้นๆ​ และไม่ทำกรรมนั้นๆ​ จึงเรียกว่า​ เฉยๆ

กรรมชนิดนี้​ เรียกว่า​ 'อัพยากตกรรม​' คือ​ กรรมที่วางเฉยด้วยสาเหตุแห่งการรู้ชัดตามความเป็นจริง

แต่ถ้า เฉย​ เพราะสันหลัง​ยาว​ ไม่ขวนขวาย​ โง่เขลา​ รู้ไม่เท่าทัน​
ถ้าเฉยแบบนี้​เป็นคุณ​หรือเป็น​โทษ? (เป็นโทษ)

เฉย​ เพราะสันหลังยาว​ แบบรู้ไม่เท่าทัน​ โง่เขลา​ มีมากกว่าเฉยเพราะรู้เท่าทัน​ตามความเป็นจริง​มั้ย? (มากกว่า)

ฉะนั้น​ ในกรรมทั้ง​ ๓​ บริบท​ คือ​ กุศล​ อกุศล​ และเฉยๆ​

ถ้าสามารถ​ เฉย เพราะ​รู้ชัดตามความเป็นจริง​ได้​ เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราจับวงล้อแห่งกรรมมายืดออก​ และเป็นเส้นตรง​ เราก็ไปอยู่ปลายข้างใดข้างหนึ่ง

ถ้าใช้สติ​ ปัญญา​ และไม่มัวเมาประมาท​ ก็เฉยแบบชนิดรู้ชัดตามความเป็นจริง​ ก็จะยืดวงล้อกลมๆ​ แห่งกรรม​ 12 ออกไปสองฝั่ง​ แล้วเราไปอยู่ปลายข้างใดข้างหนึ่ง

โดยเฉพาะ​ มโนกรรม​ ชั่วขณะ​จิตหนึ่ง​ก็เป็นกรรมแล้ว​

พระพุทธ​เจ้าจึงตรัสว่า​ ถ้าไม่อยากทำกรรม​ จง"รักษา​จิต" ... ถ้าไม่อยากให้จิตเป็นมโนกรรม​ จง"รักษา​จิต"

"รักษา​จิต" จึงไม่เป็นกุศลกรรม​ และไม่เป็นอกุศลกรรม​ แต่เป็นกระบวนการ​ทำงาน​ของ​สติ​ ปัญญา​ สมาธิ​ ยังไม่ได้ลงมือทำกรรม

เป็นกระบวนการ​บริหารจัดการของคำว่า​ คุณ​ธรรม​แห่งสติ​ ปัญญา​ สมาธิ​ และคุณ​ธรรม​แห่งความไม่มัวเมาประมาท​

คือกำลังบริหารจัดการจิตไม่ให้ไปฝืนกระทำกรรมในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง​

หลวงปู่พุทธะอิสระ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=4937381012965667&set=a.380997495270731

เนื้อหาโดย: มารคัส
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
มารคัส's profile


โพสท์โดย: มารคัส
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจช็อกวงการมวย! “ตะวันฉาย” ขาหักหลังพ่าย TKO ยกแรกสถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่นถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติดสุดสลดกลางกรุง สาววัย 36 ปีเสียชีวิตจากการตกจากคอนโดชั้น 35 ในเขตบางนา กทม.ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวนไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญวินาทีชีวิต! ภาพไวรัล "หนูนา" หน้าตาสุดอ้อนวอน ในกรงเล็บนกเหยี่ยวปุ๋ยล็อตใหญ่ ไปชายแดนเกือบ 3,000 นาย11 เคล็ดลับการดูแลสุขภาพพื้นฐานตามศาสตร์แพทย์แผนจีนเขมรมาแปลก! อ้าง "ทหารไทย" ใช้หมาบ้ามาโจมตีทหาร หวั่นมีเชื้อพิษสุนัขบ้าคลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
หมกปลาซิวแก้ว วิธีปรุงอาหารแบบชาวภูไททหารกัมพูชา ใช้สไนเปอร์ หวังลอบยิง ผบ.ทหารเรือแมงมุมกระโดดเลียนแบบมด ที่หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมดเขมรมาแปลก! อ้าง "ทหารไทย" ใช้หมาบ้ามาโจมตีทหาร หวั่นมีเชื้อพิษสุนัขบ้า11 เคล็ดลับการดูแลสุขภาพพื้นฐานตามศาสตร์แพทย์แผนจีนเครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ความรัก, ประสบการณ์ชีวิต
"สกีบก" ของเล่นเด็กในฐาน สามัคคีคือพลังเก้าเท้าพร้อมกันสร้างความผูกพันที่มีความแข็งแกร่งขอวนักวางแผน"รถไต่ถัง"ผจญภัยที่มากกว่าทุกสิ่งอย่าง การทรงตัวต้องมีความมั่นคงการพังทลายของปราสาทที่รอการบูรณะซ่อมแซม (กัมพูชา)ร่องรอยบนใบหน้านั้นอาจจะเลือนลาง พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลติเตศวร
ตั้งกระทู้ใหม่