หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ว่าด้วยกรรม 12 / หลวงปู่พุทธะอิสระ

โพสท์โดย มารคัส

ว่าด้วยกรรม 12 / หลวงปู่พุทธะอิสระ
//////

พึงเข้าใจเถิดว่า​ มนุษย์​และสัตว์​โลก​ล้วนเป็น​ไปตามกรรม​

แต่จะเป็นไปตามกรรมแบบไหนเล่าที่พระพุทธ​เจ้าทรงสอนว่า​ "กัมมุนา​ วัตตติ​ โลโก​ ... สัตว์​โลก​เป็น​ไปตามกรรม"

.....

เชื่อกรรมตามวิถีพุทธ​

เป็นไปตาม​กรรม​อย่างไรจึงจะถือว่า​ เราเชื่อกรรมตามวิถีแห่งพุทธ​

ไม่ใช่เชื่อกรรมตามลัทธิ​นอกพระพุทธ​ศาสนา​ ซึ่งเชื่อกรรมแบบชนิดปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม​

คือ​ไม่ขวน​ขวาย​ เพราะไหนๆ​ กูมีกรรมแล้วนี่​ ชีวิตเราเป็นไปตามกรรม​ ก็ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม​ ไม่ต้องอะไรเยอะ​ ไม่ต้องไปขวนขวาย​ เดือดร้อน​ ทุรนทุราย​ เพราะยังไงๆ​ ก็หนีกรรมไม่พ้น

ถ้าเชื่อแบบนี้​ เขาเรียกว่า​ เชื่อตามลัทธิ​นอกศาสนา​ พระพุทธ​เจ้า​ไม่ทรงสรรเสริญ

แต่ถ้าเชื่อกรรมโดยการเรียน​รู้​ ศึกษา​ และทำความเข้าใจ​ว่า​ ... สัตว์​โลก​เป็นไปตามกรรม และกรรมจำแนกสัตว์​ให้ดีชั่วเลวหยาบ​

ถ้าเชื่อกรรมแบบนี้แล้วจะทำให้ชีวิต​ของ​มนุษย์​ผู้ที่เชื่อในกฎของกรรมดีขึ้นได้อย่างไร

กรรม​ คือ​ อะไร? กรรม​คือการกระทํา
แล้วใครเป็นผู้กระทำ? คือ ตัวเรา
ซึ่งก็สอดคล้อง​กับคำสอน​ "อัตตาหิ​ อัตโนนาโถ​ ตนเป็นที่พึ่ง​ของ​ตน​"

แล้วเชื่อสิ่งที่ตนกระทำ
ทำอย่างไร​ต้องรับผลอย่างนั้น
ทำดีรับผลดี​ ทำชั่วต้องได้รับผลชั่ว

เท่ากับว่า​ พระพุทธเจ้า​ทรงสอนให้เชื่อตัวเองอย่างชาญฉลาด​ มีสติปัญญา​ นั่นเอง

.....

บทสรุปของการเชื่อกรรม​ และอัตตาหิ​ อัตโนนาโถ

เมื่อเอา​ 2 อย่างมาผนวกกัน​ จะทำให้​เห็น​ว่า​ พระพุทธเจ้า​ไม่ได้ทรงสอนเลอะเทอะ​ เปรอะเปื้อน​ แต่ทรงสอนให้เชื่อตัวเองที่เต็ม​พร้อม​ เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพของความมีสติปัญญา

.....

วิถีแห่งพละ 4

ถ้าเชื่อในมนุษย์​ว่าสามารถดำรงชีวิต​อยู่​อย่างมีศักยภาพ​ มีความรู้​ความสามารถ​ มีความเจริญ​รุ่งเรือง​ มั่งคั่ง​ มั่นคง​ได้ ก็จงเชื่อตน​เองในวิถีแห่งพละ​ ๔​

ที่มี​ปัญ​ญา​ วิริยะ​ ซื่อตรง​ มีจาคะ​
อยู่ร่วมกันด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย​
แบ่งปัน​ เกื้อกูล​กัน​ มีน้ำใจ​ ให้อภัย​ ไม่เห็นแก่ตัว​​ และมีปฏิสัมพันธ์​อัน​ดี​กับ​คนรอบข้าง​
แล้วชีวิต​จะเป็นสุข ปลอดภัย ผ่อนคลายโปร่ง​ เบา​ สบาย​ และเจริญ​ได้​

เราจะมีชีวิตอยู่​ในโลกใบนี้อย่างไม่ทุกข์​มากไป​ ไม่ทรมาน​เยอะไป​ และมีพัฒนา​การ​อันดีงาม​ คือ​ มีปัญญาเป็นตัวหลัก

......

พละ 5

ถ้าเชื่อในพละ​ 5 คือ​ เชื่อว่า​มนุษย์​ผู้นั้นจะสามารถ​หลุดพ้นจากการครอบงำของ​ รูป​ รส​ กลิ่น​ เสียง​ สัมผัส​ และรัก​ โลภ​ โกรธ​ หลง​ได้​

นั่นคือ​มี​ศรัทธา​ วิริยะ​ สติ​ สมาธิ​ ปัญญา​ คือ​ เชื่อในวิถีแห่งการพัฒ​นาตนเองให้หลุดพ้นจากอัตภาพ​แห่งความเป็นมนุษย์​และโลกนี้ไปได้

นี่คือ​ การเชื่อกรรมแบบมีที่มาที่ไป​ มีเหตุมีผล​

เชื่อแบบนี้แหละ​ พระ​พุทธ​เจ้าทรงเรียกว่า​
กัมมุนา​ วัตตติโลโก​ สัตว์​โลกเป็นไปตามกรรม​ เชื่ออย่างมีหลักการ​ มีเหตุมีผล

.....

กรรมที่พระพุทธศาสนาสอนนั้นไม่ใช่สอนให้คนเชื่อ แล้วปล่อยชีวิตเป็นไปตามกรรม โดยไม่ขวนขวาย ไม่มุ่งมั่นพัฒนา เฉกเช่น ผู้ที่ยอมรับชะตากรรม โดยไม่คิดจะทำอะไร

ในพระพุทธศาสนาสอนให้ศึกษากรรมโดยแบ่งกรรมและการให้ผลของกรรมไว้ 12 ลักษณะ คือ

(1) ชนกกรรม
กรรมที่นำมาให้เกิดหรือกรรมที่ตกแต่งให้เกิด หาได้เกิดในชาติภพอย่างเดียวไม่ แม้ก่อกำเนิดให้เกิดกรรมทางกาย วาจา และใจ ทั้งในทางดีและชั่วได้ด้วย

กระบวนการ​ทำงานแห่งกรรมจึงไม่ได้มีเฉพาะแค่ภพใดภพหนึ่ง​ ชาติใดชาติ​หนึ่ง​ แต่มีแม้กระทั่งที่มีอยู่ในขณะหนึ่งๆ​ เช่น​ วันนี้เราต้องการจะปฏิบัติธรรม เรามีจิตศรัทธา​ประกอบด้วยความเพียร​ สติ​ สมาธิ ปัญญา คือ​ ทุกอย่างมาจากเหตุปัจจัย

พระพุทธ​เจ้า​ทรงสอน​ว่า

"เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา คือ​ ธรรมทั้งหลาย​เกิดแต่เหตุ​"

ไม่ใช่อยู่ดีๆ​จะมาปฏิบัติธรรม โดยไม่คิด​ ไม่วิเคราะห์​ ไม่คำนวณ​ ไม่วางแผน​ ไม่มีอารมณ์​ศรัทธา​อยู่ก่อน ... มันเป็นไปไม่ได้

ชนกกรรม​ จึงหมายถึง​ กระบวนการ​ที่ทำให้เราได้ทำกระบวนการ​นั้นๆ​สำเร็จ​ประโยชน์

ต้องมีศรัทธา​ มีความเพียร​ มีขันติ​ มีความอดทน​ มีปัญญา​ มีสติ​ จึงจะถึงคำว่า​ มีการบำเพ็ญ​ปฏิบัติธรรมได้

จึงสรุปได้ว่า​ การทำงานของชนกกรรมนั้นให้ผลแม้ขณะหนึ่งๆ​ ขณะจิตหนึ่งๆ ขณะอารมณ์​หนึ่ง​ๆ ... นี่ก็เป็นกระบวนการ​แห่งชนกกรรม​

(2) อุปัตถัมภกกรรม
กรรมที่คอยสนับสนุน เลี้ยงดู รวมทั้งให้การอุปถัมภ์ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ให้ส่งผลอย่างสม่ำเสมอ

อุปัตถัมภกกรรม​ เหมือนกับพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูก​ เราจะปฏิบัติธรรมโดยมีศรัทธา​อย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีกระบวนการ​มาอุปถัมภ์ด้วย

คือต้องมี 'ความเพียร​' เอาความเพียร​เข้ามาอุปถัมภ์​ความศรัทธา​ที่ตั้งมั่น​/ตั้งใจไว้ให้มันสำเร็จ​ประโยชน์

ต้องมีขันติ​ในการปฏิบัติธรรม มีความอดทน

กระบวนการ​เหล่านั้น​เรียก​ว่า อุปัตถัมภก​กรรม​ ทำให้กิจกรรม​ที่เราตั้งความหวังว่าจะทำสำเร็จ​ประโยชน์

ชนกกรรมก็ดี​ อุปัตถัมภกกรรมก็ดี​ มีแต่ฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล​

คนคิดจะไปปล้นเขา​ อยู่ดีๆ​ จะหยิบมีด​ หยิบปืนไปมั้ย? ต้องโลภก่อน​ ต้องโง่ก่อนด้วยนะ​

เพราะ​ "โง่" เป็นปัจจัย​หลักของคนทำกรรมชั่ว​ ส่วนปัจจัย​หลักของคนทำความดี​ คือปัญญา หรือความฉลาด

คนทำความดีต้องมีปัญญา​ นั่นคือ​ ปัจจัย​หลักในการทำความดี​ เพราะเห็นคุณ​ เห็นประโยชน์​ในการกระทำความดี​ว่า​ ทำแล้วไม่มีโทษ​ ไม่มีผลส่งให้เกิดความทุกข์​ทรมาน

เหล่านี้แหละ​ เรียกว่า​ อุปัตถัมภกกรรม

ฉะนั้น​ อุปัตถัมภกกรรมของกุศลกรรม​ คือ​ ​ความฉลาด​ ความเพียร​ มีศรัทธา​ ความเชื่อในสิ่งที่​ทำ​ เหล่านี้คือ​ องค์ประกอบ

ถ้าเข้าใจพุทธธรรม​ก็จะเข้าใจว่า​ เอา​ "เหตุ" เป็นตัวตั้ง​ ธรรมใดเกิดแต่เหตุ​ ทุกอย่าง​เป็นกระบวนการ​ของเหตุทั้ง​หมด​ แล้วค่อยมาสรุปผลตรงที่​ "ผล" ออกมาอย่างไร

ดังนั้น​ อุปัตถัมภกกรรม​ ไม่ใช่อุปถัมภ์​กรรมดีอย่างเดียว​ แม้แต่กรรมที่ตกแต่งให้เกิดแล้วทำชั่ว​ เรียก​ว่า​ อกุศล​ ก็จัดว่า​ เป็นอุปัตถัมภก​กรรมเหมือนกัน​ และ​การอุปถัมภ์​ให้กรรมนั้นสำเร็จ​ประโยชน์​ จึงจัดว่า​เป็นอุปัตถัมภกกรรมทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว

(3) อุปปีฬกกรรม
กรรมที่บีบคั้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ทำหน้าที่บีบคั้นจากชั่วให้เป็นดี และบีบคั้นจากดีกลายเป็นชั่ว รวมทั้งบีบคั้นให้ไม่ได้ ไม่ชั่ว เป็นกลางๆ ได้ด้วย

อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นอุปสรรค​ขวางหนาม​ หรือที่ทำให้เราไม่ได้ดั่งหวัง​ เขาก็เรียกว่า​ อุปปี​ฬกกรรม​ ... กรรมที่บีบคั้นให้เปลี่ยนแปลง​ผลที่จะเกิดจากจุดมุ่งหมาย​ที่กระทำ

จะเป็นอุปปีฬกกรรม​ได้ ต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ​ จากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง จึงจะเรียกว่า​ อุปปีฬกกรรม

(4) อุปฆาตกกรรม
กรรมที่ทำหน้าที่กัดกร่อน ตัดรอนในทุกกรรม ไม่ว่าจะดีหรือเลว โดยไม่มีกาลเวลา แม้ที่สุดกำลังจะดี ก็ทำให้ตายได้ด้วย

ส่วนใหญ่​ อุปฆาตกรรม​ เป็นกรรมหนัก​ มาเร็ว​ และแรง​ ทำให้ขาดสูญ​ หวังผลไม่ได้อีกต่อไป​ เขาจะใช้คำว่า​ อุปฆาตกรรม.. ทำให้เสื่อม​และหลุดพ้น​ เช่น​ อยู่ดีๆ​ หลุดพ้นจากอำนาจที่เราดำรงอยู่​ อย่างนี้มีอุปฆาตกรรม.. เป็นรัฐมนตรี​อยู่ดีๆ​ แว็บเดียวไปติดคุกแล้ว.. เป็นพระอยู่ดีๆ​ แว็บเดียวไปติดคุกแล้ว​ อย่างนี้เรียกว่า​ อุปฆาตกรรม​ คือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปทันที.. จากมีชีวิต​ที่สดสวย​ เหมือนบ้านเพิ่งปลูกใหม่​ อยู่ดีๆ​ ไฟไหม้​

อุปปีฬกกรรม​ เหมือน​กับไฟช็อต​ในบ้านหลังใหม่​ มองเห็นควันไฟ​ เราไปดับได้ทัน​ นี่เรียก​ อุปปีฬกกรรม​ ทำให้เสื่อม​ ตัด​รอน​ ไม่ให้เจริญ

แต่อุปฆาตกรรม​ ทำให้ฉิบหาย​วายป่วง​ ทำให้บรรลัย​ หาย​ ขาดสูญไปเลย​

ตั้งแต่ข้อ 1-4 เป็นกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่
ไม่มีใครจะดลบันดาลให้เกิด

จำไว้​นะในกรรม​ 4 หมวดนี้​ ไม่มีใครเป็นผู้ดลบันดาล​ให้เกิด นอกจากตัวเราเอง

ฉะนั้น​ เมื่อตัวเราเองเป็นผู้ทำให้เกิดกรรมทั้ง​ 4 แล้ว ใครเป็นผู้รับกรรม?

ตัวเราเป็นผู้รับกรรม​ แล้วกรรมทั้ง​ 4 มีหน้าที่​ที่จะส่งผลให้ผู้กระทำกรรมทั้ง​ 4 นั้น​ ไม่ใช่คนอื่นดลบันดาล​ให้ส่งผล

กรรมทั้ง​ 4 จึงจัดเป็น​กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่​ ไม่มีใครมาดลบันดาล​ บังคับ​ ขู่เข็ญ​ ขอร้อง​ อ้อน​วอน​ หรือทำให้ส่งผล

ตัวเราเองนั่นแหละ ถ้าทำมาก​ ทำเร็ว​ ทำบ่อย​ ทำถี่​ ก็จะส่งผลเร็ว​ ส่งผลมาก ส่งผลถี่​

ถ้าทำช้า​ ทำไม่บ่อย​ นานๆทำที แม้กรรมทั้ง​ 4 มีหน้าที่​ต้องให้ผลก็ให้ผลตามกระบวนการ​กระทำ​ คือ ให้ผลช้า​ นานๆ​ ให้ที​ ไม่ได้ให้ผลถี่

ในกรรมทั้ง​ 4 ถ้าเราเลือก​ที่จะทำเฉพาะกรรมฝ่ายกุศล​ เรียกว่า​ ฉลาด​แล้วทำกรรม​ แล้วทำบ่อยๆ​ ทำเรื่อยๆ​ ทำถี่ๆ​ ไม่ใช่นานๆ​ ทำที​ มันก็ให้ผลตามหน้าที่​ของมัน​

คือ​ จะให้ผลดี​ ให้คุณประโยชน์​ ให้​ผล​เป็นสุข​ เป็นความสำเร็จ​ รุ่งเรือง​ เจริญ​ บ่อยๆ​ ถี่ๆ

เพราะ​ฉะนั้น​ กรรมทั้ง​ 4 จึงจัดว่าเป็นกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่​

ถ้าอยากจะได้​ "ผล" แห่งกรรม​ดีอันเป็นกุศลบ่อยๆ​ ส่งผลให้เกิดความรุ่งเรือง​ เจริญ​ มั่งคั่ง​ มั่นคง​ สุขภาพ​แข็งแรง​ อายุ​ยืน​ยาว​ วาสนาดี บารมี​มาก​มาย​

ก็ต้องทำกรรมทั้ง​ 4 ถี่ๆ​ บ่อยๆ​ เร็วๆ​ ไม่ใช่นานๆ​ ทำที​ และต้องเป็นกรรมทั้ง​ 4 ที่อยู่ในกุศลกรรมเท่านั้น

......

หลักของกุศลกรรม

ต้นเหตุแห่งการทำ​กุศล​กรรม​ คืออะไร? รากฐานเลย​ คือความฉลาด

คนฉลาด​ ทำกุศล
คนโง่​ ทำอกุศล

กรรม​ 12 จึงต้องเรียนรู้​ ศึกษาให้แจ่มชัด​ ไม่​ใช่เชื่อกรรมแบบไม่มีคำอธิบาย​ แล้วปล่อย​ชีวิต​ให้เป็น​ไป​ตามยถากรรม​ อันนั้น​เรียกว่า​ เชื่อตามลัทธิ​นอกศาสนา

*******

(5) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน หมายรวมไปถึงปัจจุบันขณะด้วย ซึ่งก็มีทั้งกรรมดี​ กรรมเลว และวางเฉย

กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน​

ประเภทที่ 1 คือ​ กรรมอะไรที่ทำแล้วเกิดผลกระทบต่อส่วนรวมโดยมาก​ และเป็นต้นแบบ/เยี่ยงอย่าง​ ที่ไม่ดีต่อส่วนรวมได้เยอะ​ ทำให้คน/สัตว์​ ตกทุกข์ทรมานได้มาก​ กรรมชนิดนั้นจะให้ผลในปัจจุบัน​ เรียกว่า​ "อะยัมภะทันตา"​ ตามให้ผลแบบชนิดปัจจุบัน​ทันด่วน​ ใกล้เคียงกับกรรมอันหนักที่เรียกว่า​ ครุกรรม​ นี่ประเภทที่​ 1 ของกรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน

ประเภทที่​ 2 คือ​ ทำในปัจจุบัน​แล้วให้ผลในนาทีนั้น​เลย ไม่ต้องรอชาติหน้า

ดังนั้น​ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน​ คือ​ ทำแล้ว
คนอื่นเดือดร้อน​มาก​ สังคมเป็นทุกข์​มาก​
สิ่งแวดล้อม​เสียหายมาก​ และเป็นต้นแบบที่ไม่ดี​เลวร้ายต่อมนุษยชาติ​ได้มากๆ​ จะเกิดการให้ผลในปัจจุ​บัน​ โดยไม่ต้องรอนาน

ประเภทสุดท้าย​ คือทำกรรมไว้เมื่อไหร่กูก็ไม่รู้​ แต่อยู่ดีๆ​ บ้าน​ ไฟไหม้..ลูกโดนรถชนตาย..เราประสบอุบัติเหตุ​ขาหัก​/แขนหัก​ทั้งที่ไม่เคยไปทำร้ายทำลายใครเลย​ แต่ส่งผล​ เรียกว่า​ "อดีตกรรม" ส่งผลให้รับผลในปัจจุบันกรรม

ประเภท​สุดท้าย​นี้เรียกว่า​ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม.. รวมหมายถึง​ 'ทุกขณะ'ด้วย

ขอขยายความคำว่า "ทุกขณะ" ว่าเป็นกรรมที่เกี่ยวกับ 'ใจ' ที่ให้ผลในปัจจุบันดังนี้

ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เป็นผลฝ่ายครุกรรม​ คือ​ เห็นด้วยตาจับต้อง​/สัมผัส​ได้ด้วยมือ​ รู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสปสาทะทั้ง​ 5 ตา​ หู​ จมูก​ ลิ้น​ กาย​

แต่​กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันนั้น บางที​ไม่ได้เกิดกับ "กาย" แต่กลับไปเกิดกับ "ใจ" แทน

คืออยู่ดีๆใจเราก็ทุรน​ทุราย​ ร้อนรุ่ม​ ว้าวุ่น​กลัด​กลุ้ม​ ฟุ้งซ่าน​ หงุดหงิด​ รำคา​ญ ซึมเศร้าขึ้นมาเฉยๆ ... นี่ก็เป็นกรรมที่ให้ผลในปัจจุบันเช่นกัน

เพราะกรรมมี​ 3 อย่าง​ คือกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

กรรม​ที่ให้ผลโดยที่กายเรา​ไม่ได้รับรู้
วจีเรา​ไม่ได้รับผลกระทบ
แต่​ มโน​ คือ​ใจรับรู้​ได้ทันที​ คือ​ กรรมที่กระทำโดย​ "มโนกรรม" อันนี้​เป็นไปโดยทุกขณะ​ เช่น​

โลภ​-อยากได้ของเขา
พยาบาท​- ปองร้ายเขา
เห็นผิดจากทำนองคลอง​ธรรม​ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ถ้ากระทำลงไปแล้ว​ ไม่ต้องรอชาติหน้า​ให้ผล​หรอก เพราะมันให้ผลในปัจจุบันทันที

ฉะนั้น​ถ้าจะอธิบายว่า​ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันโดยตรง​ คือ​ มโนกรรม​ ก็ได้​

เพราะ​มโนกรรม​ นี่คนอื่นทำให้เรามั้ย? เราต้องทำกับคนอื่นมั้ย? ไม่​เลย

แค่เกลียด​ มันก็ให้ผลแล้ว
แค่โลภ-อยากได้ของเขา​ มันก็ให้ผลแล้ว​ ความโลภทำให้เราทุรน​ทุราย​ นอนไม่หลับ​ กระสับกระส่าย
แค่มักมากในกามคุณ​ รูป​ รส​ กลิ่น​ เสียง​ สัมผัส​ จิตเราก็ไม่สงบแล้ว กรรมให้ผลในปัจจุบันแล้ว

กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันขณะได้​ คือ​ กรรมที่เกิดจากมโน​กรรม

(6) อุปปัชชเวทนียกรรม
กรรมที่ให้ผลในอนาคต หมายถึง นาทีหน้าและ ชั่วโมงต่อๆ ไปจนถึงวันต่อๆ ไป เดือนต่อไปและปีต่อๆ ไป

ถ้าให้ผลในชาติต่อๆ​ไปจะเรียกว่า อปราปริยเวทนียกรรม​ คือ​ กรรมที่ให้ผลในภพภูมิต่อไป

เราจะเห็น​ว่า​ กรรม​เหมือนคนวิ่งผลัด.. วิ่งมาแล้วมึงรับไม้ต่อ​ ไม่​มีคำว่า​ วิ่งมาแล้วรับมึงทำไม้ตก.. ไม่มีนะ​ ส่วนมันจะเร็วจะแรง​ ก็อยู่กำลังของ​แต่ละ​คนที่วิ่งไม้​

นั่นหมายถึง​ อยู่ที่กำลังของกรรมที่กระ​ทำ​ จะส่งผลเร็ว​ ส่งผลแรงอย่าง​ไร​ขึ้นอยู่กับกรรมของผู้กระทำนั้น​ ว่า​ทำโดยเจตนา​อันแรงกล้า​ เบาบาง​ หรือแทบไม่ได้เจตนา

แต่อย่างน้อยไม้นั้นไม่เคยตกมือ​ แสดงว่า​ กรรมนั้นไม่เคยร่วงไปไหน​ ต้องถึงปลายทางในที่สุด​ และเราเป็นผู้ยืนอยู่ไม้สุดท้าย

อันที่จริง​ เราอยู่กับไม้คนแรก​ แล้วมาอยู่กับคนที่​ 2 คนที่ 3 และสุดท้าย​เราไปอยู่กับคนที่วิ่งไม้สุดท้าย

สรุป​แล้ว​ เรารับไม้มาทุกช่วง

เพราะ​ฉะนั้น​ อปราปริยเวทนียกรรม​ หรือกรรมให้ผลในภพภูมิ​ต่อๆ​ ไป​ จึงไม่เข้ามาวุ่นวาย​อยู่กับอุปปัชชเวทนียกรรม​ หรือ กรรมที่ให้ผลในอนาคต​ คือ​ ทำวันนี้​ พรุ่งนี้ให้ผล คือให้ผลใน "นาทีหน้า​ ชั่วโมง​ต่อไปจนถึงวันต่อๆไป​ เดือนต่อๆไป"

ทำชั่ววันนี้​ เราอาจจะไม่รู้สึกเดือดร้อน​อะไร​ ...​ โกงเขาไปก่อน​ โกหกเขาไปก่อน​ หลอกเขาไปก่อน​ เป็นกรรมชั่ว แต่มันยังไม่ให้ผลไง​ เลยยังไม่เป็นไร

แล้วเมื่อถึงวันมันให้ผล​ เขาเรียกว่า​ อุปปัชชเวทนียกรรม​ คือ​ ยืนยัน​กรรมนี้ว่า​ ไม่ว่าคุณ​จะทำแล้วได้ผล​/ไม่ได้ผล​ ในเวลาปัจจุบัน​ก็​ตาม​ แต่สุดท้าย​ อนาคตคุณ​จะต้องเป็นผู้รับกรรมนั้นอยู่ดี​

ข้อนี้เขาอธิบาย​ความแบบนี้​ แม้ปัจจุบัน​ คุณ​จะโกหก​ จะโกง​ จะขโมยเขา​ เขาไม่รู้​คุณทำร้าย​ เขาจับคุณ​ไม่ได้​ เรารู้สึกไม่เป็นไร​ แต่จริงๆแล้ว​ ไม่ใช่! เราจะต้องใช้หนี้กรรมในอนาคตอยู่​ดี​

(7) อปราปริยเวทนียกรรม
กรรมที่ให้ผลในภพภูมิต่อๆไป ซึ่งถูกส่งผลต่อเนื่องมาจาก​อุปปัชชเวทนียกรรม จนปรากฏในภพภูมิต่อๆ ไป

กรรมชนิดใดบ้างที่ให้ผลในภพภูมิ​ต่อๆ​ ไป

หนึ่ง : กรรมที่เกิดจากการ "ทุศีล"
ศีลย่อมทำให้สู่สุคติ
ศีลย่อมยังให้เกิดโภค ทรัพย์
ศีลย่อมยังให้สู่พระนิพพาน

ฉะนั้น​ ผู้ที่ทุศีล​ แม้นปัจจุบัน​ เราไม่รู้สึกเดือดร้อนกับมัน​ เหมือน​กับ​​คนยุคปัจจุบัน​นี้​ ทุศีล​กันเป็นว่าเล่น​ พูดโกหก​ ตอ​แหล​ หลอกลวง​ ปลิ้น​ปล้อน​ กะล่อน​ มดเท็จ​ หยาบ​ ถ่อย​ สถุล ด่าพ่อล่อแม่ออกสื่อเต็มไปหมด​

ผิดศีลมั้ย? ผิดแน่นอน

ทุศีลไปบ่อยๆ​ ไปเรื่อยๆ​ มันหายไปมั้ย?
วันนี้ไม่เห็น​ แต่ชาติภพต่อไปจะเห็น​ผลแน่

ฉะนั้น​ ศีล​ คือ​ ตัวกำหนดผลแห่งกรรมที่ตัวเองทุศีลจะแสดงผลในอนาคต​ คือ​ ภพภูมิ​ต่อๆ​ ไป

ทุศีลมากๆเช่น​ฆ่าสัตว์มากๆ​ เราไม่มีสิทธิ์​เป็นมนุษ​ย์​ เพราะไม่ได้ไปสู่สุคติ​ เพราะ​ภูมิมนุษย์​เป็นสุคติ ถ้าไม่ไปสู่สุคติ​ ก็จะไปเจอแต่ทุคติ

สีเลนะ​ โภคะสัมปะทา​
อยากร่ำรวย​ในภพภูมิ​หน้า​ ต้องรักษาศีล​

ศีลต้องเป็นตัวนำในการที่จะส่งผลข้ามภพภูมิ​ เหมือนกับพ่วงแพ
ถ้าเราทำให้แพรั่ว​ ก็ไปไม่ถึงฝั่ง

ฉะนั้น​ กรรมที่กระทำ​ ส่งผลในภพภูมิ​หน้า​ คือ​ กรรมอะไร? คือการผิดศีล​
แล้ว​ ศีล​ มีอะไร​บ้าง?

ไม่ฆ่าสัตว์​ ไม่ลักทรัพย์​ ไม่ประพฤติ​ผิดในกาม​ ไม่พูดเท็จ​ ไม่เสพของมึนเมา

เมื่อใดที่เราทำอย่างหนึ่ง​อย่าง​ใดใน 5 อย่าง ถือว่าเป็นการทุศีล/ผิดศีล

และยังแยกอีกว่า​ ผิดศีลข้อไหน​ จะส่งผลไปกี่ภพกี่ชาติ​ แต่ท่านสอนไว้ว่า​ ผิดศีลข้อสุดท้าย​ ส่งผลให้เกิดทุกภพทุกชาติ​

ข้อสุดท้าย​ คืออะไร? เสพของมึนเมา มันทำให้ขาดสติ

ขาดสติ​ คือ​ โง่

พอโง่แล้ว​ ทำชั่วไหมล่ะ? มันก็ส่งผลให้ทุกภพทุก​ชาติ​เลย​ เราจะโง่ตลอดไปเลย​ เพราะเป็นคนเสพเครื่อง​ดองของมึนเมา

พอขาดสติ​ ก็ทำชั่ว/ทำกรรมฝ่ายอกุศล​ไปแล้ว​ เข้าใจมั้ย?

เรียนกรรม 12 ไปเรื่อยๆ​เถิด เดี๋ยว​บรรลุเอง

( อโหสิกรรม
กรรมที่ล้มเลิกการให้ผล หรือกรรมที่หยุดยั้งการให้ผล

เพราะอโหสิกรรม​นี่แหละ​ จึงมีคำสอนในบทโศลก ​ว่า​

"รู้จัก​​เผื่อ​แผ่​ อย่าเห็นแก่ตัว​ เสียสละ​ แบ่งปัน​ รู้จักให้​ แม้ให้ที่สุด​ คือ​ ให้อภัย อภัยทาน​ อภัยธรรม"

การให้อภัย​เป็น​การ​ให้ที่สุดยอด​ เพราะจะหยุดยั้งกรรมทั้งหลาย​ได้​

อนึ่ง กรณีของคำว่า​ อโหสิกรรม​ เป็นอโหสิกรรม​ของตัวเอง​ แต่ไม่ใช่อโหสิกรรม​ให้กับคนอื่น โดยที่ตัวเองรับกรรม

การให้อภัยคนอื่น​ ตัวเองจะไม่ต้องรับกรรมใดๆจากคนๆ​ นั้นทำกับเรา

แต่ถามว่า​ คนๆ​ นั้นต้องรับกรรมมั้ย? ก็ยังต้องรับอยู่

ฉะนั้น​ การอโหสิกรรม​ เป็นการหยุดยั้ง​กรรมที่จะเกิดกับตน​ แต่ไม่ใช่หยุดยั้งกรรมที่จะเกิดกับคนทำผิด​ เพราะคนทำผิดยังมีกรรมอยู่​

แล้วใครจะเป็นผู้ชี้ถูก​ชี้ผิดได้?

คนๆ​ นั้นต้องเป็น 'บัณฑิต​' จริงๆเท่านั้น​ จึงจะไม่ได้รับผลกรรมที่บัณฑิต​นั้นกระทำต่อผู้​ที่ควรจะรับกรรม​

กรรมตั้งแต่ข้อ 5-8 นี้ผลัดกันให้ผลต่างเวลาไป

กรรมข้อ 1-4 ให้ผลตามหน้าที่​ คือ​ พอหมด​หน้าที่​ กรรมนั้นก็หยุด​ แต่ในขณะที่ทำหน้าที่อยู่​ กรรมอื่นมาแทรกไม่ได้

แต่กรรมข้อ​ 5-8 ผลัดกันให้ผล​ คือ​ ไม่แน่​นอน​ ไม่ได้ให้ผลพร้อมๆกัน กรรมข้อ​ 5-8 จึงเป็นกรรมที่เหมือนกับถือไม้รอไว้แล้ว​พร้อมจะวิ่ง ... ในหนึ่งวัน​ อาจจะมีกรรมตั้งแต่​ 5-6-7-8 วิ่งเข้าวิ่งออก​ สลับสับเปลี่ยน​หมุนเวียนวุ่นวายไปหมด ... บัดเดี๋ยว​อยากทำร้ายมัน​ บัดเดี๋ยว​อโหสิกรรม​มัน

*****

(9) ครุกรรม
กรรมอันหนัก ซึ่งมีทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล เช่น พัฒนาตนจนได้เป็นพระอริยเจ้า หรือทำร้ายพระอรหันต์ เป็นต้น

ครุกรรม​ ในอดีต​ มี​ ๒​ ท่าน​ ยกให้เป็นต้นแบบ
ครุกรรมฝ่ายกุศล​ คือ​ พระองคุลีมาล
ครุกรรมฝ่ายอกุศล​ คือ​ พระเทวทัต

กรณีพระองคุลีมาล​ ถามว่า​ เป็นครุกรรมอย่างไร? ฆ่าคนตายเป็นพันคน​ เป็นกรรมหนักมั้ย?.. หนัก

แต่ถามว่า​ ทำไมท่านจึงไม่รับกรรมนั้นอย่างเต็มที่​ ... ไม่ใช่ไม่รับ​ แต่ไม่รับอย่างเต็มที่?

เพราะท่านมีครุกรรมอันเป็นยอดแห่งกรรมทั้งปวง​ คือ​ กุศลกรรม​ ทำให้จิตของตนพ้นจากเครื่องร้อยรัด​ทั้งปวง​ จึงเรียกว่า​ ครุกรรมฝ่ายกุศล

ฆ่าคนตายมาเป็นพัน​ หลับตาทีไร​ เห็นคนตายอยู่ตลอดเวลา​ จนไม่สามารถ​นั่งนิ่งอยู่ได้​ ต้องไปขอเฝ้าพระพุทธ​เจ้า

พระองค์​ทรงสอนวิธีกำหราบจิต​ เรียนรู้​ ศึกษา​มาแล้วมาพัฒนา​จิตจนกระทั่ง​เข้าสู่ครุกรรม​ คือ​ กรรมอันใหญ่​ยิ่ง​ จิตหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัด​จากการปรุงแต่งขันธ์​ทั้ง​ 5 ดับสูญหมด​ เข้าสู่ครุกรรมฝ่ายกุศล

ส่วนพระเทวทัต​เล่า​ ก็เข้าสู่ครุกรรม​ แต่เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล​ เพราะจิตเหิมเกริม​ อยากใหญ่​ อยากมีลาภสักการะ​ มีอำนาจวาสนา​ อวดดี​ อวดเด่น​ ตัวกู​ของกูยิ่งใหญ่​ สุดท้ายรับครุกรรมฝ่ายอกุศล​ คือ​ ธรณีต้องสูบลง

ฉะนั้น​ บุคคล​ 2 ท่านนี้​ จึงเป็นต้นแบบของครุกรรมฝ่ายกุศล​ และฝ่ายอกุศล

(10) อาจิณณกรรม
กรรมที่ทำซ้ำๆ อย่างเดียวกันเป็นเวลานานๆ จนมีผลเทียบชั้นครุกรรมทีเดียว

สมัยนี้ คนที่ปฏิบัติธรรมจริงจังหายาก​ ดุจงมเข็มในมหาสมุทร

คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ทำแต่เรื่อง​อะไรก็ไม่รู้​ ทำชีวิตให้ตกต่ำ​ หมกหมุ่น​อยู่กับความมอดไหม้​ ไร้สาระ​ ทำกันเป็นอาจิณ​

จนอดห่วงไม่ได้ว่า​ มนุษย์​ยุคนี้พัฒนา​ทางจิตยาก​ แค่ชีวิต​ประจำวัน​ก็ยากจะหลุดพ้น​ ถอนตัวเองออกจากอาจิณณกรรมทางโซเชียลมีเดียนี้ไม่ได้​

คือ​ เลือกอาจิณณกรรมในฝ่ายกุศลไม่ได้​ ก็ทำแต่อาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศล​อยู่ทางโซเชียลมีเดีย ทุกวี่ทุกวัน​ ยาวนาน​ ต่อเนื่อง​ ทุกเรื่อง​ทุกราว

คนที่เป็นโรค​เบาหวาน​ โรคไต​ โรคตับ​ ก็มาจากอาจิณณกรรม

เบาหวาน​ กินแต่ของหวาน​ๆ กลายเป็นครุโรค ... ไขมันอุดตัน​ เพราะกินแต่ของมันๆ​ จนเป็นอาจิณ​ กลายเป็นโรค​ เป็นครุกรรม

เธอเห็น​หลวงปู่มั้ย​

ฉันพยายาม​จะ​ทำชีวิต​ให้เป็นอาจิณ​กับ​ความเพียร

"วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ ... หาความเพียร​ สร้างความเพียร​ให้กับตัวเอง​ และทำ​ความเพียรให้ปรากฏ​อยู่ตลอด​ ทั้งวันทั้งคืน​ให้เกิดความเพียร​"

นี่เรียก​ว่า อาจิณณกรรม

บางคน​ วันทั้งวันเอาแต่ด่าๆ เปิดเฟซบุ๊ก​ อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ แล้วก็ ด่า ด่า ด่า ทำเป็นอาจิณ​

สุดท้าย​ ผลที่จะรับ คนอื่นรับแทนเรามั้ย?

มึงรับเอง​ มึงทำร้ายตัวเอง​ ทรมานตัวเอง​ ทำให้ตัวเองต้องเสื่อมทราม​ ตกต่ำ ด้อยค่า

มนุษย์​สมัยนี้​คิดอะไร​ ฉันเริ่มไม่เข้าใจ​ ... ไม่เข้าใจ​ชีวิต​มนุษย์​สมัยนี้​ว่าเกิดมาได้ยังไง? งง

เพราะฉะนั้น​ อาจิณ​ณกรรม​ ทุกคนทำมั้ย? (ทำ)​ แล้วจะเลิกได้มั้ย?

ถ้าทำเป็นอาชีพน่ะพอเข้าใจ

อาจิณ​ณกรรมฝ่ายอาชีพ​ เขามีนะ​ เช่น​ ช่างทอง​

ในสมัยก่อน​ครั้งพุทธ​กาล​ มีอาจิณณกรรมที่ส่งผล

ลูกชายนายช่างทองมาบวชกับพระสารี​บุตร​ ซึ่งให้กรรมฐานกี่ข้อๆ​ ลูกชายนายช่างทองเรียนไม่ได้​ ไม่รู้​

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู​ หมายถึง ผู้รู้อดีต​ อนาคต ปัจจุบัน​ ...

ทรงรู้ว่า​ ลูกชายนายช่างทอง ทำทองเป็นอาจิณ​มา​ 500 ชาติ​ จะชอบของสวยๆ​ งามๆ​ อารมณ์​สุนทรี​ ละเอียดอ่อน​ ละเมียด​ละไม​ จะให้กรรมฐานหยาบๆ​ ทำไม่ได้​ เพราะไม่คุ้นชินกับอาจิณณกรรมที่ตนสะสมมา 500 ชาติ

พระองค์​ก็ทรงเนรมิต​ดอกบัวทองคำให้ลูกชายนายช่างทอง​พิจารณา​ จนทำให้ดอกบัวทองคำกลายเป็นดอกบัวเหี่ยว​ ค่อยหล่นทีละกลีบๆ​ จนแตกสลาย

อาจิณณกรรมที่เคยจับจ้องแต่สีทองคำ​ เห็นสีทองคำหมองหม่น​ไปเรื่อยๆ​ จิตก็เปลี่ยน​ไปตามสีที่หมองหม่น​ เพราะอาจิณณกรรมนั้นเป็นนิมิต/เครื่อง​หมายของจิตนั้นมา​ 500 ชาติแล้ว​ พอเปลี่ยน​ไปก็รู้สึกได้ว่า​มันเปลี่ยน

โอ้หนอ​ ขนาดทองคำยังเปลี่ยนสีได้​ เราไม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลง​ขนาดนี้​ ตามดูต่อไปเรื่อยๆ​ จนมันหลุดร่วง​ ย่อยสลายเป็นผุยผง​

จิตหลุดพ้นจากขันธ์​ทั้งปวง​ การยึดติดในขันธ์​ทั้งปวงหายไป​

นั่นคือ​ อาจิณณกรรมส่งผล​ เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอาชีพ

ฉะนั้น​ คนทุกคนมีอาจิณณกรรมมั้ย?

พระอรหันต์​ทุกรูปที่มีมาแล้วในอดีต​ และจะมีต่อไปในปัจจุ​บัน​ ก็มีอาจิณ​ณกรรม​ และเป็นอาจิณณกรรมในฝ่ายกุศล​ จึงได้เป็นอรหันต์​ได้​ ไม่ใช่อาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศล

พระโมคคัลลานะก็มีอาจิณณกรรม​ ถามว่า​ เพราะอะไร?

ในอดีต​ ตัวเองชอบสะสม​ เรียนรู้​ ศึกษา​สรรพวิทยา​ วิชาการ​ ฤทธิ์​เดช​ เวทมนตร์​ มงคลต่างๆ​ จนสั่งสมอุปนิสัย​กลายเป็น​คนรักที่จะแสดงฤทธิ์​ แสดงเดช​ อย่างนี้เป็น​ต้น

ฉันมาเทียบกับมนุษ​ย์ยุคปัจจุบัน​ ฉันก็ไม่รู้อาจิณ​ณกรรมแบบนี้​ ชาติหน้ามันจะออกมาเป็นอะไร?

ไม่ต้องไปดูชาติสุดท้าย​ เอาชาติหน้า​แล้ว​กัน​ ก็มองไม่ออก​ เดี๋ยว​มันก็เป็นเดรัจฉาน​เป็นเทวดา​ เป็นมนุษ​ย์​ เดี๋ยว​ก็เป็นยักษ์เป็นมาร เป็นเปรต​ เป็นอสุรกาย​

แต่ที่เป็นมากที่สุดคือ​ สัตว์​เดรัจฉาน​กับสัตว์​นรก​ ... แล้วจะไปแสวงหาความเจริญ​ได้อย่างไร​ เพราะอาจิณ​ณกรรมมันทำแบบนั้น

ฉะนั้น​ อย่าไปดูแคลนอาจิณ​ณกรรมนะ​ เป็นสิ่งสำคัญ​ที่สั่งสม​นิสัย​ เขาเรียกว่า​ "อนุสัย" มีผลจนถึงอนุสัยเชียวนะ

อนุสัย​ คือ​ สิ่งที่ฝังอยู่ในกมลสันดาน​ จะลบ​ล้างมันได้ต่อเมื่อหลุดพ้นเท่านั้นแหละ

หลุดพ้น​ คือ​ เป็นพระอรหันต์​เท่านั้น

พระโสดาบัน​ สกิทาคามี อนาคามี ยังล้างอนุสัยไม่ได้​ ต้องเป็นอรหันต์​เท่านั้น

ฉะนั้น​ สิ่งที่จะสามารถ​ลบล้างอาจิณณกรรมได้​ เวลากินอาหาร​ บางคนสารพัดชอบ​ แต่บางคนชอบของมันอย่างนั้นๆ ต้องหวานนะ​ ต้องเผ็ดนะ​

นั่นคือ​ การสร้าง​อาจิณณกรรม
ฉะนั้น​ ต้องกินให้หลากหลาย​

ชีวิตต้องมีหลากหลาย​ ทำอย่างหนึ่ง​อย่าง​ใดที่เป็นฝ่ายอกุศล​ไม่ได้​ ต้องเทียบด้วยว่า​ อาจิณณกรรมที่เราทำเป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล​ ต้องวิเคราะห์​ให้ได้

ถ้าเป็นฝ่ายกุศล​ ทำไปเถอะ​ ทำไปเป็นประจำ

พอมีคำว่า​ อาจิณณกรรม​ ตัวชนกกรรม​ อุปัตถัมภกกรรม​ อุปปีฬกกรรม​ อุปฆาตกรรม​ ก็ได้ทำหน้าที่​ แต่เป็นการทำหน้าที่ในฝ่ายส่วนกุศล​ ทุกกระบวนการ​จะทำหน้าที่เพราะอาจิณณกรรมเราทำนำ​ เป็นกรรมที่นำหน้ากรรมอื่นๆทั้งปวงได้

(11) อาสันนกรรม
กรรมที่เฉียดฉิว หรือ กรรมจวนเจียน หรือที่เรียกว่า เกือบไปแล้ว เช่น พฤติกรรมที่เสี่ยงตาย หรือ ลุ้นเลขหวยแล้วเฉียดฉิวใกล้ถูก แต่สุดท้ายมันก็ไกลเกินฝัน

วิธีหยุดอาสันนกรรมได้อย่างดีที่สุด​ คือ​ สติ​ และปัญญา​

สติและปัญญา​เท่านั้นที่จะหยุดอาสันนกรรมได้

"เผื่อว่า​​ อาจจะ​ ใช่มั้ง​ จวนเจียน​" จะไม่เกิดขึ้น มันจะตรงเป๊ะๆ​ ตลอดเวลา

ฉะนั้น​จงเจริญ​สติ​ รุ่งเรือง​ปัญญา​ให้อย่างต่อเนื่อง​ ยาวนานเถิด

พระพุทธ​เจ้า​ทรงสอน​ วิธีหยุดอาสันนกรรม​ คือ​ สติ​ ปัญญา​ และความไม่มัวเมา​ ประมาท

พวกนี้เป็นกรรมที่เขาเรียก​ว่า ลมเพลมพัด​ มาตามลม​ เราไปทำไว้ตั้งแต่ชาติไหน​ ไม่รู้ล่ะ​ ครั้งไหน​ ด้วยวิธีอะไร เราไม่รู้​ล่ะ

เพราะคำว่า​ ไม่รู้ล่ะ​ นี่แหละ​ก็เลยเฉียดฉิว​ จวนเจียน​ เผื่อว่า​ อาจจะ​ ใช่มั้ง​ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่​ และก็ไม่รู้ล่ะว่า​ ทำไมเราถึงตาย

และพวกตายด้วยอาสันนกรรมนี่นะ​ ที่ไปคือ​ สัมภเวสี​ และอสุรกาย ... เปรตนี่ไม่ค่อยได้เจอ

ส่วนใหญ่​จะเป็นสัมภเวสี​ อสุรกาย​ ผู้หาเรือนอยู่​ หาที่อยู่ไม่ได้​ และผู้ที่หวาดกลัว​และไม่รู้ว่า​ตัวเองตาย​ เพราะเหตุผลว่า​ เกิดมาจากเหตุแห่งความไม่รู้ล่ะ

ฉะนั้น​วิธีแก้​ คือ​ ต้องมีสติ​ มีปัญ​ญา​ และไม่ประมาท​ จึงจะหยุดยั้งอาสันนกรรมได้​

(12) กตัตตากรรม
กรรมที่กระทำโดยมิได้ตั้งใจ หรือทำด้วยเจตนาอันอ่อน กตัตตากรรมนี้จะให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมใดให้ผลแล้วจึงจะได้รับผลของกรรมนี้

ถ้าจำเป็นจะต้องได้รับผล​ นั่นหมายถึงว่า​ ไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้ว​ กตัตตากรรม​เป็นกรรมอันเบามาก​ เหมือนกับปุยนุ่น​ที่ลอยมาในอากาศ​ มันมาโดยที่ไม่มีเป้าหมาย​ มันฟุ้งไปในอากาศ

ถ้าเราไม่มีกรรมอื่นปกครอง​อยู่​ กรรมอื่นๆ​ไม่มี​ เราก็ต้องรับผลอันนั้น

แต่ถ้ายังมีกรรมอื่น​ ไม่ว่าเป็นชนกกรรม​ อุปัตถัมภกกรรม​ อุปปีฬกกรรม​ อุปฆาตกรรม​ หรือ​ ปัจจุบัน​กรรม​ อดีตกรรม​ อนาคตกรรม​ กำลังให้ผลอยู่ ... กตัตตากรรมจะไม่เข้าใกล้​

ต่อเมื่อเราว่างจากกรรมอื่นทั้งหมดแล้ว​ กตัตตากรรมจะมาทันที​ แต่จะให้ผลอ่อนๆ​ เช่น​ ทำให้เราเปลี้ย​ ป่วย​ ซึม​ ไม่สบาย​ ชีวิไม่ผ่อนคลาย​ บางทีบางครั้งมีการเปลี่ยน​แปลง​ ก็ไม่มีโทษ​อันหนัก​ เป็นไปโดยค่อยเป็นค่อยไป​ ไปเรื่อยๆ

บางคนให้ผลในบั้นปลายชีวิต​ คือ​ ป่วยตาย​ แห้งตายไปเอง​ อย่างนี้เป็น​ต้น​ ไม่ทำให้รู้​สึกว่า​ กรรมนี้กำลังจะให้ผล.. กรรมนี้กำ​ลังทรมาน​ แต่ค่อยเป็นค่อยไป​ ท่านกล่าวไว้​ เหมือนกับไฟสุมขอน​ มันไม่ลุกโชน​ แต่ไฟพวกนี้กลัวฝน​

ฉะนั้น​ ขณะที่มีฝน​ กรรมนี้จะไม่เข้าใกล้​ นั่นหมายถึงว่า​ ถ้ามีกรรมอื่นเข้ามาอยู่​ ต้องชดใช้​กรรมอื่นอยู่​ กรรมนี้รอผลไปก่อน​ แต่ไม่ได้หาย

เพราะฉะนั้น​ กตัตตากรรม​ เป็นกรรมสุด​ท้ายของมนุษย์และสัตว์​ทั้งปวงที่จะต้องชดใช้

พอชดใช้แล้ว​ ถามว่าจบมั้ย?
ต้องดูว่า​ เราไปทำ​กรรมอื่นเพิ่มมั้ย

นั่นหมายถึงว่า​ ที่บรรทุก​รถสิบล้อมาทั้งหมด​ มึงใช้หนี้เขาหมดแล้ว​ เหลืออยู่ฝุ่นละออง​บนรถสิบล้อ​ ต้องทำความสะอาด​ นั่นแหละเขาเรียก​ กตัตตากรรม​ ปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย

แต่ถ้าเอาอะไรมายัดใส่ไว้อีก​ อย่างนี้ต้องมาบริหารจัดการกันอีก

******

เราจะหยุดกรรมทั้ง 12 ได้อย่างไร?

คำตอบคือ เราต้องฉลาด​ มีสติ​ มีปัญญา​ และไม่ประมาท

เพราะคนฉลาด​จะทำกุศลกรรม
ถ้าคนโง่​จะหลงไปทำอกุศล​กรรม

กรรมตั้งแต่ข้อ 9 ถึงข้อ 12 จะให้ผลไปตามความหนัก ความรุนแรงที่ได้กระทำ

เมื่อศึกษาในกรรม 12 จนแตกฉานแล้ว เราจะเห็นเองว่า
กระบวนการแห่งกรรมหาได้ทำให้เราไม่ขวนขวาย หรือปล่อยชีวิตให้มันเป็นไปตามยถากรรม

แล้วถ้าเราจะขวน​ขวาย​ ควรขวนขวาย​แบบไหน?

เราควรเรียนรู้​ ศึกษา​กรรมแต่​ละชนิดให้แจ่มชัด​ และเลือกสรร​ที่จะทำแต่กรรมในฝ่ายกุศล​อย่างมีสติปัญญา​ ไม่มัวเมา​ ประมาท

นี่แหละจึงจะถือว่า​ เราได้ขวนขวาย​แล้วต่อการใช้ชีวิตให้สอดคล้อง​กับกระบวน​การ​ให้ผลแห่งกรรม​ ซึ่งเราเลือก​ที่จะทำแต่กุศลกรรม

คำว่า​ ขวนขวาย​ หมายถึง ต้องขวนขวาย​ที่จะทำแต่ฝ่ายกุศลกรรม​เท่านั้น ไม่ใช่ทำแต่อกุศล​กรรม​ หรือปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม

เราควรจดเอาไว้/บันทึก​เอาไว้ด้วย​ เพราะจะเป็นข้อมูลในการศึกษา​ชีวิตในปัจจุบันของเรา​

เพราะชีวิตปัจจุบัน​ทำกรรมมั้ย? ทำกันทุกคนแหละ​ หลวงปู่ก็ทำ​ แต่จะเป็นกรรมดี/กรรมชั่ว​

อยู่ที่โง่กับฉลาด
อยู่ที่เรามีสติปัญญา​ ประมาทมั้ย​

ถ้ามีสติปัญญา​ แต่ยังมัวเมา​ ประมาท​ ก็อาจจะพลาดไปทำกรรมชั่วได้อีกเหมือนกัน

ย้ำนะ​ แม้มีสติปัญญา​ แต่มัวเมา​ ประมาท​ ก็อาจจะพลาดไปทำชั่วได้เหมือนกัน

ถ้ามีสติปัญญา​ และไม่มัวเมา​ ประมาท​ ก็จะทำแต่กุศลกรรม

ฉะนั้น​ เราหนีกรรมไม่พ้น

อ่านธรรมะบ่อยๆ​ทุกวัน อ่านแล้วตีความ​ ศึกษา​ วิเคราะห์​

โดยเฉพาะ​อาจิณ​ณกรรม​ ชัดเจน​ ชัดแจ้ง​ เพราะเป็นกรรมในปัจจุบันที่เราจับต้อง​ หยิบฉวยได้

ชีวิตประจำวันทุกวัน เอา​ "กุศล" เป็นตัวตั้ง​ มีอาจิณ​ณกรรมอยู่ตรงกลาง

นี่คือการบริหารจัดการชีวิต โดยเลือกสรรกระทำกรรมที่เป็นคุณประโยชน์ที่ดีที่สุด ก็จักได้รับผลในทางดีงามเอง

ชีวิตเราต้องเป็​นไปตามอำนาจของกรรม​ ไม่ใช่ตามยถากรรม

พอเป็นไปตามอำนาจของกรรม​ เราก็เอากรรมนั้นมาบริหาร​ มาจัดการ​ จัดระเบียบ​ จัดระบบให้เข้ากับ​กฏแห่งกรรม

ถ้า(กู)​โง่​ ก็จะไปทำกรรมอกุศล
ถ้า(กู)​ฉลาด​ กูก็จะไปทำกรรมกุศล
นี่คือ​ กระบวนการ​บริหารการจัดการ

การรู้จักบริหารจัดการกรรมอย่างดียิ่ง​ คือคุณ​สมบัติ​ของความเป็นมนุษย์​สมบูรณ์​แบบ​

แม้ไม่บรรลุธรรมก็ไม่ตกนรก
แม้ยังไม่ตายก็ไม่เผชิญ​ต่อความทุกข์​เดือดร้อน

ทุกข์​มี​ 3 ชนิด คือ ทุกข์​ประจำ​ ทุกข์​จร ทุกข์​อาจิณ

ทุกข์​จร​ ไม่เกิด
ทุกข์​ประจำ​ มีแน่นอน​

เพราะร่างกายจะต้องทุพพลภาพ​ เปลี่ยน​แปลง​ มันปวด​ เมื่อย​ เจ็บ​ เป็นธรรมชาติ​ กรรมอะไรก็หยุดมันไม่ได้​ เพราะการได้มาซึ่งอัตภาพร่างกายนี้ก็เป็นชนกกรรมอย่างหนึ่ง

ที่ยังมีชีวิตอยู่นี่​ คือผลแห่งชนกกรรมอย่างหนึ่ง

อุปัตถัมภกกรรม​ ที่ทำทุกวัน​ ย่อมอุปถัมภ์​ให้ร่างกายเราให้เป็นแบบนี้ ... แก่อย่างแข็งแรง หรือแก่อย่างขี้โรค

แล้วถ้ายิ่งไปเร่งเร้า​ อุปปีฬกกรรมให้แสดงผลเร็วขึ้น​ คือ​ การเปลี่ยน​แปลง​จากหน้ามือเป็นหลังมือ​ หรือไม่ก็ค่อยๆ​ เป็นไปทีละน้อยๆ​ โดยเราไม่รู้ตัว

แล้วอุปฆาตกรรมก็มาตัดรอนให้เราเสื่อมลงอย่างชนิดหัวทิ่มหัวตำ​ หรือตายคาที่​ หรือตัดรอนให้เรารุ่งเรือง​ เจริญ​แบบชนิดอยู่ดีๆก็ถูกหวยโดยไม่ต้องซื้อหวย​ ก็จัดเป็นอุปฆาต​กรรม​เหมือนกัน​

ขึ้นอยู่กับ​ว่า​ ชนกกรรม​ อุปัต​ถัมภกกรรม​ อุปปีฬกกรรม​เราทำมาอย่างไร และขึ้นอยู่กับ​กระบวน​การกรรม​ 12

แม้ที่สุดอาจิณ​ณกรรม​ กรรมที่ทำอยู่ทุกวัน​ มันก็ย้อนไปเป็นวงกลม

กระบวนการ​กรรม​ 12 จึงเป็นวัฏจักร​ ไม่ใช่เส้นตรง​ เป็นวงกลม​ งูกินหาง​

1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11-12 ...1-2-3 วนกันอยู่อย่างนี้

รหัสนัยแห่งกรรม​ 12 นี้ ถ้าศึกษา​ให้ดี​ เราจะต้องดัดทำให้วงกลมนี้ กลายเป็น​ "เส้นตรง"ได้​ โดยอาศัยสติ​ ปัญญา​ และความไม่มัวเมา​ ประมาท​ของเรา

แต่หากปล่อยชีวิตให้มันเป็นไปตามยถากรรม ตามความเชื่อเรื่องกรรมของลัทธินอกพุทธศาสนา มันจะเหมือนกับมนุษย์หรือสัตว์ที่ตกลงน้ำแล้วไม่ขวนขวายแหวกว่ายเข้าฝั่ง รอให้น้ำพัดพาเข้าฝั่งเอง สุดท้ายก็หมดแรงจมน้ำตายในที่สุด

ปัจจุบัน​นี้​ มนุษย์สมัยนี้เหมือนอย่างนี้ มนุษย์​ยุคปัจจุบัน​เป็นแบบนี้​ คือเชื่อกรรมแบบลัทธิ​นอกศาสนา​พุทธ

พระพุทธ​เจ้า​จึงตรัส​ว่า​ ธรรมของพระองค์​เป็นเครื่องทวนกระแส​ แต่เราก็ไม่เข้าใจคำว่า​ "ทวนกระแส" คือ​ อะไร?​

คือ​ ต้องขวนขวาย

แล้วพระองค์​ทรงสอนต่อว่า​ "วิริเยน​ ทุกขมัจเจติ​ บุคคลล่วงทุกข์​ได้เพราะความเพียร"

... คนจำนวนมากก็ไม่ใส่ใจอีก

แล้ว​ ทุกข์​ เกิดจากอะไร?​ เกิดจากกรรม​ 12

เราก็ไม่ใส่ใจอีก​ ไม่คิดจะบริหาร​จัดการ​ ไม่คิดจะพัฒนา​ แก้ไข​ ฝืน.. ปล่อยไป​ให้มันพาเราหมุนวนอยู่อย่างนี้​ เป็น​ร้อยๆ​รอบ​ พันๆ​รอบแล้ว​ เราปล่อยชีวิตเราไปเป็นแบบนี้

ความจริงแค่เข้าใจ​ กรรม​ 12 อย่างแจ่มแจ้ง​ ชัดเจน​ แล้วเราจัดวางกรรมทั้ง​12 อย่างเป็นผู้รู้​ ผู้เข้าใจ​ ผู้ขวนขวาย​ พัฒนา​แล้ว​ได้

เราก็พ้นแล้วซึ่งนรกภูมิ​

ทุคติภพไม่มากล้ำกรายเราแล้ว​ แม้นในชาตินี้และชาติ​ต่อๆ​ ไป

นี่คือ รางวัล​ของ​ผู้บริหาร​จัดการ​กรรม​ 12

ถามว่า​ ชีวิตเรา​ในปัจจุบัน​เป็นผู้เชื่อลัทธิ​พุทธศาสนา​​ หรือว่า​นอกลัทธิ​พุทธศาสนา​ในเรื่องกรรม?

บอกตรง​ ๆว่า​ คนปัจจุบัน​นี้​ แม้แต่นักบวชก็เชื่อ​กรรมนอกลัทธิ​พุทธศาสนา​ ไม่อย่างนั้นจะเกิด​กรณี 2 พส.หรือ​ ใช่มั้ย?

เพราะไม่ได้เชื่อกรรมแบบชนิดที่เข้าใจกรรม​ โดยจะเลือกทำแต่เฉพาะกุศลกรรม​ และละเว้น​ไม่กระทำต่ออกุศล​กรรม​

แต่ตราบใดที่เว้นอกุศลกรรม​ไม่ได้​ เราคือ​ผู้ที่เชื่อกรรมตามลัทธิ​นอก​​ศาสนา​พุทธ

ขอย้ำว่า​

เมื่อใดที่เรายังหยุดยั้ง​กรรมในฝ่ายอกุศลกรรม​ไม่ได้​ เมื่อนั้นเราคือบุคคลที่เชื่อกรรมตามคำสอนลัทธิ​นอกศาสนาพุทธ ... เพราะไม่ขวนขวาย​ ไม่พัฒนา​ ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม​ เหมือนคนตกน้ำ​ ไม่ขวนขวาย​ที่จะว่ายทวนกระแสหาฝั่งเข้า

ทุกวันนี้​ เราไม่ต่างอะไรกับมนุษย์และสัตว์​ที่อยู่ในทะเลแห่งทุกข์​ เราก็ไปของมันเรื่อย​

ควรจะต้องเตือนให้รู้​ ให้เข้าใจ​ ให้รู้จัก​ เตือนให้ขวนขวาย​

ควรจะ​แจ้ง​ แถลง​ บอก​ ชี้แจง​

ควรจะทำให้​เกิด​การเปลี่ยนแปลง​ ให้สัตว์​ทั้งหลายได้เข้าใจว่า​ ตัวเองกำลังว่ายอยู่ในวังวนแห่งทะเลในความทุกข์​ระทม​ ในการให้ผลกดดันแห่งกรรมทั้ง​ 12

******

จงรักษาจิตไม่ให้กระทำกรรม

การเชื่อกรรมในทางผิดๆ มันจะทำให้ผู้เชื่อกลายเป็นคนไร้สาระ ไร้ประโยชน์ ไร้เหตุ ไร้ผล เป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี หาประโยชน์มิได้

ทุกเรื่องที่คิดเป็นกรรม
ทุกคำที่พูดเป็นกรรม
ทุกสิ่งที่ทำ ที่เขียน ที่โพสต์ไป ... ก็เป็นกรรมทั้งนั้น

หนีไม่พ้น ... เรื่องที่เราทำ...คำที่เราพูด..สูตรที่เราคิด​ ย่อมจัดอยู่ในกรรม​ 12

กระจายไปอยู่ใน​ 12 ห้อง ที่เรียกว่า "คลังเก็บกรรม​ 12"

ถึงเวลาก็จะจัดไป​ ผลงานของกรรมออกมาให้เราแต่ละคนรับเอาผลไป

เพราะ​ฉะนั้น​ ห้องกรรมทั้ง​ 12 ของแต่​ละคน

ถ้าจัดเป็น​ฝ่ายอกุศล​ วิหารหลังนี้ใส่กรรมทั้ง​ 12 ยังเล็กไป​ ใส่ไม่หมด​ ล้นออกประตู​ หน้าต่าง

แต่ห้องกรรมฝ่ายกุศล​ ขวดใบนี้ยังไม่เต็ม ยังพร่องอยู่เลย

แล้วหลับตาคิดดู​ เราจะหาความสุขมาจากไหนในเมื่อกรรมดีมีแค่นี้​ แต่กรรมชั่วทั้งห้อง

จะเอาความสุข​มาจากไหน​?

จะวิงวอน​เทพเจ้าองค์​ใดให้บันดาล​?

ต้นทุนมึงมาแค่นี้... เห็นมั้ย?

เพราะโทษแห่งความไม่รู้​ ไม่เข้าใจ​ โง่​ มัว​เมา​ ประมาท​ แล้วไม่ขวนขวาย​ ไม่เข้าใจ​วิถีแห่งกรรม

กูน่ะ​ อยากกลับไปอยู่บ้านกูจริงจริ๊ง​ บ้านกูที่มีแต่แสงสว่าง​เรืองรอง​ มองใครก็มีใบหน้าสดใส​ มีกุศลกรรม​อำไพ มีจิตใจโปร่ง​ เบา​ ใส​ สบาย

ลงมาอยู่บ้านหลังนี้แล้ว​ โอ๊ย​ ทึบ​ มืดตึ๊บ​ มองที่ไหนก็มึนตึ๊บ​ ไม่เห็นแสง​ อับเฉา​ ต๊าย​ ตายๆๆ ...

******

เมื่อกี้เราพูดแต่เรื่องกุศลกรรม​กับอกุศล​กรรม​ แต่มาปิดท้ายตรงคำว่า​ เฉยๆ

ข้อ​นี้น่าจะวิสัชนาให้แจ่มชัด

กรรม​ "เฉยๆ" มี​ ๒​ อย่าง

เฉยๆ​ เพราะสันหลัง​ยาว

เฉย​ๆ เพราะ​รู้ชัดตามความเป็นจริง​ แล้วไม่สร้างเวรกรรมต่อ​ ไม่สืบต่อกรรมนั้นๆ​ และไม่ทำกรรมนั้นๆ​ จึงเรียกว่า​ เฉยๆ

กรรมชนิดนี้​ เรียกว่า​ 'อัพยากตกรรม​' คือ​ กรรมที่วางเฉยด้วยสาเหตุแห่งการรู้ชัดตามความเป็นจริง

แต่ถ้า เฉย​ เพราะสันหลัง​ยาว​ ไม่ขวนขวาย​ โง่เขลา​ รู้ไม่เท่าทัน​
ถ้าเฉยแบบนี้​เป็นคุณ​หรือเป็น​โทษ? (เป็นโทษ)

เฉย​ เพราะสันหลังยาว​ แบบรู้ไม่เท่าทัน​ โง่เขลา​ มีมากกว่าเฉยเพราะรู้เท่าทัน​ตามความเป็นจริง​มั้ย? (มากกว่า)

ฉะนั้น​ ในกรรมทั้ง​ ๓​ บริบท​ คือ​ กุศล​ อกุศล​ และเฉยๆ​

ถ้าสามารถ​ เฉย เพราะ​รู้ชัดตามความเป็นจริง​ได้​ เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราจับวงล้อแห่งกรรมมายืดออก​ และเป็นเส้นตรง​ เราก็ไปอยู่ปลายข้างใดข้างหนึ่ง

ถ้าใช้สติ​ ปัญญา​ และไม่มัวเมาประมาท​ ก็เฉยแบบชนิดรู้ชัดตามความเป็นจริง​ ก็จะยืดวงล้อกลมๆ​ แห่งกรรม​ 12 ออกไปสองฝั่ง​ แล้วเราไปอยู่ปลายข้างใดข้างหนึ่ง

โดยเฉพาะ​ มโนกรรม​ ชั่วขณะ​จิตหนึ่ง​ก็เป็นกรรมแล้ว​

พระพุทธ​เจ้าจึงตรัสว่า​ ถ้าไม่อยากทำกรรม​ จง"รักษา​จิต" ... ถ้าไม่อยากให้จิตเป็นมโนกรรม​ จง"รักษา​จิต"

"รักษา​จิต" จึงไม่เป็นกุศลกรรม​ และไม่เป็นอกุศลกรรม​ แต่เป็นกระบวนการ​ทำงาน​ของ​สติ​ ปัญญา​ สมาธิ​ ยังไม่ได้ลงมือทำกรรม

เป็นกระบวนการ​บริหารจัดการของคำว่า​ คุณ​ธรรม​แห่งสติ​ ปัญญา​ สมาธิ​ และคุณ​ธรรม​แห่งความไม่มัวเมาประมาท​

คือกำลังบริหารจัดการจิตไม่ให้ไปฝืนกระทำกรรมในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง​

หลวงปู่พุทธะอิสระ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=4937381012965667&set=a.380997495270731

เนื้อหาโดย: มารคัส
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
มารคัส's profile


โพสท์โดย: มารคัส
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
จำได้ไหม? "พุฒ เดชอุดม" จากยูทูบเบอร์เสียงเพี้ยน สู่สาวสวยสุดlซ็กซี่
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
Kawaguchi Ayaka นักแสดง A.V วัย 25 ปี จะ "แต่งงาน" ในเดือนธันวาคมนี้ที่ฮ่องกงพร้อมลุย! ทีมชาติไทยประกาศ 26 แข้งลุยศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ความรัก, ประสบการณ์ชีวิต
ดูดวง ความรัก7 เคล็ดลับเป็นแม่สามีสุดคูล ใครอยู่ด้วยก็หลงรัก!ลูกชายสงสัย ทำไมพ่อไม่ส่งสติ๊กเกอร์ “สวัสดีตอนเช้า” ให้ 3 วันแล้ว พบนอนเสียชีวิตอยู่ในบ้าน5 เคล็ดลับสร้างความรักให้หวานชื่นและยืนยาว
ตั้งกระทู้ใหม่