Equal Partnership สูตรลับเพื่อความอยู่รอด
เพื่อความอยู่รอด หรือเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ หลายองค์กรเริ่มใช้กลยุทธ์ “ควบรวมกิจการ” Mergers and Acquisitions เรียกสั้น ๆ ว่า M&A หรือ ความร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน (Equal Partnership)
อย่างวงการแบงค์ก็มีธนาคารทหารไทย กับธนาคารธนชาต รวมกันภายใต้ชื่อใหม่ “ธนาคารทหารไทยธนชาต” หรือ ttb ที่มี t ด้วยกันสองตัวนั้น t ตัวแรกมาจาก TMB (ทีเอ็มบี) และอีกตัวมาจาก Thanachart (ธนชาต) ส่วน b มาจากคำว่า Bank (ธนาคาร) ตัวอักษรทั้ง 3 ตัว เชื่อมต่อกัน เพื่อมุ่งไปข้างหน้า เหมือนกับการที่ทีเอ็มบีและธนชาตเชื่อมต่อสององค์กร รวมพนักงานให้เป็นหนึ่งเดียว และพร้อมเชื่อมต่อประสบการณ์ทางการเงินที่ดีที่สุดไปยังลูกค้า เพื่อเติบโตและก้าวไปข้างหน้า
อีกหนึ่งบิ๊กดีล ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เมื่อเจ้าสัวเจริญ สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการซื้อ “สตาร์บัคส์” ดีลใหญ่ครั้งนี้ ไทยเบฟฯ ได้ลงทุนผ่าน F&N Retail Connection บริษัทในเครือ และจับมือกับ Maxim’s Caterers จากฮ่องกง ผู้ถือสิทธิ์บริหารร้านสตาร์บัคส์กว่า 400 สาขาในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า กัมพูชา และเวียดนาม โดยได้ตั้งบริษัทร่วมทุนในชื่อว่า Coffee Concepts Thailand ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลการทำธุรกิจการบริหารและขยายสาขาร้านสตาร์บัคส์ในประเทศไทย แต่เพียงผู้เดียว เรียกว่าสร้างความฮือฮาให้กับแวดวงธุรกิจ และทำให้ธุรกิจร้านกาแฟ ที่ว่ากันว่ามีมูลค่าตลาดรวมเฉียด ๆ 20,000 ล้านบาท คึกคักขึ้นไม่น้อย
มาต่อกันที่วงการโทรคมนาคมกันบ้าง จากมหากาพย์การควบรวมของ TOT กับ CAT กลายมาเป็น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ซึ่งยังคงมีฐานะเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด
เบอร์ 1 อย่าง AIS กันบ้าง หลัง GULF ธุรกิจพลังงานในมือของมหาเศรษฐีอันดับ 5 ของไทยอย่าง ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ประกาศเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ INTUCH ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2564 ทำให้ GULF ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 แห่ง INTUCH เรียบร้อยแล้ว ด้วยสัดส่วนหุ้น 42.25% มากกว่าผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดิมอย่าง Singtel ที่ถือครองหุ้นอยู่ในสัดส่วน 21%
สดๆ ร้อนๆ ก็ต้องเป้นเรื่องที่ True กับ Dtac เซ็น MOU สร้างความร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน (Equal Partnership) ทั้งในระดับสัดส่วนการบริหารและผู้ถือหุ้น โดยบริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นจากการควบรวมจะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่อิสระ และรูปแบบการดำเนินธุรกิจจะใช้จุดแข็งของทั้ง True กับ Dtac ซึ่งจะมีทิศทางเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น พร้อมกับแรงสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งจะมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ยุติธรรมและเท่าเทียม
เป็นการปรับโครงสร้างสู่การเป็น Tech Company เพื่อสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่จะก้าวเป็นฮับของเทคโนโลยีในระดับภูมิภาค โดยโทรคมนาคม หรือ Telecom จะยังคงเป็นธุรกิจหนึ่งของโครงสร้าง และจะต้องพัฒนาธุรกิจเพิ่มเติมในส่วนที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงปัญญาประดิษฐ์ ระบบคลาวด์เทคโนโลยี ไอโอที อุปกรณ์อัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ ดิจิทัลมีเดียโซลูชันของไทย
เรื่องนี้ทำให้หลายฝ่ายเกิดข้อกังวลว่าดีลนี้จะทำให้มีอำนาจเหนือตลาดหรือไม่ ซึ่งหากจะดูว่าใครเป็นรายใหญ่ในตลาดจริงๆ แล้ว มันต้องดูที่ revenue share หรือ value share เป็นหลัก ไม่ใช่ที่ subscribers อย่างเดียว
True = 26.9%
Dtac = 18.4%
รวม 45.3%
AIS = 41.4%
NT = 13.3%
เมื่อเราดูตัวเลขของ True กับ Dtac แล้วก็มีความใกล้เคียงกับ AIS ที่เป็นเจ้าตลาดที่ครองมาร์เก็ตแชร์มายาวนาน งานนี้จึงถือว่าขยับขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่สูสีสมน้ำสมเนื้อกันมากขึ้น
ปัจจุบันอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต้องการเงินลงทุนสูง การร่วมมือกันย่อมทำให้มีเงินลงทุนมากขึ้น และขยายโครงข่ายได้ดีกว่าเดิม ทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคด้วยบริการดีขึ้น
อย่าง True เอง มีแผนลงทุนโครงข่าย 5G พ.ศ.2563-2565 กว่า 40,000-60,000 ล้านบาท ส่วน Dtac เองก็มีแผนลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาท เพื่อขยายโครงข่าย 5G เช่นเดียวกัน ซึ่งหากมีสภาพคล่องมากขึ้น เราคงเห็นประเทศไทยมีการก้าวหน้าทางเทคโนโลยี บริการ 5G จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้น ในอัตราค่าบริการที่สมเหตุสมผล
นี่เป็นแค่ส่วนนึงที่ธุรกิจต่างๆ หันมาใช้สูตรลับมาเป็นตัววงล้อสำคัญในการเร่งให้เกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพื่อพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ