EUROPEAN GREEN DEAL คืออะไร ทำไมคนไทยต้องรู้
จากเป้าหมายที่ทุกประเทศจะช่วยกันลดก๊าซเรือนกระจกลง เพื่อทำให้อุณหภูมิของโลกไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2.0 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้ และในปี 2050 ต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือที่เรียกว่า "Net Zero"
ในเดือน ก.ค. 2021 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) จึงมีแผนการทำงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว และเกิดเป็น "European Green Deal" หรือมาตรการลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 55 ในปี 2030 หรือ Fit for 55 Package ซึ่งเป็นร่างกฎหมายเพื่อรับรองเรื่อง
- การปรับปรุงสิทธิการซื้อขายและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- การส่งเสริมการคมนาคมสีเขียวทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
- การกำหนดอัตราภาษีธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- การกำหนดสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน
- การตั้งเป้าหมายการดูดซับก๊าซเรือนกระจก
- และการออกมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป คือการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป European Union (EU)
ทั้งนี้ EU ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ออกมาตรการและนโยบายด้าน Green และ Climate Change ปัจจุบันหลายประเทศให้ความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน อาทิ นโยบาย Green Plan ของสิงคโปร์ Green New Deal ของเกาหลีใต้ Green Growth Strategy ของญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาเองก็หันมาให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างมาก โดยมาตรการ European Green Deal อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการสินค้าส่งออกของไทย ทำให้ยอดการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ EU ลดลง จึงเป็นความท้าทายที่ภาคเอกชนไทยและภาครัฐต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเตรียมการรับมือนโยบายและมาตรการ "European Green Deal" ผลักดันวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส
"Carbon Neutrality" คือ แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งมีกฎหมายและกฎระเบียบ 6 ข้อประกอบด้วย
- Renewable Energy หรือกฎหมายเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน มีสาระสำคัญ คือ ปรับปรุงกฎหมายเพิ่มอัตราการใช้พลังงานทดแทนให้เป็น 40 % ของพลังงานทั้งหมดในปี 2030 (ปัจจุบัน 20%) และมาตรการปรับลดอัตราภาษีในกลุ่มพลังงานทดแทนโดยปรับเพิ่มอัตราภาษีในกลุ่มพลังงานประเภทอื่นที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง รวมทั้งมาตรการปรับปรุงอาคารสำนักงานในกลุ่มประเทศสมาชิก EU ให้ลดการใช้พลังงานลงอย่างน้อย 3% ต่อปี ซึ่งอาจเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการไทย ที่สามารถสร้างนวัตกรรมอุปกรณ์สำนักงานที่ช่วยประหยัดพลังงานส่งออกสินค้าดังกล่าวไปยัง EU ได้เพิ่มขึ้น
- Sustainable / Smart Mobility หรือกฎหมายเกี่ยวกับการขนส่งอัจฉริยะและยั่งยืน มีสาระสำคัญ คือ ยกระดับมาตรฐานยานพาหนะที่ใช้ในกลุ่มประเทศสมาชิก EU โดยอนุญาตให้ใช้ยานพาหนะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์เท่านั้น ภายในปี 2035 ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการส่งออกอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ และอุปกรณ์การชาร์จพลังงานสำหรับรถไฟฟ้า และรถไฮโดรเจน จากประเทศไทย รวมทั้งการปรับปรุงมาตรฐานการควบคุมมลพิษ Euro-7 ส่งผลกระทบกับธุรกิจระบบเครื่องยนต์ดีเซล และเบนซิน และ ปรับปรุงกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการบิน และการเดินเรือ โดยจะเริ่มในปี 2026 อันจะส่งผลกระทบกับเครื่องบินไทย การเดินเรือไทยที่เข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิก EU ซึ่งต้องมีการเตรียมพร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่ง
- Forestry / Biodiversity หรือกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ มีสาระสำคัญ คือ มาตรการการปกป้องป่าที่เป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจก อาทิ การไม่ใช้พลังงาน Biofuel เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย และข้าวโพด ที่มาจากการรุกพื้นที่ป่า หรือสร้างผลลัพธ์ทำให้ขาดแคลนอาหาร และทำให้ราคาอาหารแพงขึ้น รวมถึงการไม่ซื้อสินค้าทุกประเภทที่มาจากการรุกพื้นที่ป่า เช่น กาแฟ
- Taxonomy หรือกฎหมายเกี่ยวกับการจัดหมวดหมู่ธุรกิจสีเขียว คือการกำหนดนิยามกิจกรรมของธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก็จะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศสมาชิก EU มากขึ้น เช่น การระดมทุนใน Green Bond หรือได้สิทธิพิเศษทางสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ Soft Loan
- Due Diligence หรือกฎระเบียบความรับผิดชอบในการประกอบธุรกิจ คือการกำหนดกรอบการทำธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล Sustainable Corporate Governance ธุรกิจที่ไม่สร้างผลกระทบและดูแลสิ่งแวดล้อม และธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งจากกฎระเบียบข้อนี้นักธุรกิจและผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัว โดยให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลัก (Environmental, Social, Governance: ESG) ที่ไม่ได้ทำธุรกิจเพียงแค่แสวงหาผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลและผนวกอยู่ในยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ในการดำเนินกิจการด้วย
- CBAM หรือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งมาตรการนี้มีการปรับราคาสินค้านำเข้าบางประเภท เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิก EU และปกป้องธุรกิจภายในกลุ่มประเทศสมาชิก EU ที่ต้องแบกภาระต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเพราะต้องปฏิบัติตามมาตรการ European Green Deal เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ทำให้การแข่งขันเป็นธรรม เมื่อเทียบกับสินค้านำเข้าจากประเทศที่ 3 นอก EU ที่ราคาสินค้าถูกกว่าเพราะการผลิตไม่มีต้นทุนการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกเข้าสินค้าเข้าไปในกลุ่มประเทศสมาชิก EU ต้องถูกใช้มาตรการ European Green Deal เช่นเดียวกัน
จากข้อมูลทั้งหมดที่เขียนมา โดยเฉพาะข้อที่ 6 มาตรการว่าด้วยเรื่อง CBAM กับการปรับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของไทย สำหรับประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมสำหรับ CBAM หรือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรปไว้พอสมควรแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรามาทำความรู้จัก CBAM และการเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทยให้มากขึ้นกว่านี้อีกนิดหนึ่งเพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้มากขึ้น
สำหรับใน 5 กลุ่มสินค้าแรกที่ถูกพิจารณาตามระเบียบของ CBAM โดยแต่ละกลุ่มสินค้าจะมีข้อกำหนดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และวิธีการเรียกเก็บค่าคาร์บอน ได้แก่
(1) บริการไฟฟ้า
(2) ซีเมนต์
(3) ปุ๋ย
(4) เหล็กและเหล็กกล้า
(5) อะลูมิเนียม
ระเบียบของ CBAM เริ่มบังคับใช้เต็มที่ในวันที่ 1 มกราคม 2569 และจะมีกลุ่มสินค้าอื่นๆ ถูกพิจารณาตามระเบียบของ CBAM เพิ่มขึ้น โดยระหว่างนี้ภาคเอกชนไทยต้องเตรียมพร้อมทั้งการขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมธิการยุโรปภายใต้ CBAM การซื้อขายคาร์บอน การรายงานและการตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การรายงานการจ่ายค่าคาร์บอนสินค้านำเข้าและส่งออก เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจไทย
กลไกและมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ที่ผู้ส่งออกไทยต้องศึกษา
- ผู้นำเข้าหรือผู้ประกอบการ (ผู้ส่งออกไทย) ต้องตั้งผู้ดูแล Authorization ที่ได้รับอนุญาตในการนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของ CBAM มายังเขตศุลกากรของสหภาพยุโรป
- ผู้นำเข้าหรือผู้ประกอบการส่งออกสินค้ามีหน้าที่ยื่น CBAM Declaration เพื่อรายงานว่าสินค้ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่ หรือที่เรียกว่า Embedded Emissions ซึ่งค่า Embedded Emissions จะถูกนำมาคิดค่าคาร์บอน (ปัจจุบันในไทยยังไม่ได้รายงานในระบบ Embedded Emissions แต่เป็นระบบ Carbon footprint)
- ผู้นำเข้าสินค้าจะถามหา CBAM Certificate คือหลักฐานการชำระค่าคาร์บอนแล้วตามมาตรฐาน EU จากประเทศต้นทางของสินค้า ถ้าไม่มี CBAM Certificate ก็จะถูกเก็บค่าคาร์บอนจากประเทศที่ส่งสินค้า และต้องเสียค่าปรับ
- ผู้นำเข้าจะต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 3 ปีแรก โดยยังไม่ต้องซื้อและส่งมอบ CBAM Certificate ซึ่งจะบังคับใช้ CBAM จริงในวันที่ 1 ม.ค. 2569 ดังนั้นระหว่างนี้ผู้ประกอบการควรต้องประเมินว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเท่าไหร่จากมาตรการ CBAM
- ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 ผู้นำเข้าต้องซื้อและส่งมอบ CBAM Certificate ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเภทสินค้า โดยอาจมีการขยายรายการสินค้า
การปรับใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ของไทยกับมาตรการ CBAM
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ TGO จะพัฒนาระบบการรายงานในระบบ Embedded Emissions ซึ่งเน้นการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉพาะในกระบวนการผลิต ทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้สอดคล้องกับมาตรการ CBAM เพราะหากในประเทศไทยมีกระบวนการ CBAM Certificates ของตนเอง ผู้ส่งออกไทยจะสามารถเสียค่าคาร์บอนที่ต้นทางหรือในประเทศไทย แทนการที่ต้องไปเสียให้ต่างประเทศ TGO เห็นว่าปัจจัยสำคัญในการรับมือกับมาตรการ CBAM คือการพัฒนาให้เกิดผู้ทวนสอบค่า Embedded Emissions ตามมาตรฐาน EU และพัฒนาแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการชดเชยการปล่อยคาร์บอนที่เกินมาตรฐานของ CBAM รวมทั้งการเจรจาทำความตกลงกับสหภาพยุโรปให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้คาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VERs หรือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย เพื่อทดแทนหรือลดภาระการซื้อค่าคาร์บอน หรือ CBAM Certificate โดย TGO จะปรับปรุงมาตรฐานการรับรองของโครงการ T-VERs บางประการให้สอดคล้องกับมาตรการ CBAM มากขึ้น
ส่วนมาตรการ CBAM กับการปรับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของไทย จะส่งผลอย่างไรกับประเทศไทย ดังนี้ มาตรการ CBAM กับการปรับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของไทย อย่างที่เราทราบกันดีว่ากลุ่มประเทศสหภาพยุโรปนั้นมีความตื่นตัวเป็นอย่างมากกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็เป็นผลมาจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ทุกประเทศมีความจำเป็นจะต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้มากที่สุด เพื่อหยุดผลกระทบที่เลวร้ายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทยเองก็เป็น 1 ในประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอย่างมาก โดยตั้งแต่ปี 2559 ประเทศไทยของเราตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและการขนส่งลง 7-20 % ภายในปี 2563 ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 17% ในปี 2563 และเรากำลังอยู่ในช่วงของการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในขั้นต่อไป โดยเราตั้งเป้าหมายจะลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 20-25% ในทุกอุตสาหกรรมภายในปี 2573
ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่ากลุ่มประเทศสหภาพยุโรปนั้น เป็นผู้นำในการเพิ่มการตื่นตัวในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะเห็นได้จากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) ได้ได้ออกแผนการปฏิรูปสีเขียว (European Green Deal) ในปี 2019 โดยตั้งเป้าให้ EU ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 60% ภายในปี 2030 และให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Climate Neutral) ภายในปี 2050 นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ Carbon border Adjustment Mechanism (CBAM) อีกด้วย โดยมาตรการ CBAM นั้นเป็นการขยายระบบ “ตลาดการค้าคาร์บอนภายในของสหภาพยุโรป” หรือ EU Emission Trading System (EU ETS) ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้าบางประเภทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย และไฟฟ้า ซึ่งผู้ที่จะส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรปจะต้องซื้อ “ใบรับรองการปล่อยก๊าซคาร์บอน” หรือ “CBAM certificates”เพื่อเป็นการจ่ายค่าธรรมเนียม หรือ “ค่าปรับ” ในการปล่อยก๊าซฯ โดยราคาของใบรับรองฯ จะคำนวณจากราคาประมูลเฉลี่ยรายสัปดาห์ของ EU ETS allowances ที่คณะกรรมาธิการยุโรปจะเป็นผู้กำหนด
แม้ว่าในเบื้องต้นประเทศไทยของเราอาจจะไม่ใช่กลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบกับการส่งออกจากมาตรการ CBAM มากที่สุด แต่ด้วยมาตรการด้านค่าปรับ และภาษีที่เกิดขึ้น ก็จะส่งผลทำให้การแข่งขันและการส่งออกสินค้าจากประเทศที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และการควบคุมก๊าซเรือนกระจกต่ำ ไปยังสหภาพยุโรปได้รับผลกระทบมากขึ้น
ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ประกอบการของไทย ได้คำนึงถึงมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาธุรกิจและอุตสาหกรรมของพวกท่านด้วย เพื่อให้ผู้ที่ทำธุรกิจส่งออกไม่ต้องได้รับผลกระทบจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม และก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังเป็นการทำให้ประเทศไทยของเรามีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy ด้วย
#EUROPEANGREEN DEAL #CBAM #สิ่งแวดล้อมโลก #สิ่งแวดล้อมไทย
#ก๊าซเรือนกระจก #ลดโลกร้อน #กระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(ขอบคุณแหล่งที่มา https://bit.ly/2ZwnHZg, https://www.setsustainability.com/libraries/1035/item/european-green-deal, )