รีวิวซีรีส์เกาหลี “My Name” แนวแอคชั่น ดราม่า การประชันบทสุดเข้มข้นของ ฮันโซฮี, อันโบฮยอน, พัคฮีซุน และนักแสดงฝีมือคุณภาพ จาก “Netflix”

เมื่อได้ดูตัวอย่างซีรีส์เกาหลี “My Name”  ผลงานซีรีส์ล่าสุดจาก “Netflix” ก็ตั้งหน้าตั้งตารอเลย จะไม่ยอมพลาดเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เพราะภาพไม่กี่วินาที โชว์ภาพ “ฮันโซฮี” นางเอกสาวหน้าใสในบทบู้อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อซีรีส์ออกมาให้ชมกัน ก็ไม่พลาดอย่างที่ตั้งใจไว้ ติดตามดูทันที ซีรีส์มี 8 ตอน ความยาวไม่เกิน 50 นาที/ตอน ก็ตั้งใจว่าจะดูไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก ค่อยกลับมาดูใหม่ แต่พอได้ดูเท่านั้น หยุดไม่ได้เลย ดูยาว ๆ ไปจนจบทั้ง 8 ตอนแบบรวดเดียวเลย เพราะสนุกมาก ๆ  หากว่าชอบแนวแอคชั่น-นัวร์ บู้แบบระห่ำ ซัดกันหนัก ๆ ทั้งการต่อสู้ด้วยมือเปล่า มีด ปืน ทั้งสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง หลายคนรุมคนเดียว ลุยกันทั้งแก๊งจนเลือดกระจายท่วมจอ ทั้งยังต่อสู้ด้วยแผนการว่าใครจะเหนือชั้นกว่าใครระหว่างมาเฟียกับมาเฟีย มาเฟียกับตำรวจ ตำรวจกับตำรวจ แถมดราม่าหนักหน่วง ซีรีส์เรื่องนี้ตอบโจทย์ความต้องการได้ทุกอย่าง นักแสดงนำ ฮันโซฮี, อันโบฮยอน, พัคฮีซุน รวมทั้งเหล่านักแสดงสายบู้ ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน

ฮันโซฮี รับบท ยุนจีอู ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น โอฮเยจิน หญิงสาวที่มีแต่ความแค้น

อันโบฮยอน รับบท จอนพิลโด ตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติด พร้อมบู้ทุกสถานการณ์

พัคฮีซุน รับบท ชเวมูจิน พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่ใคร ๆ ต่างพากันเกรงกลัวอิทธิพล

......

 “My Name” เล่าเรื่องราวของ “ซงจีอู” (ฮันโซฮี) ซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ที่ชีวิตต้องพลิกผันโดยที่แม้แต่ตัวเองก็คาดไม่ถึง เมื่อ “ยุนดงฮุน” พ่อของเธอ ถูกตำรวจประกาศจับเพราะเป็นสมาชิกของแก๊งดงชอล องค์กรค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่มี “ชเวมูจิน” (พัคฮีซุน) เป็นหัวหน้า เธอถูกเพื่อน ๆ พากันเล่นงาน กดดันให้ออกจากโรงเรียน เพราะไม่อยากมีเพื่อนเป็นลูกสาวนักเลง “ซงจีอู” ถูกกดดันจนทนไม่ไหว ต้องยอมลาออกจากโรงเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมกับเธอเลย ในวันครบรอบวันเกิดอายุ 17 ปี “ยุนดงฮุน”  ได้โทรมาอวยพรวันเกิด ด้วยความกดดันเธอจึงบอกพ่อว่าไม่ต้องมาหาเธออีก และร้องไห้ระบายความรู้สึกออกมาอย่างขมขื่นว่าเมื่อพ่อไม่อยู่เธอต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ซึ่งนั่นทำให้ “ยุนดงฮุน” ตัดสินกลับมาหา “ซงจีอู”เพราะสงสารลูกสาวจับใจ และนั่นทำให้ “ยุนดงฮุน”ถูกใครคนหนึ่งยิงเสียชีวิต “ซงจีอู”เสียใจมากที่เป็นต้นเหตุทำให้พ่อต้องตาย เพราะพ่อกลับมาหาเธอ เธอจึงตัดสินใจที่จะตามล่าหาคนที่ฆ่าพ่อ และเมื่อเห็นว่าคดีไม่คืบหน้า เธอจึงขอเข้าแก๊งดงชอล เพราะเชื่อ “ชเวมูจิน” ที่บอกว่า “ยุนดงฮุน” คือพี่น้องที่เขาไว้ใจที่สุด ทั้งยังบอกด้วยว่าตำรวจเป็นคนฆ่าพ่อเธอ และถ้า “ซงจีอู” ยากตามล่าคนที่ฆ่าพ่อ ตัวเธอเองก็ต้องเป็นคนที่ฆ่าคนอื่นได้ “ซงจีอู”  มั่นใจว่าเพื่อที่จะแก้แค้นให้พ่อ เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง

“ซงจีอู” ใช้เวลา 4 ปี ในค่ายมวย ซึ่งเต็มไปด้วยนักเลง ลูกน้องของ  “ชเวมูจิน” เพื่อฝึกการต่อสู้ทุกรูปแบบ แทบจะแทบเอาชีวิตไม่รอด เพราะถูก “โดคังแจ” (จางรยูล) เล่นงาน หลังจากที่เธอสามารถเอาชนะเขาได้จากการแข่งขันหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้หญิง “โดคังแจ” ถูก “ชเวมูจิน” ฝากรอยแผลแห่งความอับอายไว้บนใบหน้า และขับไล่ออกจากแก๊งซึ่งสร้างความเจ็บแค้นให้ “โดคังแจ” อย่างมาก “ชเวมูจิน” ยอมรับ “ยุนจีอู” เข้าสู่แก๊งดงชอล ซึ่งปัจจุบันเป็นองค์กรค้ายาเสพติดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งตำรวจพยายามจะโค่นอำนาจของเขาให้ได้ “ชเวมูจิน” เปลี่ยนชื่อให้ “ยุนจีอู” เป็น “โอฮเยจิน” พร้อมทั้งสร้างประวัติใหม่ให้เธอ เพื่อให้เธอได้สอบเข้าไปเป็นตำรวจ เพื่อจะได้สืบหาตำรวจที่ฆ่าพ่อเธอ “จองแทจู” (อีฮักจู) ลูกน้องคนสนิทชอง “ชเวมูจิน” ไม่เห็นด้วยที่ “ชเวมูจิน” ตัดสินใจให้เส้นทางชีวิตของ “ซงจีอู” เป็นแบบนั้น แต่ ​​​​​​​“ชเวมูจิน” ยืนยันว่า “​​​​​​​ซงจีอู” เลือกทางเดินชีวิตของเธอเอง

เมื่อได้เป็นตำรวจสมความตั้งใจ “โอฮเยจิน” พยายามจนได้เข้ามาอยู่ฝ่ายปราบปรามยาเสพติด เป็นคู่หูกับ “จอนพิลโด” รุ่นพี่ซึ่งมุ่งมั่นที่จะปราบพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่อย่าง “ชเวมูจิน” หัวหน้าทีมของเขาคือ “ชากีโฮ” (คิมซังโฮ) ที่ “โอฮเยจิน” มั่นใจว่าเป็นคนฆ่าพ่อ เธอจึงพยายามสืบให้รู้ความจริง ระหว่างที่ร่วมทีมกับตำรวจ และเป็นสายให้ “ชเวมูจิน” ไปด้วย เมื่อยิ่งสืบลึกลงไป “โอฮเยจิน” ก็ยิ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงของ “ชเวมูจิน” ผู้ซึ่งเธอไว้ใจที่สุดมากขึ้น ขณะที่ความรู้สึกดี ๆ ระหว่างเธอกับ “จอนพิลโด” ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่เส้นทางชีวิตที่ “โอฮเยจิน” เลือกด้วยตัวเองตั้งแต่วันที่เธอตัดสินใจตามหาฆาตกรที่ฆ่าพ่อให้ได้ ไม่มีอะไรที่ง่ายอีกต่อไป !

“My Name” เป็นซีรีส์มีความยาวเพียง 8 ตอน ใช้เวลาดู 6 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็จบแล้ว ด้วยความยาวเพียงเท่านั้น การเล่าเรื่องบางช่วงบางตอน อาจจะดูเหมือนสั้นไปสักนิด ทำให้ยังไม่รู้สึกเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครนั้น ๆ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ก็ได้ความสนุกกับเรื่องราวที่อัดแน่นไปด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งการเล่าถึงตัวละครแต่ละตัว แม้ว่าบางคนจะมีเรื่องราวไม่มากนัก แต่ซีรีส์ก็ทำให้รู้ถึงอดีต ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของแต่ละคนกว่าจะมาถึงวันนี้บ้าง เรียกว่าดูสนุกไปกับทุกตัวละครเลยทีเดียว  

→ ฮันโซฮี รับบท ยุนจีอู, โอฮเยจิน

ด้วยความเป็นผู้หญิงที่มีสรีระบอบบาง "ยุนจีอู" แทบจะต่อสู้กับผู้ชายไม่ได้เลย แต่เพราะมีไหวพริบและมีทักษะในการต่อสู้ และแรงแค้นที่ผลักดันชีวิต ทำให้เธอไม่เคยหวั่นที่จะต่อสู้กับใครหน้าไหนทั้งนั้น

→ อันโบฮยอน รับบท จอนพิลโด

การสูญเสียน้องสาวเพราะถูกล่อลวงให้เสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต ทำให้ "จอนพิลโด" ทุ่มเทชีวิตให้กับการปราบปรามยาเสพติด โดยที่ไม่รู้เลยว่าใครคือคนที่ทำให้น้องของเขาตาย เขารู้แค่ว่าเขาจะต่อกรกับภัยมืดทุกรูปแบบ เพื่อไม่ให้ใครต้องตกเป็นเหยื่ออีก

→ พัคฮีซุน รับบท ชเวมูจิน

เมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางมาเฟีย "ชเวมูจิน" มองว่าการมีชีวิตอยู่คือสงคราม ยอมแพ้ไม่ได้ หากต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ และท่ามกลางความยิ่งใหญ่นั้น เขาไม่เคยหักหลังใคร แต่กลับถูกคนที่ใกล้ชิดที่สุดหักหลังเสมอ

→ คิมซังโฮ รับบ ชากีโฮ

การที่ต้องเสียลูกน้องที่ส่งเข้าไปเป็นสายสืบในแก๊งของ "ชเวมูจิน" คือความทรงจำที่เจ็บปวดของ "ชากีโฮ" และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาไม่เคยหยุดที่จะจับ "ชเวมูจิน" มารับโทษตามกฏหมายให้ได้

→ อีฮักจู รับบท จองแทจู​​​​​​​

"จองแทจู​​​​​​​" ลูกน้องคนสนิทของ "ชเวมูจิน" ที่กุมความลับทุกอย่างของทุกคน เป็นผู้ซึ่งสงสัยในทุกสิ่ง และมองหาเส้นทางที่ปลอดภัยให้กับสถานการณ์ที่เลวร้ายของ "ชเวมูจิน" อยู่เสมอ

→ จางรยูล รับบท โดคังแจ

ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เมื่อชีวิตผิดพลาด การแก้แค้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

“My Name”  ถ่ายทำแบบ Long Take หลายฉาก เช่นฉากต่อสู้ ซึ่งคิวบู้ถือว่าเยี่ยม ต่อสู้กันยาว ๆ อย่างสมจริง ฉากที่ชอบฉากหนึ่ง คือฉากที่ “ยุนจีอู” ถูกกดดันจากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน จนต้องตัดสินใจลาออก เมื่อออกมาจากโรงเรียน ยังมาเจอตำรวจที่คอยเฝ้าว่าพ่อของเธอที่หนีคดีอยู่จะกลับมาเมื่อไหร่ ยิ่งทำให้อารมณ์เธอกระเจิงเข้าไปทุบรถด้วยความโมโห ก่อนจะวิ่งหนีตำรวจที่ไล่จับ “ยุนจีอู” วิ่ง ๆ วิ่งเพื่อหนี เป็นฉากวิ่งหนีแบบยาว ๆ ไป วิ่งจนไม่มีใครตามแต่ก็ยังวิ่งไปจนสุดสะพานที่จะลงไปแม่น้ำ เหมือนกับเป็นการหนีจนไม่มีทางไปแล้ว ทางเลือกจึงมีแค่จะโดดลงน้ำให้ตายไปเลย หรือจะหยุดแล้วหันกลับมาสู้ ฉากนี้เป็นฉากที่ถ่ายสวยมาก รู้สึกถึงความอ้างว้างในจิตใจของ “ยุนจีอู” และการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะตามหาคนที่ฆ่าพ่อให้ได้ เพราะในชีวิตนั้น ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้ดูแลเธอดีนัก แต่เธอก็มีพ่อคนเดียว ที่เป็นความหวัง เป็นอนาคต ซึ่งจากนี้และตลอดไปจะไม่มีอีกแล้ว และยังมีภาพที่ถ่ายจากมุมสูงอีกหลาย ๆ ฉาก สวยงามและสื่อความหมาย

ฉากในเรื่องนี้ที่ได้เห็นในทุก ๆ ตอนก็คือฉากการต่อสู้ เป็นซีรีส์ที่ออกแบบการต่อสู่ได้อย่างน่าติดตามมาก บางฉากก็ออกแบบมาได้แบบสุดโหด "ฮันโซฮี" เป็นนางเอกที่ไม่เคยรับบทแนวนี้มาก่อน จึงเรียกได้ว่าเป็นการโชว์ความสามารถของเธอแบบจัดเต็มมาก การชกต่อย การใช้ปืน การใช้มีดเป็นอาวุธ เธอแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับนักแสดงทุกคน ที่เมื่อโชว์คิวบู้ สุดยอดกันทั้งนั้น เรื่องนี้เป็นซีรีส์เกาหลีที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่ง อยากดูแบบบู้ ๆ ก็ไปได้สุด ๆ อยากดูซีนอารมณ์ทั้งดราม่า เลิฟซีน แล้วอึ้งไปกับบางเหตุการณ์ ก็ไปได้สุดเช่นกัน อย่างที่บอกตั้งแค่ต้นว่าเป็นซีรีส์ที่มีความยาวแค่ 8 ตอน อาจจะขาดรายละเอียดบางอย่างไปบ้าง แต่รับรองเลยว่าดูสนุก ดูกันรวดเดียวจบจริง ๆ

ดูซีรีส์เกาหลี "My Name" ทาง Netflix → https://www.netflix.com/th/title/81011211

MY NAME

❛ อย่าให้ใครรู้ ศัตรูต้องฆ่า แค้นต้องชำระ ❜

...