อีกไม่กี่เดือนประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูหนาว และในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยประสบกับวิกฤตควันพิษ หรือวิกฤต PM 2.5 ถือว่าเป็นวิกฤตหลักในประเทศไทยที่เกิดขึ้นในทุกปี สาเหตุหลักๆที่ค้นพบมาจากทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก เช่น การเผาไหม้ของยานพาหนะ ไฟป่า การทำการเกษตรกรรม โรงงานอุตสาหกรรม และกิจกรรมการเผากลางแจ้งอื่น และรวมถึงปัจจัยภายนอกที่เป็น ปัญหาที่แก้ไขได้ยาก คือกรณีของไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้าน

 

 

หลายปีที่ผ่านมาไทยเราได้รับผลกระทบและอันตรายจากฝุ่นควันพิษดังกล่าว ทำให้เ

กิดการรณรงค์และการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงที่เกี่ยวข้องและ ถือว่าเป็นหัวเรือหลักในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยนโยบายในปีที่ผ่านมาแก้ไขปัญหาในส่วนของภาคการเกษตรที่มีการกำหนดวันเผา รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยี เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันจากไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือของไทยที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี

 

ย้อนกลับไปในปี 2020 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานการทำงานร่วมกับหลายๆหน่วยงาน รวมถึงใช้มาตรการเชิงรุก เสริมสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายประชาชนและเอกชนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานปี 2020

 

- เพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังจุดความร้อนในพื้นที่ป่า หรือ Hot Spot ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมจาก GISTDA

- ใช้โปรแกรม Fire Ranger ที่ระบุตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าและเครือข่ายอาสาสมัครแบบเรียลไทม์ เมื่อเกิดไฟป่าในพื้นที่ไหน ระบบจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ที่ใกล้ที่สุดให้สามารถเข้าควบคุมเพลิงได้อย่างทันท่วงที

- แพลตฟอร์ม “จองเบิร์น” สำหรับเกษตรกร เพื่อใช้ตรวจเช็คและจองคิวเผาซากพืชจากการเกษตร เพื่อลดความหนาแน่นของฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาพร้อมๆกัน

ซึ่งเทคโนโลยีและมาตรการเหล่านี้ มีขึ้นเพื่อควบคุมปัญหาหมอกควันในพรมแดนครับ สำหรับหมอกควันข้ามพรมแดนนั้น เป็นงานใหญ่ที่เราจะต้องเร่งประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน จากนโยบายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเป็นตัวกลางในการผลักดันและประสานงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหมอกควันสำเร็จเป็นรูปธรรมต่อไป

 

https://www.facebook.com/page/674202746364334/search/?q=%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B2

 

และส่วนในปี 2021 ในอาทิตย์ที่ผ่านมามีการประชุมเพื่อมีการถอดบทเรียนจากปีก่อนๆ ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งในปีนี้มีการกำหนดกรอบและแผนที่เข้มข้นมากขึ้น อันเนื่องจาก ปัญหา โควิด19 ที่แพร่ระบาดอยู่ และจะส่งผลกระทบต่ออวัยวะที่สำคัญคือปอด และสุขสภาวะในช่วงการระบาด อันจะนำไปสู่ปัญหาซ้อนปัญหาต่อไปในอนาคต

 

และการถอดบทเรียน : AAR ป้องกัน หมอกควัน ไฟป่า ฝุ่นละออง" ขานรับนโยบาย "ขยายผล พัฒนา ขจัดปัญหา" สร้างความเชื่อมั่น สุขภาพ ปชช.ปลอดภัยสูงสุด

วันนี้ (23 สิงหาคม 2564) เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานต่างๆ จากทุกกระทรวง ร่วมด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และ ผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียน (After Action Review : AAR) การแก้ไขปัญหา หมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง ประจำปี 2565 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม

 

การประชุมในวันนี้ ที่ประชุมได้มีการบูรณาการข้อมูล และข้อเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติงานป้องกัน และแก้ไขในทุกมิติ จากการดำเนินงานในอดีต ที่ผ่านมา ของพื้นที่ กทม./ปริมณฑล พื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด และพื้นที่เสี่ยงอื่นๆทั่วประเทศ เพื่อควบคุมแหล่งกำเนิด และปริมาณฝุ่นละออง ไม่ให้สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานและส่งผลกระทบ ต่อพี่น้องประชาชน

 

ทั้งนี้ ในปีนี้ พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงาน ยึดหลักการทำงานร่วมกัน คือ "ขยายผล พัฒนา ขจัดปัญหา" เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การป้องกันสุขภาพ อนามัย ของประชาชนให้มีความปลอดภัยสูงสุด ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ เน้นย้ำถึงการยกระดับ Single Command ที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องสามารถติดตามสถานการณ์ และสั่งการไปยังท้องถิ่นระดับล่าง ได้อย่างใกล้ชิด รวดเร็ว ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการควบคุมแหล่งกำเนิดการเผา มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อยานยนต์ที่มีควันดำ ควบคุมและป้องกันการเผา/บุกรุกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ผลผลิตทางการเกษตร ควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมไม่ให้ปล่อยสารพิษออกสู่บรรยากาศ พัฒนาระบบคาดการณ์สภาวะอากาศ ที่มีการสะสมฝุ่นละอองล่วงหน้าให้ได้ 3-7 วัน รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขเพื่อการแจ้งเตือน และการรักษาผู้ป่วยจากฝุ่นละออง เป็นต้น

 

https://www.bbc.com/thai/thailand-51030236

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวย้ำว่า การป้องกัน "หมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง" นับเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง การนำบทเรียนจากอดีต มาทบทวน แก้ไขแผนงาน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงแผนให้มีความทันสมัย และจะต้องมีการซักซ้อมแผน เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้จริง ควบคู่มาตรการป้องกันโควิด-19 ด้วย โดยต้องนำผลสรุป "การถอดบทเรียน" ไปบูรณาการทำงานร่วมกัน และยึดหลักการ"ขยายผล พัฒนา ขจัดปัญหา" พร้อมขอให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อลดความตระหนก และสร้างความเชื่อมั่น ต่อไป

 

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4437858249599923&id=571457109573409&sfnsn=mo

 

เป็นที่น่าจับตามองว่าในปีนี้ปัญหา ฝุ่นควันพิษ หรือ PM 2.5 จะได้รับการแก้ไขให้เป็นผลสัมฤทธิ์ ตามเป้ามากน้อยแค่ไหน ในวิกฤตโควิด 19 ณ ปัจจุบันนี้ แต่การทำงานที่ต่อเนื่อง และนโยบายที่ส่งผลเป็นรูปธรรมในปีที่แล้ว ปัญหาหมอกควันและปัญหาฝุ่นพิษอาจน้อยลงในปีนี้ก็เป็นได้.