“กฎหมายชารีอะห์” คืออะไร กฎหมายอิสลามที่สุดโต่งและน่ากลัว
รูปด้านบนคือ "ธงของตาลีบัน" ที่ตอนนี้เอามาใช้แทนธงชาติอัฟกานิสถาน (ซึ่งเป็นแถบ 3 สี ดำ/แดง/เขียว) หลังจากที่ได้ยึดอัฟกานิสถานได้แล้ว
ดังนั้นจะเห็นมีข่าวที่ผู้ชุมนุมเดินขบวนเอาธงชาติอัฟกานิสถานมาชู จึงถูกกลุ่มตาลีบันยิงในที่ชุมนุมกัน
ก่อนจะไปเรื่อง "กฎหมายชารีอะห์" เราต้องมาดูที่มาที่ไปของกลุ่มตาลีบันก่อนว่าคือใคร ?
ตาลีบันมีความหมายว่า "นักศึกษา" เกิดขึ้นช่วงปี 1994 ในเมืองกันดาฮาร์ตอนใต้ของประเทศ เป็นกลุ่มติดอาวุธกลุ่มหนึ่งที่ต่อสู้ในสงครามกลางเมือง เพื่อจะแย่งชิงอำนาจจากอัฟกานิสถานหลังจากที่โซเวียตแพ้กลุ่ม "กลุ่มมูจาฮีดิน" ไป โดยมีสหรัฐฯหนุนหลังจนชนะและสามารถขับไล่โซเวียตออกไปได้
กลุ่มตาลีบันคือเป็นนักรบเก่าของ "กลุ่มมูจาฮีดิน" นั่นเอง พอชนะโซเวียตได้ในช่วงปี 1980 ก็ใช้เวลาเพียง 2 ปี ก็ยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้อย่างรวดเร็วจากนั้นก็ก่อตั้ง "รัฐอิสลาม" ขึ้นในปี 1996 โดยเป็นกฎหมายอิสลามที่เข้มงวด หรือที่เรียกกันว่า "กฎหมายชารีอะห์" นั่นเอง
แต่พอมีเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์เมื่อ 11 กย. 2001 หรือ 9/11 สหรัฐฯก็เตรียมเปิดศึกกับกลุ่มอัลกออิดะห์ (โดยผู้นำคือ โอซาม่า บิน ลาเดน) จนสหรัฐฯสามารถชนะตีกลุ่มตาลีบันแตกพ่าย จนต้องหนีกระจายไปพื้นที่ห่างไกลของประเทศ แต่กลุ่มตาลีบันไม่ยอมแพ้หรอก ยังคงทำสงครามยื้อระยะเวลามาเรื่อยๆ กับรัฐอัฟกานิสถานโดยตลอดเพียงแค่รอจังหวะเอาคืน จนมาถึงตอนนี้ก็สามารถชนะยึดอัฟกานิสถานไปแล้ว หลังจากสหรัฐฯถอนกำลังทหารออกไปจากอัฟกานิสถาน (ตามข่าวที่รู้ๆกัน)
เอาหล่ะที่นี้มารู้จัก "กฎหมายชารีอะห์" กันว่าสุดโต่งและน่ากลัวยังไง
เป็นกฎหมายของศาสนาอิสลาม ที่ควบคุมความประพฤติคน ทั้งการกระทำในที่สาธารณะ ความประพฤติส่วนตัว และยังควบคุมการปกครองสังคม และรวมถึงการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกด้วย
เนื่อหาของ "กฎหมายชารีอะห์" นั้นมาจากคัมภีร์อัลกุระอาน ตัวอย่างการดำเนินชีวิตขององค์ศาสดามูฮัมหมัดเป็นหลัก โดยตีความกฎหมายก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับบทลงโทษ การกระทำผิดที่ร้ายแรง เช่น ขโมย ปล้นทรัพย์ มีเพศสัมพันธ์นอกสมรส และการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงยังควบคุมด้านการกินอาหาร การอดอาหาร การสวดมนต์ และพิธีกรรม สุขอนามัย การค้าขาย และการเงินด้วย
ส่วนประเทศปัจจุบันที่ยังใช้ "กฎหมายชารีอะห์" อย่างเต็มรูปแบบก็มี อัฟกานิสถาน อิหร่าน อิรัก มัลดีฟส์ ปากีสถาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย เยเมน มอริเตเนีย และซูดาน
ส่วนประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่นับถืออิสลาม แต่ใช้ระบบกฎหมายแบบไม่อิงหลักศาสนา หรือไม่ได้ใช้ "กฎหมายชารีอะห์" แบบจำกัดเท่านั้น
ส่วนข้อปฏิบัติภายใต้ “กฎหมายชารีอะห์”
ซึ่งตาลีบันในยุคนั้นขึ้นชื่อว่าการบังคับอย่างสุดโต่งเลยก็ว่าได้ แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่ข้อกฎหมายที่จะพูดเป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น ได้แก่
1.การฆ่าผู้ที่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และผู้ที่นอกใจคู่สมรส (ข้อนี้รู้สึกย้อนแย้งไงก็ไม่รู้ 555)
2.การตัดแขน, ขา ผู้มีความผิดฐานลักขโมย
3.บังคับให้ผู้ชายต้องไว้หนวด (ดั่งที่เราเห็นตามรูปว่าทำไม ? ผู้ชายพวกนี้จึงต้องไว้หนวดเครารุงรังนั่นเอง) และผู้หญิงต้องใส่ชุดแบบปกปิดทั้งตัวแบบอิสลาม หรือ บูร์กา (Burka) มักเป็นผ้าสีดำ โดยสวมคลุมทั้งตัวปิดใบหน้าเหลือเพียงดวงตาเท่านั้น
4.ห้ามไม่ให้มีการดูทีวี ฟังเพลง หรือดูหนัง (คือความบันเทิงไม่มีก็ว่าได้)
5.การต่อต้านไม่ให้เด็กผู้หญิงที่อายุ 10 ขวบและมากกว่านั้นไปโรงเรียน
6.จำกัดการจ้างงานผู้หญิง (คือไม่ให้ทำงาน เว้นแต่อาชีพหมอเท่านั้น)
7.หรือการใช้บทลงโทษรุนแรง เช่น ประหารชีวิตด้วยการปาหินใส่ชายที่รักเพศเดียวกัน (อย่างที่เคยเห็นเป็นข่าวมาก่อน)
8.การกำหนดโทษเฆี่ยนประจานในที่สาธารณะสำหรับผู้หญิงที่ทำแท้ง
9.หรือบทลงโทษถ้าดูหมิ่นศาสดามูฮัมหมัด
10.กำหนดให้เด็กมุสลิมได้สัมผัสกับศาสนาอิสลาม ถ้านับถือศาสนาอื่นถือว่าผิดกฎหมาย
ซึ่งก็ถือว่าโหดและไร้มนุษยธรรม และละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนอย่างสุดโต่งและน่ากลัวจริงๆ