วิธีแก้ไข กับคนป่วยติดโควิด อยู่บ้านรอเตียง ไม่มีเครื่องมืออะไรเลย
ผมฟังข่าวผู้ป่วยรอเตียงรักษาในหลายพื้นที่แล้ว
จุกในอก บางรายเสียชีวิตก่อนได้รักษา
พยายามคิดว่า ในฐานะ นักวิชาการและนักกายภาพบำบัด ความรู้และประสบการณ์ที่พอมีบ้างจะพอช่วยอะไรได้ในยามนี้
จึงของแทรก EP.4 เป็นเรื่องนี้ก่อนนะครับ ส่วนวีดีโอประกอบ จะตามมาในไม่ช้าครับ
รอบนี้ขอเขียนด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อให้สามารถสื่อสารในวงกว้างได้นะครับ
หากท่านติดโควิด แล้วไม่มีอาการอะไร เป็นเหมือนไข้ (fever) เหมือนหวัดธรรมดา (common cold) ก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ครับ
แต่จะมีผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งที่เชื้อลงปอด
แล้วทำให้เกิดปอดอักเสบ (pneumonia) หรือที่เรามักเรียกว่า “ปอดบวม” อันนี้เริ่มน่าเป็นห่วง
เพราะจะรบกวนการแลกเปลี่ยนก๊าซซึ่งเป็นหน้าที่หลักของปอด
หากเป็นมากระดับหนึ่งจะทำให้ระดับออกซิเจนเลือดลดลง และจะลดลงมากยิ่งขึ้นหากการติดเชื้อลุกลาม
ภาวะปอดบวมนี้จะทำให้ปอดขยายตัวยาก คือ หายใจเข้าได้น้อยลงนั่นเอง
เป็นมากรุนแรงขึ้น ยิ่งหายใจเข้าได้น้อย ระดับออกซิเจนในเลือดของท่านจะยิ่งต่ำลง
แต่อวัยวะต่างๆในร่างกายของท่านยังต้องการพลังงานซึ่งต้องอาศัยออกซิเจนในปริมาณเท่าเดิมหรือมากขึ้นด้วยซ้ำ เมื่อปอดทำงานแย่ลง มันจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ดังนั้นหน้าที่ของท่านที่ต้องปฏิบัติตัว
.....รอหมอ....รอเตียง.......คือ
พยายามประคับประคองการทำงานของปอดให้สามารถนำออกซิเจนเข้าสู่เลือดในระดับที่เพียงพอ
และ ลดระดับการใช้พลังงานของร่างกายลง โดยให้ปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 ลดระดับการใช้พลังงานของร่างกายลง
1.1 เมื่อเราติดเชื้อ เราจะมีไข้ ไข้จะสูงจะต่ำอยู่ที่การตอบสนองของร่างกายเรา
หากมีไข้ ต้องลดไข้ก่อน!!!!!
เพราะยิ่งไข้สูงระดับการใช้พลังงานของร่างกายจะสูงขึ้น ยิ่งต้องการออกซิเจนมากขึ้น ในขณะที่ปอดเรากำลังแย่เราจะไม่ไหวแล้วจะผ่านมันไปไม่ได้
วิธีการลดอุณหภูมิร่างกายทำได้โดย
* ทานยาลดไข้ ตามขนาดที่เหมาะสมกับตนเอง
* เช็ดตัวด้วยน้ำอุณหภูมิห้องบ่อยๆ ทำวนไปจนไข้ลด
เช็ดสวนทางกับแนวขน เพราะเราต้องการเปิดรูขุมขนให้ระบายความร้อน
ผ้าขนหนูควรซับน้ำได้ดี ไม่ต้องหมาดมาก
ท่านสามารถวางผ้าชุบน้ำโป๊ะไว้บริเวณที่ร้อนมากๆ เช่น หน้าผาก ซอกคอ รักแร้ แผ่นหลัง ขาหนี วางโป๊ะไว้จนบริเวณนั้นอุณหภูมิลดลง หรือผ้าอุ่นจะต้องเปลี่ยนไปซุบผ้าใหม่
* ดื่มน้ำให้มากขึ้น (หากท่านไม่ใช่ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวจนต้องจำกัดปริมาณน้ำ เช่นผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจบางประเภท ซึ่งผู้ป่วยมักจะทราบอยู่แล้ว) เพื่อคงระดับสมดุลน้ำในร่างกาย ถ้าน้ำมันเกินเราก็จะขับออกมาทางปัสสาวะเอง
1.2 ลดการทำกิจกรรมลง ทำแค่กิจวัตรประจำวันที่จำเป็นในช่วงมีไข้เท่านั้น เพื่อลดระดับความต้องการพลังงานของร่างกายให้มากที่สุด แต่ไม่ใช่นอนเฉยๆทั้งวันนะครับ
กิจกรรมใดที่ทำให้หัวใจท่านเต้นเร็วขึ้นมากแสดงว่าใช้พลังงานมากขึ้น
จับชีพจรที่เส้นเลือกบริเวณข้อมือจะพอทราบว่าเต้นกี่ครั้งต่อนาที ถ้าช่วงที่ไข้ขึ้น หัวใจท่านอาจจะเต้นเร็วขึ้นเช่นกัน
ส่วนที่ 2 ประคับประคองการทำงานของปอดให้สามารถนำออกซิเจนเข้าสู่เลือดในระดับที่เพียงพอ ด้วยวิธีดังนี้
ส่วนนี้สำคัญมากกกกกกกกกกกกกกกกก ครับ
ท่านที่มีสติดี พอมีแรงฝึก ขอให้ทำตามข้อ 2.1, 2.2 และ 2.3 ครับ
หากไม่มีแรงมากพอที่จะฝึกหายใจ จัดท่าทางตามข้อ 2.3 นะครับ
2.1 ฝึกหายใจลึกให้เต็มปอด ปอดจะได้ขยาย
ถุงลมของท่านบางถุงลมจะขยายง่ายลมเข้าไปเติมได้เร็ว ในขณะที่บางถุงลม ลมจะไหลเข้าช้า ดังนั้นเพื่อให้ถุงลมของท่านขยายตัวได้มากที่สุดขอให้ทำดังนี้ ปอดท่านจะได้ไม่แฟบ เมื่อมีลมเข้าได้มาก นั่นคือเราพาออกซิเจนเข้าไปได้มากเช่นกัน
* พยายามหายใจเข้าช้าๆลึกๆ ช้าๆลึกๆ จำไว้ว่า เน้นเข้าช้าๆลึกๆ นะครับ
* เน้นให้หายใจเข้าท้องป่อง ตามด้วยชายโครงด้านล่างกางออก แล้วจึงตามด้วยการยกอก
* หากรู้สึกว่าหายใจเข้าเต็มปอดแล้วอย่าเพิ่งหายใจออก
* ให้พยายามดึงลมเข้าต่อเนื่องอีกสัก 3- 5 วินาที ถ้าทำไหว ถ้าไม่ไหวเอาเท่าที่ทำได้นะครับ
* แล้วจึงหายใจออกสบายๆ
****ฝึกหายใจลึก 5-6 ครั้งต่อรอบ อย่างน้อย 2 รอบทุกๆชั่วโมงที่ท่านตื่น ทำได้ทุกท่า ไม่ว่าท่านจะยืน นั่ง หรือ นอน*****
2.2 หายใจออกแบบห่อริมฝีปาก หรือ เป่าลมผ่านหลอดดูดขนาดมาตรฐาน ช้าๆ การหายใจออกแบบมีแรงต้านในระดับที่เหมาะสม (ไม่มากเกินจนต้องพยายามเค้นลมหายใจออก) จะช่วยให้เกิดแรงดันบวกกลับเข้าไปในปอดของท่านถุงลมจะเปิดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ช่วยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ดีขึ้น ทำแบบนี้นะครับ
* หายใจเข้าทางจมูกลึกขึ้นจากการหายใจปกติแต่ไม่ต้องลึกจนเต็มปอด
* หายใจออกผ่านปากโดยห่อริมฝีปากเป็นรู หรือ ทำปากจู๋ ช้าๆยาวๆ แต่ไม่ต้องเค้นนะครับ
หรือท่านสามารถใช้หลอดดูดแทนการห่อริมฝีปากได้ก็จะได้ช่องเล็กๆเช่นกัน
เช่น หากท่านหายใจเข้าใช้เวลา 2 วินาที เมื่อท่านหายใจออกผ่านปากจู๋ ควรหายใจออกช้าๆยาว ให้ได้อย่างน้อย 4 วินาที
****ฝึกหายใจแบบปากจู๋นี้ ทำได้บ่อยๆเลยนะครับ นึกได้ตอนไหนทำตอนนั้น
5-6 ครั้งต่อรอบ พักระหว่างรอบสัก 1นาที ก็ทำอีกได้ครับ หรือจะทำร่วมกับการฝึกหายใจลึกก็ได้ครับ *****
2.3 จัดทางให้เหมาะสม เพื่อให้หายใจได้สะดวกและส่งเสริมให้ปอดในบางส่วนมีลมถ่างไว้มากขึ้น ปอดจะได้แลกเปลี่ยนก๊าซได้ดีขึ้น จะช่วยรักษาระดับออกซิเจนในเลือดให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้
*ในช่วงที่ตื่นช่วงกลางวัน เน้นการนั่งเก้าอี้ ให้ตัวตั้งอาจมีพนักพิงหลังได้ หากทรงตัวไม่ไหวก็ปรับเอนได้เช่นกัน***
*ในช่วงตื่นนอนหากต้องการพักผ่อน ขอให้ท่านเลือกท่า นอนได้ดังต่อไปนี้
* นอนคว่ำ (มีรูปประกอบ)
* นอนตะแคงกึ่งคว่ำทับซ้าย
* นอนตะแคงกึ่งคว่ำทับขวา (มีรูปประกอบ)
* ในกรณี ผู้ป่วยอัมพาษครึ่งซีกอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง ให้นอนตะแคงทับข้างที่ ไม่ อ่อน แรง นะครับ
****ทำสลับเปลี่ยนท่าได้ ทุกๆ 30 นาที หรือ 1 ชม. ในช่วงที่ตื่น หากเป็นช่วงนอนกลางคืนก็สามารถใช้ท่าเหล่านี้ได้ครับ*****
ขอให้ทุกท่านได้รับการรักษาใน รพ. เร็ววัน
ขอให้โควิดหายไปจากโลกเราเร็วๆ
ขอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมาช่วยเราชาวไทยด้วยครับ
ขอเป็นอีกแรงหนึ่งเล็กๆ ช่วยเหลือสังคมครับ
อ้างอิงจาก: Chatchai Momo Phimphasak