ปวดเมื่อย ..นึกถึงเถาวัลย์เปรียง..
ปวดเมื่อย ..นึกถึงเถาวัลย์เปรียง..
ดอกเถาวัลย์เปรียง
เถาวัลย์เปรียงที่เห็นตามร้านขายยาสมุนไพร
ชื่อที่เรียก
-เถาวัลย์เปรียง
ชื่อที่เรียกตามท้องถิ่น
-เชียงใหม่ เรียกว่า เครือตาปลา เครือไหล
-เลย เรียกว่า เครือดับปลา
-นครราชสีมา เรียกว่า เถาตาปลา เครือเขาหนัง ย่านเหมาะ
-ชุมพร เรียกว่า พานไสน
-ภาคอิสาน เรียกว่า เครือตาป่า เครือตับปลา เครือเขาหนัง เครือตาปลาโคก(หากเกิดบนบก) เครือตาปลาน้ำ(หากเกิดในที่ลุ่ม)
-ภาคกลาง เรียกว่า เถาวัลย์เปรียงขาว เถาวัลย์เปรียงแดง
-ภาคใต้ เรียกว่า ย่านเหมาะ ย่านเมระ
เถาวัลย์เปรียง จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่นของประเทศไทย พบได้ทุกภาค มักขึ้นเองตามชายป่าและที่โล่งทั่วไป
ลักษณะของเถาวัลย์เปรียง
ต้นเถาวัลย์เปรียง
-เป็นเถาไม้เลื้อยขนาดใหญ่ เลื้อยไปได้ไกลถึง 20 เมตร มีกิ่งเหนียวและทนทาน กิ่งแตกเถายืดยาวอย่างรวดเร็ว เถามักเลื้อยพาดพันตามต้นไม้ใหญ่ เถาแก่มีเนื้อไม้แข็ง เปลือกเถาเรียบและเหนียว เป็นสีน้ำตาลเข้มอมสีดำหรือแดง เถาใหญ่มักจะบิด เนื้อไม้เป็นสีออกสีน้ำตาลอ่อนๆ มีวงเป็นสีน้ำตาลไหม้คล้ายกับเถาต้นแดง (เนื้อไม้มีรสเฝื่อนและเอียน) ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม ขยายพันธ์ุด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือวิธีการแยกไหลใต้ดิน ชอบอากาศเย็นแต่แสงแดดจัด ทนความแห้งแล้งได้ดี หากปลูกในที่แล้งจะออกดอกดก แต่จะมีขนาดเล็กกว่าปลูกในที่ชุ่มชื้น พรรณไม้ชนิดนี้มักขึ้นเองตามชายป่าและที่่โล่งทั่วไป เป็นพรรณไม้ที่มีมากที่สุดในประเทศไทย และใช้กันทุกจังหวัด
ใบเถาวัลย์เปรียง
-ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับกัน มีใบย่อย 4-8 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรี ปลายใบเป็นรูปหอก โคนใบมน ขอบใบเรียบ ใบย่อยมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.25 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร หลังใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ท้องใบเรียบ
ดอกเถาวัลย์เปรียง
-ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ช่อดอกเป็นสีขาวห้อยลง ดอกเป็นสีขาวอมสีม่วงอ่อน คล้ายกับดอกถั่ว กลีบดอกมี 4 กลีบ และมีขนาดไม่เท่ากัน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย สีม่วงแดง
ผลเถาวัลย์เปรียง
-ออกผลเป็นฝักแบน โคนฝักและปลายฝักมน ฝักเมื่อแด่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 1-4 เมล็ด
การขยายพันธ์ุเถาวัลย์เปรียง
-ชอบดินเหนียว ไม่ชอบดินทราย ชอบสภาพชื้นแต่ไม่แฉะ
การปลูกและการดูแลรักษา
-ใช้เมล็ดแก่ที่มีสีน้ำตาล (เมล็ดแก่ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์) แกะเปลือกนอกของเมล็ดออก นำไปเพาะในถุงชำ ถุงลุ 2-3 เมล็ด รดน้ำให้ชุ่ม
-เมื่อตัดต้นสูงประมาณ 1 คืบ นำลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก ถ้าหากไม่เพาะลงถุงจะปลูกตรงจุดที่ต้องการเลยก็ได้ พร้อมทำซุ้มบริเวณที่ปลูกเถาวัลย์เปรียงได้เลื้อยเกาะด้วย
การเก็บเกี่ยวเถาวัลย์เปรียง
-เริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 3-5 ปี
-เลือกเถาวัลย์แก่ซึ่งจะมีสีเทา และมีจุดคล้ายเกล็ดสีขาวๆ เถามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ขึ้นไป
-ตัดให้เหลือเถาไว้ 1-2 ศอก เพื่อให้แตกขึ้นใหม่ ตัดได้ประมาณ 2 ปี ต่อครั้ง
-นำเถาวัลย์เปรียงมาสับเป็นแว่นๆ หนาประมาณ 1 เซนติเมตร ตากแดด 3-5 วัน หรืออบให้แห้ง
สรรพคุณของเถาวัลย์เปรียง
-เถาใช้ต้มรับประทานเป็นยาถ่ายกระษัย แก้กระษัย(เถา)
-รากมีรสเฝื่อนเมา ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ(ราก) ใช้เป็นส่วนประกอบของยาอายุวัฒนะ เพื่อช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง
-ตำรับยาไทย ใช้รากเป็นยารักษาอาการไข้(ราก)
-ช่วยแก้หวัด แก้ไอ(เถา)
-เถาใช้ต้มรับประทานเป็นยาถ่ายเสมหะลงสู่ทวารหนัก แก้เสมหะพิการโดยไม่ทำให้ถ่ายอุจจาระ จังเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคบิด โรคหวัด โรคไอ และใช้ได้ดีในเด็ก(เถา)
-ช่วยแก้บิด(เถา)
-เถามีรสเฝื่อนเอียน ใช้ต้มรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะผิดปกติ แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ส่วนรากมีรสเฝื่อนเอียน มีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะเช่นกัน(ราก , เถา) และยังมีข้อมูลระบุว่าการใช้สมุนไพรชนิดนี้จะทำให้ปัสสาวะได้บ่อยกว่าปกติ จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคต่อมลูกหมากโตด้วย
-เถาใช้ดองกับเหล้าเป็นยาขับระดูของสตรี(เถา)
-คนโบราณจะนิยมใช้เถาของเถาวัลย์เปรียงเพื่อเป็นยารักษาอาการตกขาวของสตรี (อาการตกขาวชนิดที่ไม่มีกลิ่น ไม่มีอาการคัน ไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว)(เถา)
-เถามีสรรพคุณในการบีบมดลูก(เถา)
-ช่วยขับโลหิตเสียของสตรี ด้วยการใช้เถาวัลย์เปรียงทั้งห้าแบบสดๆ นำมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้มา ใช้ดื่มต่างน้ำ(ทั้งห้า)
-ช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ด้วยการใช้เถาสดนำมาทุบให้ยุ่ย แล้ววางทาบลงบนหน้าท้อง แล้วนำหม้อเกลือที่ร้อนมานาบลงไปบนเถาวัลย์เปรียง จะช่วยให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น(เถา)
-บางตำรากล่าวว่า เถามีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้มีกำลังดี แข็งแรง สู้ไม่ถอย(เถา)
-เถามีรสเฝื่อนเอียน ใช้ต้มรับประทานเป็นยาถ่ายเส้น ทำให้เส้นเอ็นอ่อนและหย่อนดี ช่วยรักษาเส้นเอ็นขอด เส้นเอ็นพิการ แก้อาการปวด เมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว ปวดข้อ ข้ออักเสบ ช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม แก้อาการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือจะใช้เถานำมาหั่นตากแห้ง คั่ว ชงน้ำกินต่างน้ำชา เป็นยาทำให้เส้นหย่อน แก้อาการเมื่อยขบตามร่างกาย แก้อาการปวดเมื่อย แก้เหน็บชา(เถา)
-มีการใช้เถา เพื่อรักษาโรคอัมพฤกษ์และกระดูกหัก โดยการนำเถามาตำให้เป็นผงผสมกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหัวครำ แล้วใช้เป็นยาทา นวด บริวเณที่เป็นทุกวันจนหาย(เถา)
ประโยชน์ของเถาวัลย์เปรียง
-ยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก และผลอ่อนของต้นเถาวัลย์เปรียง สามารถนำมารับประทานเป็นผักสด จิ้มกับน้ำพริกได้ โดยมีรสมัน
-ราก มีรสเฝื่อนเบา มีสารจำพวก Flavonol ที่มีชื่อว่า สคาเดอนิน(Scadeninm) และนันลานิน(Nallanin) ใช้เป็นยาเบื่อปลาได้ แต่มีมีคุณสมบัติในการใช้เป็นยาฆ่าแมลง แต่บ้างก็ว่าใช้เป็นยาฆ่าแมลงได้
-เถาวัลย์เปรียงเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ในสูตรยาอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพ โดยนำมาใช้เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมจากสูตรยาอบสมุนไพรหลัก เมื่อต้องการอบเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อย ปวดเอว ปวดหลัง
-สมุนไพรเถาวัลย์เปรียงสามารถนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบัน "ไดโคลฟีแนค" (Diclofenac) ในการรักษาอาการปวดหลังส่วนล่าง และใช้แทนยาแผนปัจจุบัน "นาโพรเซน" (Naproxen) ในการรักษาอาการอักเสบจากข้อเข่าเสื่อมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมความปลอดภัยสูง และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแผนปัจจุบันอีกด้วย
ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรเถาวัลย์เปรียง
-สตรีมีครรภ์ ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้
-ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ ยังไม่ควรรับประทานจนกว่าจะมีรายงานความปลอดภัยอย่างแน่ชัด รวมไปถึงผู้ที่เป็นโรคความดันที่รับประทานยาแผนปัจจุบันอยู่ก็ไม่ควรใช้สมุนไพรชนิดนี้ เพราะอาจจะมีผลไปยับยั้งหรือเสริมฤทธิ์ของยาก็เป็นได้ นอกจากจะมีการควบคุมและดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์เจ้าของไข้
-เถามีสารที่มีฤทธิ์เช่นเดียวกับฮอร์โมนเพศหญิง ดังนั้น จึงควรระมัดระวังหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
-ควรระมัดระวังการใช้ในสมุนไพรชนิดนี้ในผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากเถาวัลย์เปรียงมีกลไกการออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยาแก้ปวดในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์(Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs: NSAIDs) และการรับประทานสมุนไพรชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร
-อาการไม่พึงประสงค์ของการใช้ยาผงจากเถาวัลย์เปรียง คือ คอแห้ง ใจสั่น ปวดท้อง ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นจากการแพ้
-อาการไม่พึงประสงค์ของการใช้สารสกัดจากเถาของเถาวัลย์เปรียงที่สกัดด้วย 50% เอทิลแอลกอฮอล คือ มีอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ และอุจจาระเหลว
อ้างอิงจาก: https://www.disthai.com
https://medthai.com
https://www.taraherb.com/lavish