ตำนานความรักพญานาคกับพญาครุฑ
พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 1
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
ก. ที่มาและมูลเหตุจูงใจ
........เป็นเวลาสิบกว่าปีที่ผู้เขียนเฝ้าเพียรพยายามหาคำตอบว่า “เหตุไฉนประเทศไทย คนไทย ถึงแตกแยก เดือดร้อน และวุ่นวาย?”
........ทั้งๆ ที่เป็นเมืองพระพุทธศาสนาแท้ๆ และยังมีพระโพธิสัตว์ผู้ที่ เป็นประมุขประธานประเทศ ซึ่งปกครองประชาชนโดยธรรมอย่างสงบสุขร่มเย็นตลอดมามากกว่า ๖๐ ปี แล้วก็ตาม
........จากการศึกษาวิเคราะห์ วิจัยโดยเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกและท่านอื่นๆช่วยกันวิจัยอีกด้วย
........ที่สำคัญมากก็คือ การได้เรียนปรึกษาพระอริยะเจ้าผู้หยั่งรู้อดีตและอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่ท่านก็ไม่บอก(เป็นความลับสวรรค์ รู้แล้วอาจมีอันเป็นไปทั้งแก่ผู้บอกและผู้ฟัง?)
........แต่ก็ได้แนะแนวทางในการศึกษาและค้นคว้าต่อไป เพื่อให้ได้คำตอบที่แคบลงมา...
........ซึ่งสรุปลงตรงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า
........ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากเหตุ เมื่อมีเหตุจึงมีผล อีกอย่างก็คือ “กฎแห่งกรรม ซึ่งให้ผลอย่างเที่ยงตรง และเป็นสัจธรรมเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาใดๆ เลย
(เป็น “อกาลิโก”นั้นเอง)
........และเป็นที่น่าสังเกตว่า หากจองเวรจองกรรมต่อกันไม่เลิกรา และอโหสิกรรมให้กันและกันแล้ว เหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้น
วนเวียนไปในสังสารวัฏนี้ อย่างมิรู้จบรู้สิ้นนั้นเอง
........ดังคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนั้นเอง
ทำไม?คนไทยต้องทะเลาะและแตกแยกกัน?
........ย้อนกลับไปในอดีตซึ่งนานมากนัก ในยุคที่มนุษย์ในโลกใบนี้ และเทพพรหมต่างๆซึ่งยังมีกิเลสเบาบาง สามารถมีฤทธิ์ มีอภิญญา สามารถรู้เห็น และเข้าใจ สามารถส่งภาษาระหว่างกันและกันได้นั้น
“พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 2
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
ตำนาน : พญาครุฑ กับ พญานาค
........ที่ได้ทะเลาะและต่อสู้กัน จนเป็นตำนานอันลือลั่นและศึกษาต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ และต่อไปจนกาลปวสานนั้นเอง
ข. สรุป(โดยย่อๆ)
........โดย เหล่า “พญานาค” ทั้งหลายที่มีจำนวนมายตั้ง ๑,๐๐๐ ตน (ลูกของนางกัททรุ) และมีอิทธิฤทธิ์มากมายนั้น ได้ต่อสู้กับ “พญาครุฑ”
........เพื่อครองความเป็นใหญ่เหนือพญาครุฑและมารดา(นางวินตา) ให้ตกเป็นทาสรับใช้ และยังได้แสดงความเหิมเกริม และอหังการ์ ในเผ่าพันธุ์ของตนนั้นเอง
........แต่ “พญาครุฑ” ซึ่งมีเพียง ๒ ตน (พี่ชายและน้องชาย) ต้องต่อสู้เพื่ออิสรภาพของมารดา (นางวินตา) ที่แพ้การทายปัญหาเพราะโดนโกง
........(จริงๆ แล้วนางชนะเพราะทายปัญหาได้ถูกต้อง) จากการทายปัญหาระหว่างภรรยาของ “พระกัสยปะเทพบิดร” (สามีของนางวินตาและนางกัททรุ ผู้เป็นบิดาของนาคและครุฑในครั้งนั้น)
........เรื่องมีอยู่ว่า “พระกัสยปะเทพบิดร” ซึ่งบำเพ็ญตนคล้ายฤาษี (ในสมัยโน้น) มีภรรยาหลายคน
........โดยมีภรรยาหลวงคือ “นางวินตา” และมีภรรยาอีกคนคือ “นางกัททรุ” โดยภรรยาทั้งหลายคอยรับใช้และปรนนิบัติสามีด้วยกัน
........อยู่ต่อมาหลายปีก็ยังไม่มีลูก ก็เลยทำพิธีบวงสรวงเทพพรหมให้ได้มีบุตร
........โดยนางกัททรุได้ขอให้มีบุตร ๑๐๐๐ ตน และให้มีอิทธิฤทธิ์ด้วย หลังจากนั้นนางก็คลอดลูกออกมาเป็นพญานาค ๑๐๐๐ ตน ล้วนมีฤทธิ์เดชทั้งสิ้น และก็ได้ช่วยงานมารดาและบิดาได้อย่างมากมายและครอบคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
........ฝ่ายนางวินตาก็เร่งสร้างบุญกุศล และรักษาศีล ตลอดจนบำเพ็ญภาวนา แล้วก็ได้ขอพรให้มีบุตรที่มีบุญญาธิการมาก โดยนางขอเพียงคนเดียว จะได้มีไว้เป็นเพื่อนแม่และคอยช่วยเหลือแม่ ในบางโอกาสแค่นั้นก็พอ
“พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 3
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
........ต่อมาไม่นานนางก็คลอดลูกออกมาเป็นไข่ ๒ ฟองซึ่งนางก็ทนุถนอม เฝ้าดูประคบประหงมอยู่นานหลายปีมาก แต่ก็ไม่ยอมฟักออกมาเป็นตัวสักที
........นางก็ร้อนใจกระวนกระวาย ก็เลยตัดสินใจทุบไข่ฟองหนึ่งให้แตกออกมา โดยไข่ฟองนั้นกลายเป็นเทพบุตรตนหนึ่ง ซึ่งก็คือ “พระอรุณ”
........โดยเขาก็โกรธแม่ที่ทุบเขาให้เกิดมา โดยที่ยังไม่พร้อม จึงไม่ค่อยแข็งแรงมีร่างกายส่วนบนสมบูรณ์ แต่ส่วนล่างไม่ค่อยสมบูรณ์นัก จึงสาปแม่ให้เป็นทาสรับใช้คนอื่น
........แต่ก็ได้บอกแม่ไว้ว่า ให้เลี้ยงดูไข่อีกฟองที่เหลือให้ดีๆ และไม่ต้องกังวลและใจร้อนใดๆ เมื่อถึงเวลาก็จะแตกออกมาเอง และเขาจะช่วยเหลือแม่เอง
........แล้วเทพอรุณก็จากลาแม่ไปเป็น “สารถี” ขับราชรถให้กับ “สุริยเทพ” (พระอาทิตย์) ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
........นางวินตาก็เลยอยู่เดียวดาย เมื่อใดที่นางเห็นแม่และลูกคนอื่นๆ สนุกสนานรื่นเริงช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก็ให้รู้สึกน้อยใจ เหงาหงอย และเศร้าใจยิ่งนัก
........แต่นางก็เฝ้าคอย ประคบประหงม และเฝ้ารอลูกของนางอีกตนที่จะคลอดออกมาเมื่อไหร่นางก็ไม่รู้?
........ฝ่ายนางกัททรุและลูกๆ ได้แสดงความอหังการ์และข่มเหงนางอยู่บ่อยๆ
........และในกาลครั้งหนึ่งก็ได้ทายปัญหากันระหว่างนางทั้งสอง ซึ่งหากใครแพ้ (ตอบไม่ถูก) ก็จะต้องตกเป็นทาสรับใช้ของอีกฝ่ายหนึ่ง
“พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 4
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
........โดยคำถามมีอยู่ว่า “ในคราวที่เทพกับอสูรทำพิธีเกษียรสมุทรนั้น ได้เกิดของวิเศษ ๑๔ อย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ “ม้าอุอุจเจศรวัส” ว่ามีหางสีอะไร? นางวินตาตอบว่า “สีขาว” ส่วนนางกัททรุตอบว่า “สีดำ”
........ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสีขาว เมื่อนางกัททรุและลูกๆ เห็นว่าแม่ของตนจะแพ้และจะต้องตกเป็นทาสของเขา
........ก็เลยใช้อิทธิฤทธิ์ของเหล่าลูกๆ ที่เป็นพญานาคให้เข้าไปแปลงเป็นเส้นขนของหางม้านั้น ให้กลายเป็นสีดำจนหมด
........นางวินตาก็เลยแพ้ในการทายปัญหานี้ จึงต้องตกเป็นทาสรับใช้นางกัททรุและลูกๆ เหล่าพญานาคของนางด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน
........และยังถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ จากนางกัททรุและเหล่าลูกๆของนางอย่างทุกข์ทรมานและอย่างเจ็บซ้ำน้ำใจยิ่งนัก
........ครั้นเมื่อถึงเวลาไข่อีกฟองลูกของนางวินตาก็แตกออกมาจากไข่ กลายเป็น “เทพบุตร” มีรูปร่างครึ่งคนครึ่งนก
........โดยในคราวที่เกิดมานั้น ได้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั้งสามภพ จนทุกคนต่างตกใจว่าเกิดจากอะไร?
........เมื่อเทพบุตรกึ่งนกลืมตาอันกลมโต ก็เกิดแสงสว่างและประกายประหลาดไปทั่วทั้งจักรวาล เมื่อสยายปีกทั้งสองข้างอย่างใหญ่แผ่ไปทั่วทุกสารทิศ เทพบุตรนั้นมีพละกำลังมากมหาศาล
........พวกเหล่านาคต่างตกตะลึงและหวาดหวั่น ในอำนาจและบุญบารมียิ่งนัก นางวินตาดีใจมากและมีความสุขยิ่งนัก
........นางพาลูกชายกึ่งมนุษย์กึ่งนกทำงานต่างๆ นาๆ เพื่อรับใช้นางวินตาและลูกๆ ของนางเหล่าพญานาคนั้นเอง
........แม้ว่านางจะถูกกลั่นแกล้ง และให้ทำงานหนักละสกปรกต่างๆนาๆ จากการกลั่นแกล้งของเหล่าพญานาคตั้ง ๑๐๐๐ ตนก็ตาม
........ถึงแม้จะสกปรกและหนักหนาแค่ไหนก็ทำได้ และทำสำเร็จเพราะลูกของนางช่วยเหลือนั้นเอง
........เทพบุตรกึ่งนกกึ่งมนุษย์ก้มหน้าก้มตาช่วยเหลือแม่ทำงานทุกอย่าง เพราะรักและสงสารมารดานั้นเอง
........ทั้งที่โดนกลั่นแกล้งและเยาะเย้ยถากถาง จากนางกัททรุและเหล่าพญานาคทั้งหลายก็ตาม
........ซึ่งหากเทพกึ่งนกจะทำลายพวกเขาเหล่านั้นแม้เพียงนิดเดียวก็คงแหลกลาญไปในพริบตา
........แต่นางวินตาก็สอนลุกให้เป็นคนดี มีความอดทน และรักษาสัจจะ ที่ทายปัญหาแพ้ (แต่จริงๆแล้วนางชนะ แต่แพ้เพราะกลโกงของเหล่าพญานาคนั้นเอง)
“พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 5
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
........ด้วยความกล้าหาญและทราบความจริงทุกอย่างด้วยการสืบค้นของตัวเองแล้ว เทพบุตรกึ่งนก ก็ได้เข้าไปขออิสรภาพจากนางกัททรุและเหล่าพญานาคทั้งหลาย
........โดยขอให้แม่ของตนเป็นอิสรภาพ ซึ่งนางกัททรุและเหล่าลูกๆ ของพญานาคที่มีนางวินตา และลูกของนางคอยช่วยเหลือก็สุขสบายดีจนเคยตัวแล้วนั้น ก็ไม่ยินยอมแต่อย่างใด
แต่เทพบุตรกึ่งนกก็สงสารแม่ อยากให้แม่สุขสบายและเป็นอิสระ จะให้ตนทำอะไรให้ก็ยอม
........นางกัททรุและเหล่าพญานาค อยากจะแกล้งและอยากได้สิ่งที่วิเศษที่เทพบุตรกึ่งนกจะทำให้นั้น
........ก็เลยแกล้งโดยการบอกว่า “ถ้าไปเอาน้ำอมฤตจากสวรรค์มาให้พวกตนได้ดื่มกิน เพื่อความเป็นอมตะได้
........นางและลูกๆ ก็จะให้อิสรภาพแก่แม่ของเทพบุตรกึ่งนกแน่นอน”
........โดยหวังว่าจะให้เทพกึ่งนกไปถูกฆ่าตาย จากเหล่าเทพเทวดา และจากมหาเทพ ที่เฝ้ารักษาน้ำอมฤตอย่างดีและแน่นหนานั้นเอง
........แต่ถึงไม่ตาย ตัวเองและลูกๆ ก็ได้กินน้ำอมฤตและก็มีชีวิตเป็นอมตะ
........ถึงแม้นางวินตาและลูกชายเป็นอิสระ ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร? ซึ่งมีแต่ได้กลับได้นั้นเอง
........นี่คือแผนการอันชั่วช้าและสามานย์ของแม่และลูกๆ นั้นเอง แล้วเทพบุตรกึ่งนกก็ดีใจและรับปากทันที!
(อ่านรายละเอียดใน ตำนาน : พญาครุฑ)
“พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 6
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
........“พญาครุฑ”( แปลว่า ผู้แบกภาระอันยิ่งใหญ่) สามารถกระทำภารกิจอันยิ่งใหญ่และยากลำบากนี้ ได้สำเร็จจนลือลั่นและกล่าวขานกันไปทั่วทั้งสามภพ และทั่วทั้งจักรวาลเลยทีเดียว
........ซึ่งแม้แต่ “พระอินทร์”หรือ “ท้าวสักกเทวราช” ผู้เป็นหัวหน้าแห่งสวรรค์ก็ยังพ่ายแพ้
........และที่สำคัญ “พระนารายณ์” ผู้เป็น “มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ๑ ใน ๓ ของจักรวาล และสังสารวัฏนี้” (พระพรหม พระนารายณ์ และพระอิศวร) ผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาและปกป้องโลกและจักรวาลตลอดจนทุกภพภูมิในสังสารวัฏนี้ ก็สู้ไม่ได้คือเสมอกันนั้นเอง
........แล้วพญาครุฑ ก็นำน้ำอมฤตมาให้นางกัททรุ และเหล่าพญานาค ๑๐๐๐ ตนนั้นได้อย่างปลอดภัย
........ถึงแม้จะเผชิญอุปสรรค และอันตรายมากมายเกินผู้หนึ่งผู้ใดจะสามารถกระทำการนี้ได้ก็ตาม
........แล้วนางวินตาผู้เป็นมารดาของพญาครุฑ ก็ได้รับอิสรภาพอย่างสง่างาม นางก็มีความสุขมาก มีความภาคภูมิใจ มีเกียรติ มีความสง่างาม และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รักษาสัจจะอย่างยิ่ง
........ที่สำคัญนางได้มีลูกชายผู้เป็น “อภิชาติบุตร”ผู้เกิดมาช่วยเหลือนางอย่างแท้จริง และยังสามารถช่วยเหลือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ (ผู้ที่ถือว่าเป็นพระนารายณ์อวตารมาเป็นประมุขประธาน เพื่อทำการปกครองเหล่ามนุษย์ให้มีความสุข และอยู่ในศีลในธรรมนั้นเอง) ให้คงอยู่สืบไปตราบนานเท่านานนั้นเอง
........พญาครุฑได้นำหม้อน้ำอมฤตมามอบให้แก่นางกัททรุและเหล่าพญานาค ลูกๆ ของนางทั้ง ๑๐๐๐ ตน
........เพื่อแลกกับความเป็น "ไท" หรือ "ไทย"หรือ "อิสรภาพ" ไม่ใช่ "ทาส" นั้นเอง
........โดยวางไว้ที่หญ้าคา(หญ้าศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของพราหมณ์อินเดียโบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้ และคนไทยเราก็นิยมใช้หญ้าคาพรมน้ำพระพุทธมนต์นั้นเอง)
........นางกัททรุและเหล่าพญานาคดีใจนักหนา ที่จะได้กินน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร
........แต่ก่อนจะกินต้องพากันอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดใน "แม่น้ำคงคา" ซะก่อน
“พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 7
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
........ระหว่างนั้นพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ ได้ติดตามมา เพื่อนำหม้อน้ำอมฤตกลับไปไว้ เป็นสมบัติของสรวงสวรรค์ตามเดิม
........เมื่อได้โอกาสที่เหล่าพญานาคเผลอก็ได้นำหม้อน้ำอมฤตเหาะกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ทันที
........เหล่าพญานาคเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบขึ้นฝั่งมาที่ตั้งหม้อน้ำอมฤตด้วยความเจ็บใจและเสียดายยิ่งนัก
........ทั้งนี้พระอินทร์ได้ทำน้ำอมฤตหกลงบนหญ้าคาบ้างเป็นหยดเล็กน้อย
........พญานาคเห็นดังนั้นก็พากันเลียกิน ด้วยความไม่ระมัดระวังทำให้หญ้าคาที่คมนั้นได้บาดลิ้นของเหล่าพญานาค ทำให้ลิ้นบาดแยกเป็น "สองแฉก"มาตั้งแต่บัดนั้น
........นางกัททรุและเหล่าพญานาค ด้วยความเสียดายและโกรธแค้นพญาครุฑ และพระอินทร์หัวหน้าสวรรค์ และยังพาลไม่ชอบชาวสวรรค์ทั้งหลาย
........แม้แต่พระนารายณ์ผู้เป็นมหาเทพด้วยก็ตาม จึงได้คอยตามจองล้างจองผลาญอยู่ตลอดมา
........และเมื่อได้โอกาสก็จะแสดงบทผู้ร้ายต่อพญาครุฑ และเหล่าเทพบุตรและเทพธิดาทันที
........ดังที่ปรากฏมาแล้วในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตด้วย ทั้งๆที่พญาครุฑไม่ได้ทำผิดอะไรก็ตาม
........แต่ก็ยังตามกลั่นแกล้ง เบียดเบียน และหาทางทะเลาะ และแย่งชิงสมบัติ ตลอดจนของรักของหวงของพญาครุฑและเหล่าเทพอยู่บ่อยๆ เช่น
........แย่งชิงและพลัดพรากนางไอ่ภรรยาของผาแดง จนตายจมลงสู่พื้นดินสู่เมืองบาดาล
........และทำให้บ้านเมืองล่มจมเกิดเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ คือ "หนองหาน"ทั้งที่สกลนคร และที่กุมภวาปี อุดรธานี
........อีกทั้งนำพระพุทธรูป "พระสุก"จมลงสู่แม่น้ำโขงไปไว้เมืองบาดาล ไม่เว้นแม้แต่การทำลายเผาบ้านเผาเมืองของพญาครุฑและเหล่าเทพก็ตาม เป็นต้น
“พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 8
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
ค. กล่าวโดยสรุป
........จากเหตุการณ์ดังนั้น จึงสร้างความโกรธแค้น และเคียดแค้น และจองล้างจองผลาญจากนางกัททรุและเหล่าพญานาค ซึ่งเป็นลูกของนางทั้ง ๑๐๐๐ ตน
........ไม่ว่าจะพบกันในภพชาติไหนๆ ไปเกิดเป็นอะไร? ก็ตาม ก็ต้องต่อสู้ ทะเลาะ แตกแยก และข่มเหงรังแกกัน ไม่ว่าทางใดหรือวิธีการใดๆ ก็ตาม
........อันเป็นไปตามกฏแห่งกรรม และเป็นวิถีของ “พญาครุฑ” กับ “พญานาค”
........ดังที่ทุกสรรพสัตว์ในสังสารวัฏนี้ ต่างก็รับรู้และเข้าใจกันเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง
........จนเป็นที่เข้าใจได้อย่างดีว่า เป็น “คู่กัด” หรือเป็น “ขาว” กับ ”ดำ” หรือเป็น “ดี” กับ “ชั่ว”นั้นเอง
........อันถือว่าเป็นของมีอยู่คู่กันตราบชั่วฟ้าดินสลายนั้นเอง โดย “พญาครุฑ” จึงได้จับกินเหล่า “พญานาค” ทั้งหลายเป็นอาหาร
........ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ แม้แต่นกก็ยังกินงู แต่งูก็แอบขโมยกินไข่นกและลูกนกในรัง หรือตัวอ่อนของพวกนกต่างๆ ที่ยังไม่แข็งแรงและเติบโตเต็มที่ เป็นต้น
........และยังสามารถสรุปเป็นสำนวนสั้นๆ ง่ายว่าๆ
........“พญานาคเป็นเจ้าแห่งนาวา”(หรือ “น้ำ”นั้นเอง)
........ส่วน “พญาครุฑเป็นเจ้าแห่งเวหา”(หรือ “ท้องฟ้า”นั้นเอง)
........และเมื่อเจอกันบนพื้นดินในโลกมนุษย์ ทั้งสองฝ่ายต่างก็รุก -รับ และผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ พลิกไปพลิกมา อย่างตื่นเต้น และหวาดเสียวอยู่ตลอดเวลา
........เหมือนๆ กับเหตุการณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาและกำลังดำเนินไปอยู่ในขณะนี้นั้นเอง
........โดยพระนารายณ์ได้ขอร้องให้พญาครุฑ ยกเว้น การจับกินพญานาค ๒ ตน ซึ่งเป็นผู้ที่เป็นคนดีและใฝ่ในศีลและปฏิบัติธรรม
........นั้นก็คือ “พญาเศสะนาคราช” หรือ “พญาอนันตนาคราช” ผู้เป็นบัลลังก์และที่บรรทมของพระนารายณ์นั้นเอง 4
........ส่วนพญานาคอีกตนก็คือ “พญาสุวรรณนาคราช” ( “พระยาขอม”บิดาของ “นางไอ่คำ”) ผู้เป็นสหายของ “พญาศรีสุทโธนาคราช” (พญานาคผู้เป็นบิดาของ “พังคีนาคราช”นั้นเอง)
........ดังรายละเอียดในตำนานรักอมตะ “ผาแดง - นางไอ่” อันเป็นตำนานที่สะเทือนใจยิ่งนัก ที่บ้านเมืองของมนุษย์ได้ล่มจมลงไปในพื้นดิน คือ “หนองหาน สกลนคร” และ “หนองหานกุมภวาปี อุดรธานี” ในประเทศไทยในปัจจุบันนี้นั่นเอง
........อันเป็นตำนานลือลั่นและกล่าวขานตลอดจนมีหลักฐานให้เห็นและให้ลูกหลานได้ศึกษากันมาจนถึงทุกวันนี้นั้นเอง
........โดยทุกอย่างจบลงที่ว่า “ธรรมะ ย่อมชนะ อธรรม” ไม่ว่ากาลไหนๆก็ตาม...
.........................................................................
“พญาครุฑ” กับ “พญานาค” ตอน 9
ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยประเทศไทย ***************************************
หมายเหตุ :
........๑. “พญาครุฑ”คือสัญลักษณ์แห่ง “ราชอาณาจักรไทย” หรือ “ราชอาณาจักรสยาม” และเป็นสัญลักษณ์ของ “พระมหากษัตริย์ไทย” ที่ทั่วทั้งไตรภพต่างรับรู้กันดี และที่นี่คือ “ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาของโลกมนุษย์”
........๒. พญาครุฑตนนี้เป็นคนละตนกันกับพญาครุฑที่เป็นสามี(ชู้)กับ “นางกากี” ก็เนื่องจากว่า เป็นคนละยุคคนละสมัยกัน และห่างกันลิบลับ(ด้านบุญบารมี และความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะด้านศีลธรรม)
........๓. หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดอีกอันหนึ่งของพญาครุฑ ก็คือ “การทำนุบำรุง รักษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(พระสมณโคดมพระพุทธเจ้า)ให้คงอยู่ในโลกมนุษย์จนครบ ๕๐๐๐ ปี”นั้นเอง